อั้นฟองเหลาไมฮง บริษัทค้าข้าวระดับท็อปเท็น ล้มตึงเมื่อปี 2526 เป็นข่าวใหญ่สั่นสะเทือนทั้งวงการค้าส่งออกข้าว
และวงการธนาคาร!!!
อั้นฟองเหลาไมฮง เป็นบริษัทส่งออกข้าว ก่อตั้งเมื่อปี 2471 หรือประมาณ
50 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทในเครือ 2 แห่ง -- บริษัทไทยตรง ดำเนินธุรกิจทุกอย่างเหมือนบริษัทแม่
กับบริษัทโรงสีศรีชัย ดำเนินกิจการโรงสี 2 แห่งที่บุรีรัมย์และสระบุรี ดำเนินกิจการโดยพจน์
วงศ์ศรีชนาลัย พื้นเพเป็นชาวจีนกวางตุ้ง อดีตเคยเป็นครูอยู่เมืองจีน เขาได้ชื่อและยอมรับกันว่าเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งที่หาได้ยากในวงการค้าข้าวและมีบทบาทในสมาคมผู้ค้าข้าวออกต่างประเทศตลอดมา
นอกจากนี้พจน์ยังได้ชื่อว่าสนิทสนมเป็นพิเศษกับสุลต่านบรูไน ถึงขั้นเคยได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขั้น
"ดาโต๊ะ" ด้วย จึงเป็นที่รู้กันว่าเมื่อครั้งอั้นฟองเหลายังอยู่ตลาดข้าวที่บรูไนนั้นไม่มีใครแทรกเข้าไปได้เลย
การล้มของอั้นฟองเหลาไมฮงถูกประเมินว่า จากนี้ไปธุรกิจค้าส่งออกข้าวซึ่งถือกันว่ายิงใหญ่ทรงอิทธิพลในประเทศนี้นั้น
จะไม่มีความมั่นคง แน่นอนอีกแล้ว อันเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากระบบจัดสรรโควต้ามาสู่การค้าเสรี
ธุรกิจค้าข้าวต้องแปรปรวนทะยานเข้าสู่ตลาดข้าวโลกอันปั่นป่วน ผู้บริหารธุรกิจแบบ
"เถ้าแก่" กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก
จากวันนั้นเองบรรดายักษ์ใหญ่ค้าข้าวในอดีตได้ลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัด
หันไปทำการค้า-ลงทนชนิดอื่นกันมากขึ้น ธุรกิจค้าข้าวที่มีกำไรดีนั้นไม่หวนกลับอีกแล้ว
แท้ที่จริงอั้นฟองเหลาไมฮงมี "แบ็ค" อย่างแน่นหนาถาวรเพราะธนาคารกรุงเทพถือหุ้นใหญ่กว่า
20% (เท่าที่ทราบ) โดยมีชิน โสภณพนิช เป็นประธานกรรมการ และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน
"ห้าเสือ" ค้าข้าวผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับธนาคารกรุงเทพ
การล้มของอั้นฟองเหลาจึงไม่ใช่คำตอบของยุคสมัยหนึ่งที่ว่าธุรกิจล้มลง เพราะไม่มีแหล่งการเงินหนุนหลังอย่างแน่นอน
หากพิจารณาผลประกอบการแล้ว อั้นฟองเหลาฯ มิได้ขาดทุนมากมาย เช่นบางบริษัทในปัจจุบันบางบริษัทด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ขาดทุนสะสมเพียง 61 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่บริษัททุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท
สินทรัพย์รวมประมาณ 64 ล้านบาท ในขณะที่หนี้สิน 112.2 ล้านบาท ว่ากันว่าชิน
โสภณพนิชให้ความสำคัญบริษัทนี้มาก ถึงกับมาร่วมวงประชุมชี้ชะตาด้วยตนเอง
ซึ่งได้ข้อสรุปว่าควรเลิกกิจการดีกว่าจะต้องเพิ่มทุนอีก
ข้อสรุปความล้มเหลวของอั้นฟองเหลาฯ กระจ่างชัดแล้วในวันนี้ กล่าวคือผู้บริหารไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางการค้า
และไม่อาจหาผู้สืบทอดกิจการได้ พจน์ วงศ์ศรีชนาลัย อายุมากแล้ว เขามีประสบการณ์ความสำเร็จในการค้าข้าวในยุคก่อนที่ไม่มีการแข่งขันรุนแรง
มีระบบโควต้าชนิดใครอยู่นานได้มาก ที่สำคัญเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เหลือในบริษัทอั้นฟองเหลาที่รู้เรื่องข้าวดีที่สุดมองหาใครไม่เห็นอีกแล้วที่จะมารับช่วงได้
สู้วางมือดีกว่าเจ็บตัวมากกว่านี้!
หลังจากการจากไปของอั้นฟองเหลาและบริษัทในเครือวงการค้าส่งออกข้าวเผชิญมรสุมลูกแล้วลูกเล่าซึ่งหนักหน่วงกว่าหลายเท่า
เรื่องราวของอั้นฟองเหลาจึงจมหายไปในอดีต
พจน์ วงศ์ศรีชนาลัยเองรู้สึกเจ็บปวดกับชีวิตมาก บวกกับวัยชราไม่อาจต้านโรคร้ายได้และแล้วเขาก็เป็นอัมพาต
นอนเฝ้าอยู่โรงพยาบาลหลายเดือน วันนี้เขาก็นอนอยู่กับบ้านนาน ๆ เพื่อนฝูงในอดีตจะมาเยี่ยมสักหน
บริษัทอั้นฟองเหลาฯ ไทยตรง และโรงสีของเขาเลิกกิจการอย่างเด็ดขาด สำนักงานปัจจุบันปิดตาย
ชื่อบริษัทถูกแกะออกแต่ยังพอเห็นร่องรอยชื่อเดิมอยู่
ที่หน้าสำนักงานซึ่งถูกปิดตายปรากฏเอกสารที่ใคร ๆ ไม่ปรารถนาปรากฏอยู่
ในจำนวนนั้นมีหมายเรียกและสำเนาฟ้องล้มละลายบริษัทไทยตรง (บริษัทในเครือ)
โจทก์คือกรมสรรพากรโดยมีบัณฑิต บุณยะปานะเป็นอธิบดี
ฐานไม่ยอมจ่ายภาษีย้อนหลังเป็นเงิน 2,634,734 บาท!!!
กล่าวคือกรมสรรพากรได้ค้นข้อมูลจากไหนไม่ทราบว่าระบุบริษัทไทยตรงชำระภาษีนิติบุคคลระหว่างปี
2521-2523 ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องต้องชำระเพิ่มอีก 1,515,923.21 บาท รวมกับภาษีอากรอื่น
ๆ อีกรวมแล้วเป็นเงิน 2,196,565.57 บาท และการไปชำระตามกำหนด บริษัทไทยตรงจึงต้องชำระเพิ่มเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นดังกล่าวข้างต้น
กรมสรรพากรทำหนังสือทวงถามไปหลายครั้ง ล่าสุดคือวันที่ 26 ธันวาคม 2528
และแล้ววันไม่ดีคืนไม่ดี กรมสรรพากรได้ยื่นฟ้องล้มละลายบริษัทไทยตรง เมื่อวันที่
9 มกราคมที่ผ่านมา
เรื่องอย่างนี้คงทำเอาบรรดาผู้ส่งออกข้าวเสียวกันไปหลายคน จริงไหม!?