ในฐานะนักจัดสรรบ้านและพัฒนาที่ดิน ไชยวัฒน์ได้รับรางวัลนักธุรกิจตัวอย่างเป็นอนุสรณ์
ยืนยันความสำเร็จ แต่ในฐานะผู้ประกอบกิจการสวนสนุก ไชยวัฒน์ มีหนี้สินเป็นอิสริยาภรณ์ประดับกาย
หากในปี 2529 ซึ่งถือได้ว่าเป็นปีที่ธนาคารหลายแห่ง "เจ็บปวด"
และ "หัวปั่น" จากลูกหนี้ยอดแสบ ไชยวัฒน์น่าจะได้รับการยกย่องเป็น
"ลูกหนี้ตัวอย่าง" ที่สุด !
เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักจัดสรรบ้านและพัฒนาที่ดินที่ประสบความสำเร็จ
โครงการของไชยวัฒน์ไม่ว่าจะเป็น เธียรสวนนิเวศน์ อมรพันธ์ ศูนย์การค้าพหลโยธิน
อมรพันธ์นิเวศน์ ฯลฯ ล้วนแต่ทำเงินให้เขาเป็นกอบเป็นกำทั้งสิ้น จากความสำเร็จนี้ทำให้ไชยวัฒน์ได้รับรางวัลนักธุรกิจตัวอย่างเป็นคนแรกเมื่อปี
2522
ในช่วงเวลานั้นชื่อของไชยวัฒน์เหมือนเครื่องหมายรับรองความสำเร็จของโครงการบ้านจัดสรรที่ดิน
ไชยวัฒน์มีเครดิตดีและเป็นเจ้าของกิจการหลายบริษัท เช่น บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
ช. อมรพันธ์ บริษัทเงินทุนไฟแนนเชียลทรัสต์ บริษัทปัญจมิตรวิสาหกิจ บริษัทอมรพันธ์นคร
บริษัทอมรพันธ์เคหะกิจ กล่าวได้ว่ากิจการจัดสรรบ้านและที่ดินของเขาเกือบครบวงจร
ไชยวัฒน์มีตั้งแต่บริษัทจัดสรรที่ดิน ก่อสร้าง จนถึงบริษัทเงินทุนสนับสนุนโครงการ
ปี 2530 ไชยวัฒน์เป็นที่รู้จักดีในนามประธานกรรมการบริหารบริษัทอมรพันธ์นคร
สวนสยามเจ้าของกิจการ "สวนสยาม" สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยบนเนื้อที่
300 ไร่ที่พร้อมไปด้วยอุปกรณ์ เครื่องเล่น สวนพักผ่อน สวนสัตว์ และสวนน้ำซึ่งมีทะเลเทียมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
เหล่านี้ไชยวัฒน์แลกมาด้วยกำลังกาย กำลังใจ และหนี้สินสะสมมาตั้งแต่เริ่มกิจการเมื่อปี
2523 รวมแล้วกว่า 400 ล้านบาท
ตั้งแต่ไชยวัฒน์เริ่มทำสวนสยามก็มีข่าวเป็นระลอก ๆ ไม่แพ้คลื่นในทะเลเทียมที่กระหน่ำอยู่ตลอดเวลาสวนสยาม
"เจ๊งแน่" พร้อม ๆ กับข่าวไชยวัฒน์หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ไปต่างประเทศเหมือนบรรดาลูกหนี้อัปยศทั้งหลายกระทำกัน
แต่ตั้งแต่ข่าวลือครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุดซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้
ไชยวัฒน์ก็ยังยืนสง่าในฐานะประธานกรรมการบริหารสวนสยาม วิ่งหาเงินมาใช้หนี้อยู่จนถึงทุกวันนี้!
ไชยวัฒน์มีตำนานการก่อร่างสร้างตัวไม่แพ้นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของเมืองไทยหลายคน
ที่ไม่ได้มาจากตระกูลที่ร่ำรวยหรือมีพื้นฐานการศึกษาที่สูงส่ง เขาสร้างตัวด้วยความมานะอดทนและการริเริ่มสิ่งใหม่
ๆ
จากเด็กชายที่วิ่งอยู่แถวทุ่งบางเขน จบ ป. 4 มาเป็นกระเป๋ารถเมล์ คนขับรถรับจ้างส่งของ
คนขายปลา จนถึงเจ้าของโครงการหมู่บ้านจัดสรรใหญ่ ๆ จะว่าไปตำแหน่งราชาบ้านจัดสรรและที่ดินก็น่าจะพอแล้วสำหรับไชยวัฒน์
.... แต่อะไรล่ำทำให้ไชยวัฒน์ตัดสินใจทำสวนสยามต่อไปอีก
"ผมได้กำไรจากประชาชนมามากแล้วจากการทำบ้านจัดสรร ก็หาทางคืนเงินให้ประชาชนโดยสร้างแหล่งพักผ่อนหย่อนใจขึ้นมา
เป็นสวนสนุก เป็นอุทยานอเนกประสงค์ เป็นแหล่งพักผ่อนของคนทั่วประเทศ"
ไชยวัฒน์ ให้เหตุผลกับ "ผู้จัดการ" ถึงการเข้ามาทำกิจการสวนสนุก
ถ้าจะวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาถึงการทำสวนสยามตามเหตุผลที่ไชยวัฒน์กล่าวข้างต้น
ตามทฤษฎีความต้องการขึ้นพื้นฐานของมนุษย์แล้ว คงอธิบายได้ว่าขณะนั้นไชยวัฒน์มีพร้อมแล้วเรื่องปัจจัย
4 ความมั่นคงในชีวิต ชื่อเสียงและการยอมรับ สิ่งเดียวที่ไชยวัฒน์ยังต้องการอีกคือความสำเร็จในชีวิตตามที่ตั้งใจไว้
และเขาคงคิดว่าสวนสยามจะสนองความต้องการของเขาได้
ไชยวัฒน์เคยพูดเสมอว่าอยากให้สวนสยามเป็นเหมือนดิสนี่ย์แลนด์ที่วอลท์ ดิสนีย์
ราชาการ์ตูนของโลกสามารถเนรมิตไร่ส้ม 500 ไร่ ในแคลิฟอร์เนียให้เป็นโลกแห่งความฝันที่ปรากฎอยู่บนโลกแห่งความจริงได้
เพราะแรงดลใจที่เห็นลูกสาวนั่งเล่นม้าหมุนในสวนสนุกแห่งหนึ่ง
แต่สำหรับไชยวัฒน์ราชาบ้านจัดสรรและที่ดิน เขาจะพลิกผืนนา 300 ไร่บริเวณถนนสุขาภิบาล
2 สร้างสวนสยามให้เป็น "โลกแห่งความสุข สนุกไม่รู้ลืม" เพราะต้องการคืนกำไรให้กับประชาชนแค่นั้นหรือ?
ถ้าจะหาเหตุผลอื่นประกอบคงต้องย้อนไปดูสถานการณ์เมื่อปี 2522
เริ่มตั้งแต่ต้นปีน้ำมันขึ้นราคา เป็นผลทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ ขึ้นตาม
รวมทั้งราคาวัสดุก่อสร้างด้วย ประกอบกับขณะนั้นประชาชนตื่นตัวกับการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของโครงการต้องลงทุนเพื่อจัดสาธารณูปโภคให้ได้มาตรฐานตามที่
ปว. 286 กำหนดไว้ ซึ่งทำให้ต้นทุนการดำเนินการสูงขึ้นอีกมาก
และกลางปี พ.ร.บ. เครดิตฟองซิเอร์ถูกนำมาใช้ควบคุมกิจการเช่าซื้อบ้านและที่ดิน
รวมทั้งควบคุมระดมเงินฝากจากประชาชนและการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้วย
สถานการณ์เหล่านี้ล้วนมีผลกระทบต่อกิจการบ้านจัดสรรและที่ดินของไชยวัฒน์ทั้งสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในเครือ
"ไชยวัฒน์รู้สึกผิดหวังกับเรื่องสาธารณูปโภคที่ต้องลงทุนไปมาก เขาคิดว่ามันไม่ยุติธรรมกับเจ้าของโครงการ"
แหล่งข่าวคนหนึ่งพูดถึงไชยวัฒน์ในช่วงที่กิจการบ้านจัดสรรเริ่มมีแนวโน้มไม่ดีทำให้ไชยวัฒน์ต้องคิดหาลู่ทางการลงทุนใหม่
และสวนสนุกเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่ไชยวัฒน์ใฝ่ฝันจะทำ
แต่ที่ลึก ๆ ไปกว่านั้นต้องไม่ลืมว่าไชยวัฒน์เป็นนักพัฒนาและจัดสรรที่ดินด้วยความช่ำชองในธุรกิจนี้
เขาย่อมตระหนักดีว่าที่ดินบริเวณสวนสยามนั้นเมื่อพัฒนาแล้ว ราคาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าใจหายเลยทีเดียว!
ไชยวัฒน์ตัดสินใจลงเสาเข็มเพื่อเริ่มกิจการสวนสนุก ด้วยการจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทอมรพันธ์นคร
สวนสยาม ในปี 2523 ด้วยทุน 40 ล้านบาท เพื่อดำเนินการ "สวนสยาม"
ในขณะเดียวกันเพื่อให้คุ้มกับการลงทุนด้านสาธารณูปโภคก็จัดสรรที่ดินบริเวณนั้นทำโครงการหมู่บ้าน
"สวนสยาม" ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท อมรพันธ์นครด้วย
เมื่อแรกเริ่มสวนสยามไชยวัฒน์คาดว่าจะใช้เงินลงทุนพลิกผืนนาให้เป็นสวนสนุกประมาณ
500 ล้านบาท
แต่ลงทุนทำสวนสยามได้ปีกว่าไชยวัฒน์เริ่มสำนึกได้ว่าเงินลงทุนแค่นั้นไม่พอและการทำสวนสนุกนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนสนุกที่รวมไว้ด้วยสวนน้ำ สวนสัตว์ที่ใหญ่โตมโหฬารอยู่กลางทุ่งนาอย่างสวนสยาม
ไชยวัฒน์เริ่มเข้าใจแนวคิดทำสวนสนุกลักษณะนี้ดีว่า ต้องใช้เงินลงทุนสูงและระยะเวลาคืนทุนยาว
สวนสยามตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับต่างจังหวัดทั้งที่อยู่แค่บางกะปิ ด้านหนึ่งติดถนนสุขาภิบาล
2 ด้านหนึ่งติดถนนรามอินทรา โดยมีถนนสวนสยามเชื่อมแต่ขณะนั้นไม่มีรถเมล์ผ่าน
ไม่มีหมู่บ้านมากมายเหมือนทุกวันนี้ ที่สำคัญไม่มีคนเข้าไปเที่ยวเนื่องจากการเดินทางไม่สะดวก
ข่าวสวนสยามล้มสะพัดไปทั่ว "เขาว่าเจ๊งมันก็ต้องเจ๊งนั่นแหละ"
ไชยวัฒน์ยอมรับว่าทำได้ปีแรกเงินทุนจมไปกับสาธารณูปโภคและสิ่งก่อสร้าง ประกอบกับความไม่สะดวกในการเดินทางทำให้คนไม่ไปเที่ยวรายได้ไม่เป็นไปตามที่คาด
สภาพคล่องเริ่มมีปัญหา แต่สวนสยามต้องการเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีก!
ปลายปี 2523 เพื่อรักษาสวนสยามไว้ไชยวัฒน์ต้องตัดสินใจขายบริษัทเงินทุนและกิจการบ้านจัดสรรรวม
4 บริษัทคือ บริษัท ปัญจมิตรวิสาหกิจ (2511) บริษัทเครดิตฟองซิแอร์ ช. อมรพันธ์
(2514) บริษัทเงินทุนไฟแนนเชียลทรัสต์ (2515) บริษัท อมรพันธ์เคหะกิจ (2521)
ให้กลุ่มสากลเคหะของสุรินทร์ ตุลย์วัฒนจิตในราคาประมาณ 200 ล้านบาท
"เมื่อเริ่มทำสวนสยามไชยวัฒน์เอาที่ 300 ไร่ที่ทำสวนสนุกนั้นไปค้ำประกันเงินกู้จากแบงก์กรุงเทพมาประมาณ
180 ล้านบาท เป็นเงินกู้ระยะสั้นไม่เกิน 2 ปี พอทำไปแล้วสวนสยามจะเจ๊ง เลยต้องขายที่ดินกับบริษัทในเครือออกไป
เอาเงินมาใช้หนี้" แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับไชยวัฒน์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ถึงการขายสมบัติครั้งแรกของไชยวัฒน์เพื่อนำเงินมาใช้หนี้
ที่จริงแล้วไชยวัฒน์เป็นหนี้ธนาคารกรุงเทพ สาขาลาดพร้าวอยู่ประมาณ 80 ล้าน
ซึ่งกู้มาเสริมสภาพคล่องให้กิจการบ้านจัดสรรและที่ดินเมื่อครั้งกิจการนี้ทรุดก่อนหน้าทำสวนสยาม
โดยนำที่ดินไปค้ำประกันเงินกู้ได้แก่ ที่ดินหมู่บ้านอมรพันธ์ 9 บางเขน 30
ไร่,ที่ดิน อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี 100 ไร่ และอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดิน ถ. รามอินทรา
ก.ม. 7 อีกประมาณ 3 ไร่
เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ธนาคารกรุงเทพที่กู้มาลงทุนในสวนสยามให้ได้ตามกำหนด
และหักลบหนี้เก่าด้วย ไชยวัฒน์จึงตัดสินใจขายที่ดินและกิจการทั้ง 4 บริษัทดังกล่าวให้กลุ่มสากลเคหะ
เพื่อแลกเอาสวนสยามและเครดิตของตนไว้
การขายที่ดินและกิจการทั้ง 4 บริษัทครั้งนั้นเหมือนลางบอกเหตุว่า การขายทรัพย์สินของไชยวัฒน์จะมีครั้งต่อ
ๆ ไปอีก
เพราะถึงอย่างไรก็ตามสถานการณ์เลวร้ายก็ยังคงอยู่เป็นเพื่อนไชยวัฒน์ ในปี
2524 อัตราดอกเบี้ยสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 20-21% ต่อปี สถาบันการเงินส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายปล่อยกู้ระยะยาว
แต่สวนสยามต้องการเงินลงทุนเพิ่มอีก ไชยวัฒน์ต้องขายที่ดินอีกหลายแปลงพร้อม
ๆ กับขอกู้จากธนาคารกรุงเทพเพิ่มเติม
ถึงปี 2526 สถานการณ์ต่าง ๆ ยังไม่ดีขึ้น ซ้ำปลายปีน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯนานกว่า
3 เดือน ยิ่งพากันฉุดให้ปีนั้นเป็นปีที่สวนสยามตกต่ำที่สุด ทั้งที่ไชยวัฒน์พยายามปรับปรุงและพัฒนาเครื่องเล่นตลอดจน
เน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ แต่รายได้ก็ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้และปีนี้เป็นปีที่สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ยอมลาจากโลกสวนสนุกเพราะทนภาวะขาดทุนต่อไปไม่ไหว
ตามเอกสารทางการเงินจากกระทรวงพาณิชย์ ปี 2526 สวนสยามมีหนี้สินกว่า 310
ล้านบาท ขาดทุนสะสม 135 ล้านบาทมากกว่าเงินทุนจดทะเบียนที่มีอยู่ 40 ล้านบาทกว่า
3 เท่า
ข่าวไชยวัฒน์จะขายกิจการเพราะเบื่อเมืองไทยสะพัดอีกครั้ง
"ช่วงนั้นประกาศขาย เราทำงานอยู่ในประเทศไทยทำสถานที่พักผ่อนหย่อนใจซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐควรให้แก่ประชาชน
แต่รัฐไม่เคยสนใจเราเลย เพื่อนที่อเมริกาที่อยู่ในสมาคมสวนสนุกโลกด้วยกันเขามาขอซื้อ
บอกให้ไปอยู่อเมริกาดีกว่า เขาจะใช้หนี้ให้แล้วแถมเงินให้อีก" ไชยวัฒน์เล่าถึงข้อเสนอจากอเมริกา
จะว่าไปก็เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจสำหรับไชยวัฒน์อยู่หรอก เพราะเวลานั้นมีเงื่อนไขหลายประการที่สนับสนุนว่าไม่ควรทำสวนสยามต่อ
เช่น ขอรับสิทธิการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนก็ไม่ได้
ขอให้ทาง ข.ส.ม.ก. จัดรถเมล์วิ่งผ่านก็ไม่ได้ เพราะเห็นว่าวิ่งไปก็ขาดทุน
ขอให้ลดค่ากระแสไฟฟ้าให้คิดในอัตรากิจการอุตสาหกรรมก็ไม่ได้ มิหนำซ้ำอัตราดอกเบี้ยสูงและสถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยกู้ง่าย
ๆ อีกต่อไปด้วย
ในเวลานั้นสวนสยามอยู่ในภาวะวิกฤต ไชยวัฒน์เซ็นเช็คติดสปริงเป็นว่าเล่น
ซึ่งยังผลให้ปีต่อ ๆ มาคดีฟ้องร้องเรื่องเช็คกับไชยวัฒน์จึงเป็นเพื่อนสนิทที่พบกันเกือบทุกวัน
แต่ไชยวัฒน์ก็ไม่ยอมขายสวนสยามยังกัดฟันทำต่อไป เขาโชคดีที่ธนาคารกรุงเทพให้โอกาสอีกครั้ง
ปี 2527 สวนสยามจึงต้องเพิ่มทุนอีก 220 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น
260 ล้านบาท คราวนี้ที่ดินของสวนสยามทั้งหมด อาคารและอุปกรณ์ ทั้งใบหุ้นส่วนหนึ่ง
จำนองและจำนำไว้เพื่อเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้งวดใหม่เข้ามา
ว่ากันว่าในช่วงวิกฤตทางการเงินของสวนสยามนั้น เจ้าหนี้รายใหญ่ถึงกับส่งเจ้าหนี้มาดูแลการเก็บเงินค่าผ่านประตูวันต่อวันเลยทีเดียว
จนถึงวันนี้สวนสยามลงทุนไปแล้วทั้งสิ้นประมาณ 800 ล้านบาทสำหรับสาธารณูปโภค
เครื่องเล่นในสวนสนุก สวนน้ำ และสวนสัตว์ ขาดทุนสะสมติดต่อกันมาตั้งแต่เริ่มดำเนินการประมาณ
300 ล้านบาท เป็นหนี้เฉพาะธนาคารกรุงเทพฯอย่างเดียวเกือบ 400 ล้านบาท
ถึงอย่างไรไชยวัฒน์ก็ยอมสู้กับภาวะหนี้สินและหาทางหมุนเงินมาจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลาโดยไม่หนีหน้าไปไหน
คงไม่ผิดถ้าจะยกไชยวัฒน์ให้เป็น "ลูกหนี้ตัวอย่าง" ที่ยืนสง่าสู้หน้ากับเจ้าหนี้อย่างทรนง
แม้บางช่วงเวลาจะหาเงินกู้จากสถาบันการเงินไม่ได้ ไชยวัฒน์ก็ยอมหักใจขายทรัพย์สินที่ดินที่เขาสะสมมาตลอดชีวิตการทำงานออกไปทีละแปลง
สองแปลง เพื่อนำเงินมาลงทุนในสวนสยามและจ่ายเงินกู้ที่ถึงกำหนดชำระคืน
ตั้งแต่ปี 2524 ถึงปัจจุบัน ไชยวัฒน์ทยอยขายที่ดินของเขาออกไปแล้วมูลค่ากว่า
100 ล้านบาทไม่ว่าจะเป็น
ที่ดินข้างปั๊มน้ำมัน หน้าสำนักงานใหญ่ น.ส.พ.ไทยรัฐ 40 ล้านบาท
ที่ดินและร้านอาหารถ.ช้างเผือก จ. เชียงใหม่ 10 ล้านบาท
ที่ดินที่ลาดกระบัง 300 ไร่ 40 ล้านบาท
ที่ดินที่มีนบุรี 20 ไร่ 8 ล้านบาท
ที่ดิน ถ. รามอินทรา ตรงข้ามทางเข้าสวนสยาม 16 ไร่ 10 ล้านบาท
ที่ดิน 700 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินที่ซื้อพร้อมกับที่ดินสวนสยามขณะนี้ ทยอยขายไปในราคาประมาณ
100 ล้านบาทในนามบริษัทอมรพันธ์นคร ซึ่งไชยวัฒน์ถือหุ้นอยู่ 25% จึงได้ส่วนแบ่งมาประมาณ
25 ล้านบาท
ที่ดินที่เขาอีดำ จ. ระยอง 30 ไร่ 40 ล้านบาท
และที่ดินที่กำลังต่อคิวรอการขายเพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องของสวนสยามอีกคือที่ดินบริเวณ
ถ. รัชฎาภิเษกแยกบางเขน 16 ไร่ จะขายราคาประมาณ 100 ล้านบาท และที่ดินที่
อ. ชะอำ จ. เพชรบุรี 100 ไร่ จะขายในราคา 140 ล้านบาท
ไชยวัฒน์เคยรำพึงรำพันว่า "สวนสยามก็เหมือนกับทะเลนั่นแหละน้ำที่นี่ดูดเงินลงไปหมด"
ก็คงไม่ใช่เพราะการทำสวนสนุกนั้นเป็นการลงทุนไปกับทรัพย์สินถาวรมากแต่ไม่เพียงเท่านั้นยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้สวนสยามดูดเงินลงไปชนิดจมหาย
ๆ
เริ่มจากการบริหารทางด้านการเงิน เพราะเมื่อแรกเริ่มสวนสยามวางแผนการเงินระยะยาวไม่รัดกุม
เงินลงทุนส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะสั้น ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ขณะที่กิจการสวนสนุกเป็นการลงทุนที่ระยะคืนทุนยาว
แต่เงินกู้ส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะสั้น เมื่อระยะคืนทุนกับเงินกู้ไม่สัมพันธ์กัน
ทำให้มีปัญหาเรื่องเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งไชยวัฒน์แก้ปัญหาโดยการขายทรัพย์สินที่ดินส่วนตัวออกไปเรื่อย
ๆ เพื่อนำเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ต้องทำติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ที่เชื่อมต่อกันไม่มีวันจบ
"ไชยวัฒน์ไม่มีความชำนาญเรื่องการเงิน" แหล่งข่าวใกล้ชิดกับไชยวัฒน์เมื่อครั้งทำกิจการเงินทุนกล่าวกับ
"ผู้จัดการ" และเพราะไชยวัฒน์เป็นผู้บริหารการเงินของสวนสยามเอง
จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมไชยวัฒน์ต้องหมุนเงินจนหัวปั่นจนถึงทุกวันนี้
ทางด้านการตลาดสวนสยามไม่มีการเตรียมการทางด้านการตลาดที่เป็นระบบไม่ว่าจะเป็นด้านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์
หรือกลยุทธ์ทางการตลาดอื่น ๆ ที่ชักชวนให้คนมาเที่ยว
"เมื่อคิดอะไรออกก็ทำ ๆ ไปตามประสบการณ์" ไชยวัฒน์สารภาพกับ
"ผู้จัดการ" ถึงการตลาดและการส่งเสริมการขายที่สวนใหญ่มาจากความคิดของไชยวัฒน์ตามแต่สะดวก
ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2525 ไชยวัฒน์จัดงานสวนสยามเอ็กซ์โปร์เพื่อร่วมฉลอง
200 ปี กรุงเทพมหานคร ทั้งที่ไม่มีการเตรียมพร้อมล่วงหน้าอะไรมากนัก โดยเฉพาะความร่วมมือจากทางภาครัฐบาลผลจากงานนั้นสวนสยามขาดทุนอีกไม่ต่ำกว่า
10 ล้านบาท
หรือแม้แต่บัตรฟรี เข้าสวนสยามซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการขายที่งบประมาณปีละ
3-5 ล้าน ก็ไม่มีการควบคุมการใช้อย่างรัดกุม ว่ากันว่าในฤดูการเลือกตั้งไชยวัฒน์พิมพ์แจกเป็นใบปลิวเลยทีเดียว
และที่สำคัญระบบการตัดสินใจของสวนสยามนั้นขึ้นอยู่กับไชยวัฒน์เพียงคนเดียว
ถึงแม้ไชยวัฒน์จะมีที่ปรึกษามากมายหลายคณะ หลายกลุ่ม ที่สามารถเสนอคำแนะนำและความคิดเห็นได้เสมอ
แต่สำหรับคำแนะนำที่นอกเหนือไปจาก SENCE หรือความตั้งใจของไชยวัฒน์แล้วคำแนะนำนั้นจะไร้ความหมายทันที
ไชยวัฒน์ทำงานแบบ ONE MAN SHOW ตั้งแต่ระดับตัดสินใจ จนถึงขั้นปฏิบัติงาน
เขาทำได้หมด บางครั้งเขาตัดสินใจซื้อเครื่องเล่นราคา 40-50 ล้านบาทด้วยตนเอง
คิดจัดงานส่งเสริมการขายที่ต้องใช้เงินทุนนับล้านเพื่อนสนองความต้องการของตนเอง
และในบางเวลาที่เดินตรวจตราสวนสนุกไชยวัฒน์ก็เก็บไม้เสียบลูกชิ้นลงถังขยะอย่างหน้าตาเฉย
การบริหารงานของสวนสยามก็ยังคงเป็นระบบครอบครัว เพราะไชยวัฒน์และครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ทั้ง ๆ ที่ไชยวัฒน์เองก็พูดเสมอว่าจะพยายามให้สวนสยามบริหารงาน โดยมืออาชีพ
และต้องการให้คนนอกเข้ามามีส่วนในการบริหารงาน แต่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร
"สวนสยามผมทำคนเดียวเกือบทุกอย่าง คนเราเมื่อสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้แล้วก็อยากลงทุนอยากขยายงาน
มันท้าทายให้เราทำอะไรโดยไม่ได้พิจารณาฐานเลยว่าแน่นหรือยัง" ไชยวัฒน์พูดถึงจุดอ่อนของการเป็นเถ้าแก่
และการไม่คำนึงถึงฐานด้านการเงิน ซึ่งมีส่วนทำให้สวนสยามเป็นการลงทุนชนิดจมหาย
ๆ และมีหนี้สินมาก
แต่ขณะนี้สถานการณ์สวนสยามเริ่มดีขึ้น เครดิตของไชยวัฒน์เริ่มกลับมาอีกครั้ง
เขาคาดว่าปี 2530 นี้จะเป็นปีแรกที่สวนสยามดำเนินกิจการคุ้มทุน เพราะปีนี้เป็นปีท่องเที่ยวไทยที่คาดว่าการท่องเที่ยวจะคึกคักเป็นพิเศษ
สวนสยามได้ร่วมกับทาง ท.ท.ท. จัดงานหลายงาน และมีการวางแผนการตลาดที่เป็นระบบยิ่งขึ้น
โดยเริ่มด้วยการให้ลินตัสทำโฆษณาด้วยงบประมาณ 20 ล้านบาท มีการเตรียมพนักงานประชาสัมพันธ์และต้อนรับเป็นพิเศษและจัดพนักงานขายที่จะออกไปติดต่อกับกลุ่มต่างๆ
ให้เข้ามาเที่ยวสวนสยามโดยเจาะเป็นกลุ่ม ๆ เช่น โรงเรียน บริษัท ห้างร้านต่าง
ๆ และตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะมีคนมาเที่ยวสวนสยามประมาณ 2 ล้านคน
สวนสยามขณะนี้ก่อสร้างเสร็จแล้ว 90% ทุนที่ลงไปกว่า 800 ล้านบาท เริ่มแสดงผลกลับมาให้เห็น
สวนสยามกำลังจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่สมบูรณ์ มีสาธารณูปโภคพร้อม มีรถเมล์เข้าถึง
ถ. สุขาภิบาล 2 กำลังปรับปรุงให้เป็นถนนคอนกรีต 4 ช่องทางที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จภายใน
2 ปี โครงการถนนวงแหวนรอบนอกที่จะทำให้การเดินทางจากที่ต่าง ๆ มาสวนสยามเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายกำลังปะติดปะต่อเป็นรูปเป็นร่าง
เมื่อทุกอย่างในสวนสยามเสร็จสมบูรณ์และพื้นที่บริเวณรอบ ๆ ได้พัฒนาเต็มที่แล้ว
คงเป็นเวลาที่ไชยวัฒน์ทำสวนสยามได้ 10 ปี และตามที่ไชยวัฒน์เคยพูดไว้ว่าทุน
1,000 ล้านบาทที่ลงไปจะเห็นผลในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งขณะนี้ก็ใกล้เวลานั้นเข้ามาแล้ว
และเมื่อถึงเวลานั้นที่ดิน 300 ไร่ของสวนสยามที่ไชยวัฒน์ซื้อไว้ในราคาไร่ละ
1 แสนบาท จะมีราคาไม่ต่ำกว่าไร่ละ 3 ล้านบาท
และนั่นคือบทพิสูจน์ที่ว่าไชยวัฒน์เป็นนักพัฒนาที่ดินจริง!
แต่กว่าจะถึงวันนั้น ในปีนี้ไชยวัฒน์ต้องทำให้สวนสยามมีรายได้ไม่ต่ำกว่า
100 ล้านบาทจึงจะคุ้มทุนที่จะต้องหักเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประมาณ
60 ล้านบาท ค่าดอกเบี้ยอีกประมาณ 40 ล้านบาท ในเฉพาะหน้านี้ไชยวัฒน์ต้องพยายามเต็มที่และหยุดไม่ได้ที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายนั้น
แม้จะต้องขายทรัพย์สินส่วนตัวออกไปอีกก็ตาม
"ผมขายอะไรมามากแล้ว ขายจนไม่มีอะไรจะขายแล้ว เคยมีคนบอกให้ผมหยุด
แต่ผมหยุดไม่ได้เพราะถ้าหยุดผมตายทันที" ไชยวัฒน์กล่าวทิ้งทายกับ "ผู้จัดการ"
ใช่! ไชยวัฒน์ยังหยุดไม่ได้และยังตายไม่ได้ เพราะมีอีกหลายคนที่ต้องการให้ไชยวัฒน์อยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหนี้รายใหญ่ที่ชื่อ "แบงก์กรุงเทพ"