อมร วงษ์สุรวัฒน์ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขโคราชโดยกำเนิดอายุนับถึงปัจจุบัน
52 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เจ้าตัวบอกกับใคร ๆ ว่ากำลังฟิตเปรี้ยะการศึกษาชั้นประถมจบที่
โรงเรียนประสาทวิทย์วัฒนาชั้นมัธยมที่โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยและโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา
โดยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของ จเร จุฑารัตนกุล อธิบดีกรมพาณิชย์สัมพันธ์คนปัจจุบัน
อมร เป็นคนในตระกูล "วงษ์สุรวัฒน์" ที่เรียนไม่สูงนักการศึกษาสูงสุดแค่
ประกาศนียบัตรชั้นสูง ของโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์แต่จากประสบการณ์การทำงานและดำเนินธุรกิจที่เชี่ยวชาญทำให้เขาเป็นพ่อค้ารุ่นแรกที่ผ่านการอบรม
ประกาศนียบัตรการบริหารของนิดา-ไอเม็ท
นอกจากนี้ยังเป็นพ่อค้าคนเดียวที่รับเลือกให้ดูงานและอบรมการพัฒนาหอการค้าของหอการค้าสหรัฐอเมริการ่วมกับมหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา
จนเดี๋ยวนี้อมรกลายเป็นอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยชั้นนำในเมืองไทยไปแล้วหลายแห่ง
อมร ประกอบอาชีพปั้นน้ำให้เป็นเงินโดยเป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงน้ำแข็งดำรงไทย
ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกน้ำแข็งหลอด "ดิท" น้ำแข็งหลอดอนามัยแห่งแรกของภาคอีสาน
กิจการโรงน้ำแข็งของเขาจัดอยู่ในอันดับแนวหน้าของภาค นอกจากจะเป็นผู้นำเทคโนโลยีการผลิตใหม่
ๆ แล้ว การจัดการภายในก็นำเอารูปแบบการบริหารสมัยใหม่มาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ทีมงานไม่หยุดหย่อน
ด้วยความกระตือรือร้นดังกล่าว เกือบชักนำให้ชีวิตของเขาเดินทางไปพบปะพญามัจจุราชก่อนวัยอันสมควรเสียแล้ว
เมื่อมือปืนเหี้ยมบุกเข้าสังหารแบบประชิดตัวในปี 2524 สภาพในครั้งนั้น ใคร
ๆ ก็ลงความเห็นกันว่า เขามีโอกาสรอดไม่ถึง 1%
เบื้องหลังการตั้งใจฆาตกรรม ถึงปัจจุบันก็ยังเป็นปมที่มืดดำทั้ง ๆ ที่รู้แล้วว่าเขาถูกสั่งเก็บเพราะไปขวางเส้นทางผลประโยชน์ของคนบางคนเข้าอย่างจัง
"ย้อนกลับไปคิด ก็อดงงไม่ได้เหมือนกันว่า เรานี่รอดมาได้ยังไง"
เขามักกล่าวทีเล่นทีจริงอย่างนี้เสมอๆ แต่ว่ากันว่าที่เขาผ่านมรสุมชีวิตมาได้
เป็นเพราะจิตใจที่เด็ดเดี่ยว มั่นคง ซึ่งนั่นก็คือบรรทัดฐานที่ส่งผลให้การทำงานในปัจจุบันเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เด็ดขาด แต่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ
อมร เข้าสู่วงการหอการค้าเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานหอการค้า
จังหวัดนครราชสีมา เป็นมาจนถึงสมัยที่สอง ซึ่งจะหมดอายุในปีนี้ หอการค้านครราชสีมาในยุคของเขาจัดได้ว่าเป็นหอที่มีความเคลื่อนไหวพัฒนาอย่างสูงจนได้รับเลือกให้เป็นหอฯ
ดีเด่นถึง 2 ปีติดต่อกัน
แม้กฎข้อบังคับจะเขียนไว้ว่า บุคคลหนึ่งสามารถเป็นประธานหอฯได้เพียง 2
สมัย แต่ก็ยังมีสมาชิกจำนวนไม่น้อยพร้อมที่จะสนับสนุนให้เขาดำรงตำแหน่งต่อ
ถึงกับบอกว่ากฎมันแก้ได้ ด้วยการยกมือโหวต ทว่าอมรกลับบอกว่า "เฮ้ยไม่ได้คนเก่งยังมีอีกแยะ"
เขาเป็นคนรักการอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ อ่านหนังสือมากมายหลายประเภท
และจากข้อมูลหนังสือต่างๆ ทำให้เกิดไอเดียที่จะพัฒนาเศรษฐกิจธุรกิจไม่หยุดหย่อน
โครงการล่าสุดที่คิดและเป็นที่กล่าวขวัญกันมากก็คือ "โครงการเถ้าแก่น้อย"
เขาบอกว่า เมืองไทยควรฝากฝังชะตากรรมและความอยู่รอดไว้กับคนหนุ่มสาว เถ้าแก่น้อยของเขาในวันนี้คือนักธุรกิจที่เปี่ยมด้วยความสามารถ
และคุณธรรมในวันข้างหน้า โครงการนี้แม้แต่ไอเอฟซีที.เองก็ยังสนใจ
ยังมีโครงการที่น่าสนใจอีกมาก จนลูกน้องที่หอการค้าเคยแซวอยู่บ่อย ๆ ว่า
"คุณอมรนี่เมื่อไรจะหยุดคิดเสียที" และก็ด้วยความเป็นเจ้าโครงการ
ทำให้ใคร ๆ ในโคราชอดไม่ได้ที่จะเรียกเขาว่า
ท่านอมร สุนทรเวช
ถึงแม้รูปร่างค่อนข้างจะออกไปในทางอุ้ยอ้าย แต่เมื่อถึงเวลาลงมือทำงานแทบจะเป็นคนละคน
อมรเป็นคนที่ทำงานรวดเร็วและละเอียดรอบคอบไม่น้อย บ่อยครั้งหลังเลิกงานอดไม่ได้ที่จะต้องเสวนากับลูกน้องเพื่อตรวจสอบงานว่าดำเนินไปอย่างไรบ้างและด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้
ชื่อของจึงถูกเลือกเป็นอันดับแรกให้เข้ารับตำแหน่ง เลขาธิการสำนักหอการค้าแห่งประเทศ
งานที่ใคร ๆ กำลังพากันจับตาว่าก้าวย่างในอนาคตจะเป็นไปอย่างไร ซึ่งนับต่อจากนี้ไปเห็นทีเขาจะต้องเหนื่อยเป็นสองเท่า
โอกาสที่จะเพลิดเพลินกับการเล่นเครื่องบินเล็กที่ชอบมาก ๆ คงลดน้อยลงไป
สมภพ สุสังกรกาญจน์ เป็นหมออีกคนที่ไม่สู้จะเอาดีในการจับเข็มฉีดยารักษาคนไข้
ทว่ามุ่งมั่นที่จะสร้างชื่อเสียงตนเองให้เป็นที่ขจรขจายในแวดวงธุรกิจ
เริ่มดำเนินธุรกิจครั้งแรกภายใต้ชื่อ บริษัท รวมแพทย์ จำกัด โดยเป็นผู้แทนจำหน่ายเวชภัณฑ์และยารักษาโรคต่าง
ๆ ก้าวแรกของเขาประสบกับการขาดทุนอย่างไม่เป็นท่า แต่หมอสมภพเมื่อสามสิบปีก่อน
คือหมอสมภพที่อุดมไปด้วยความเชื่อมั่น ฉับไวและขยันขันแข็ง เพียงไม่กี่ปีสามารถพลิกฟื้น
บริษัทรวมแพทย์จำกัด ให้มีผลกำไรอย่างงดงาม พร้อมกับการขยายตัวเองให้เข้าไปมีบทบาทในวงการเงิน
ด้วยการเป็นกรรมการบริหารคนสำคัญของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ นทีทอง จำกัด
บริษัทในเครือของวัลลภ ธารวณิชกุล หรือ จอห์นนี่ มา คนที่ทางการกำลังรอคอยการกลับมาด้วยใจเสน่หา
นอกจากนี้ยังเป็นกรรมการบริหาร บริษัทชลประทานซีเมนต์ จำกัด แต่ตอนหลังต้องกระเด็นออกมาเมื่อร่วมกับ
ดร. รชฎ กาญจนวณิชย์ กรรมการบริหารอีกท่านหนึ่ง ตั้งป้อมงัดข้อกับผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มเอเชียทรัสต์
แม้จะเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวเพียงไร แต่ระยะหลังเขาค่อนข้างจะเก็บตัวและขี้เกรงใจค่อนข้างสูง
เมื่อได้รับแต่งตั้งจากนายกเปรมให้เป็นวุฒิสมาชิกและเป็นผู้หนึ่งที่ติดตามนายกเปรมแบบไม่ขาดตอนซึ่งเมื่อมีปัญหาของพ่อค้าทีไร
ทุกคนก็ได้แต่รอกันว่า
"เมื่อไรหมอสมภพจะแทงใจดำนายกฯ ด้วยปัญหาเหล่านั้นเสียที"
หมอสมภพเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการหอการค้าไทยครั้งแรกเมื่อปี 2502 ซึ่งสมัยนั้นหอการค้าไทยมีเงินติดลบถึง
50,000 บาทแต่ด้วยความเป็นนักบริหารชั้นนำ หมอสมภพสามารถกอบกู้ฐานะที่ตกต่ำให้ฟูเฟื่องได้อย่างน่าชื่นชม
จากนั้นจึงเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าตั้งแต่ปี
2523 เป็นต้นมา แต่เหมือนกับชะตาชีวิตจะเล่นตลก ปรากฏว่าผลงานของหอการค้าในระยะหลังๆ
ในสายตาคนทั่วไปหาได้มีอะไรขยับเขยื้อนขึ้น
บ้างก็ว่าหมอสมภพชราภาพเกินไปที่จะเป็นผู้นำองค์กรนำด้านการค้าของประเทศ
บ้างก็ว่าเพราะผูกพันกับงานการเมืองมากเกินขอบเขต
ตื้นลึกหนาบาง อะไร ๆ ที่คลุมเคลือในหอการค้าไทย หลาย ๆ คนปรารถนาจะให้หมอสมภพตีแผ่อออกมาให้รับรู้จะ
ๆ เสียที...งานเลี้ยงที่ใกล้เลิกลา ปุยนุ่นหรือหินผา มีแต่หมอคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ลิขิต