นักเศรษฐศาสตร์หลายๆ คนตั้งคำถามเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวันทั้งในงานและที่บ้านว่า จริงๆ แล้ว มูลค่าของคอมพิวเตอร์เป็นเท่าไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ พวกเขาคิดว่า คอมพิวเตอร์มีราคาสูงกว่าที่เราจ่ายกันจริงๆ อยู่ในทุกวันนี้แน่นอน
ราคาคอมพิวเตอร์ที่เราจ่ายทุกวันนี้เริ่มต้นที่ประมาณหลัก ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาท, หมื่นต้นๆ ไปจนถึงหลายหมื่นบาท เมื่อรวม กับราคาค่าอินเทอร์เน็ตไฮสปีดประมาณไม่ถึงหนึ่งพันบาทต่อเดือน ถ้ามองว่า เราซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้งานเป็นเวลา 4 ปี นั่นเท่ากับว่า เราจ่ายเงินเดือนละประมาณ 1,500 บาท หรือปีละ 18,000 บาทเท่านั้น แต่เมื่อมองการใช้งานแล้ว เราใช้เวลาสองหรือสามพันชั่วโมงต่อปีสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์
ไม่ว่าจะเป็นการใช้เพื่อการทำงานจริงๆ จังๆ หรือเพื่อความสนุกสนานและความบันเทิงต่างๆ เพื่อเปรียบเทียบราคาสินค้าต่างๆ ที่เราจะซื้อ, ทำบัญชี, เล่นเกมออนไลน์, อ่านข่าวสาร และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าเราไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์แล้ว การทำกิจกรรมเหล่านี้ก็จะต้องใช้เงินจำนวนมากพอสมควร อย่าลืมว่า เราทำกิจกรรมเหล่านี้เกือบทุกวัน เมื่อคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายต่อปีแล้ว เงินเพียง 18,000 บาทที่เราจ่ายไปต่อปีสำหรับคอมพิวเตอร์ที่เราใช้งานดูจะเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากมายอะไร
นี่จึงเป็นประเด็นที่ทำให้เหล่านักเศรษฐศาสตร์หันมาตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้ว มูลค่าของคอมพิวเตอร์มีมากกว่าราคาที่ตลาดเก็บเงินจากเราหรือเปล่า (ตลาดเก็บเงินเราเป็นค่าราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ บวกกับค่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและค่าไฟ) ซึ่ง สำหรับนักเศรษฐศาสตร์แล้ว ในการคำนวณมูลค่าสินค้าต่างๆ พวกเขาจะให้ความใส่ใจเกี่ยวกับมูลค่าของต้นทุนค่าเสียโอกาสรวมถึงผลประโยชน์ส่วนเกินต่างๆ ด้วย รวมถึงผลประโยชน์ที่รายรอบมูลค่าจีดีพี, การใช้จ่าย และรายได้ต่างๆ
ดังนั้น นักเศรษฐศาสตร์หลายๆ คนจึงพยายามที่จะวัดมูลค่าของ “ส่วนเกินผู้บริโภค (consumer surplus)” ของการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต โดย “ส่วนเกินผู้บริโภค” เป็นศัพท์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ใช้ในการเรียกผลประโยชน์ที่เราได้รับโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเติม อย่างเช่น งานของ Brynjolfsson และคณะที่ศึกษาถึงผลกระทบของร้านขายหนังสือออนไลน์อย่างเช่น อเมซอน
Erik Brynjolfsson นักเศรษฐศาสตร์ จาก MIT ซึ่งใช้เวลากว่าสองทศวรรษในการศึกษาถึงผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีที่มีต่อธุรกิจและเศรษฐศาสตร์มหภาค ได้อธิบายถึงปัญหาการกำหนดมูลค่าที่จะมาเปลี่ยนแปลงวิธีการวัดเอาท์พุททางเศรษฐกิจเนื่องจากความหลากหลายของสินค้า, บริการ และประสบการณ์ดิจิทัล ออนไลน์ต่างที่ปัจจุบันมีมากขึ้นเรื่อยๆ และยากที่จะคำนวณมูลค่าออกมา
ในงานวิจัยนี้ เขากล่าวถึงเว็บอเมซอนว่าทำให้สามารถแสดงความหลาก หลายของหนังสือที่มีอยู่ได้มากกว่าร้านขาย หนังสือทั่วๆ ไป ซึ่งช่วยเพิ่มผลประโยชน์ให้กับผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยศักยภาพ ที่เพิ่มขึ้นจากการแข่งขันที่มากขึ้นอย่างชัดเจนช่วยเพิ่มส่วนเกินผู้บริโภคให้เด่นชัดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ทำให้ราคาสินค้าโดยเฉลี่ยลดลงและยิ่งเพิ่มความหลากหลาย ของสินค้ามากขึ้นเพียงใดในตลาดสินค้าออนไลน์ก็ยิ่งทำให้ส่วนเกินผู้บริโภคขยายใหญ่มากขึ้นๆ
โดยเหตุผลสำคัญที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าบนอินเทอร์เน็ตก็คือ ความสามารถของเว็บไซต์ต่างๆ ที่จะสามารถสร้างรายการสินค้า, การแนะนำสินค้า และความสามารถในการขายสินค้า จำนวนมากๆ โดยผู้ขายสินค้าบนอินเทอร์ เน็ตจะมีสินค้าคงคลังเสมือน (virtual inventory) ที่กว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุดผ่านระบบการจัดการโกดังสินค้าศูนย์กลางและ ข้อตกลงการส่งสินค้ากับผู้จัดจำหน่ายสินค้าอื่นๆ อย่างบน Amazon.com มีจำนวนหน้าปกหนังสือในปีที่ทำการศึกษามากกว่าจำนวนหน้าปกในร้าน Barnes & Noble มากถึง 23 เท่า โดย Barnes & Nobel เป็นร้านหนังสือสาขาขนาดใหญ่ใน ประเทศสหรัฐอเมริกาและมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ แต่เมื่อเทียบกับร้านหนังสืออิสระ ขนาดใหญ่ทั่วๆ ไปแล้ว Amazon.com มีจำนวนหน้าปกหนังสือมากกว่าถึง 57 เท่า ตัวเลยทีเดียว ดังตารางต่อไปนี้
นอกจากนี้ เขายังคำนวณมูลค่าที่ผู้บริโภคในยุคก่อนอินเทอร์เน็ตได้รับเพิ่มขึ้นภายหลังจากการถือกำเนิดของตลาดสินค้าออนไลน์ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถตามหาหนังสือหายากต่างๆ ได้ในราคาตลาดที่สมเหตุสมผลมากขึ้นและได้เร็วเท่าที่พวกเขาต้องการ
งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ความหลากหลายของสินค้าในร้านหนังสือออนไลน์ในปี 2000 ช่วยเพิ่มส่วนเกินผู้บริโภคประมาณ 731 ล้านเหรียญถึง 1.03 พันล้านเหรียญ ซึ่งคิดเป็น 7-10 เท่าของผลประโยชน์จากสวัสดิการผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มการแข่งขันและราคาที่ลดลงของสินค้าในตลาด นอกจากนี้ยังจะมีสวัสดิการผู้บริโภค ที่เพิ่มขึ้นอีกมากมายจากสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง, ภาพยนตร์, เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีความพยายามในประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทำเนียบขาว แล้วต่อมาเป็นฟอร์ด โดยในปี 2006 พวกเขาพิจารณาถึง สวัสดิการส่วนเพิ่มที่ไม่สามารถนับค่าได้ที่พวกเราได้รับจากอินเทอร์เน็ต โดยพบว่า ผู้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ใช้จ่ายเพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์สำหรับการใช้งาน อินเทอร์เน็ตในปี 2004 แต่กลับใช้เวลาของ พวกเขามากถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของเวลาที่พวกเขาใช้ในการทำกิจกรรมเพื่อการพักผ่อน สำหรับสินค้าอย่างอินเทอร์เน็ตนั้นการประมาณการความยืดหยุ่นของราคา ต่อการใช้จ่ายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ดังนั้น การคำนวณหาค่าสวัสดิการส่วนเพิ่มจึงออกมาไม่ค่อยแน่นอนเท่าใด พวกเขาได้พัฒนาโมเดลที่สามารถใช้ในการคำนวณหาสวัสดิการส่วนเพิ่มโดยอิงจากค่าใช้จ่ายและการใช้เวลาของผู้บริโภคในสินค้านั้นๆ โดยศึกษาจากสินค้าที่เกี่ยวข้อง กับการใช้เวลาอย่างอินเทอร์เน็ต
ซึ่งจากโมเดลของพวกเขาแสดงให้เห็นว่า ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีรายได้สูงจะใช้เวลาในการออนไลน์สำหรับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานน้อยกว่า พวกเขาสามารถ คำนวณออกมาได้ว่า มูลค่าของส่วนเกินผู้บริโภคจากการใช้งานอินเทอร์เน็ต คิดเป็น 2 เปอร์เซ็นต์ของรายได้รวมทั้งหมดซึ่งคิดเป็นมูลค่าของสวัสดิการส่วนเพิ่มจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตเท่ากับ 3,800 เหรียญสหรัฐต่อคน
ล่าสุด Karen Kopecky จากธนาคารกลางของเมืองแอตแลนตาและ Jeremy Greenwood จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียก็ศึกษาประเด็นเดียวกันนี้ โดยพวกเขาศึกษาถึงมูลค่าของคอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคลตั้งแต่ Apple II ในปี 1977 จนถึงคอมพิวเตอร์รุ่นท็อปในทุกวันนี้ โดยใช้การหามูลค่าของเทคโนโลยีใหม่อื่นๆ เป็นแนวทาง
ท้ายที่สุด พวกเขาประมาณการได้ว่า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมีมูลค่าคิดเป็น 2-3 เปอร์เซ็นต์ของค่าใช้จ่ายในการบริโภคทั้งหมด ซึ่งคิดเป็น ค่าใช้จ่ายประมาณ 650 เหรียญต่อคนต่อปี
เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Tyler Cowen ที่กล่าวว่า ยิ่งเราเปลี่ยนแปลงการ ใช้เวลาของเรามากแค่ไหน ก็ทำให้เราเชื่อถือสถิติของรายได้ที่แท้จริงที่เราเก็บได้น้อยลงเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่าการศึกษา ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นการศึกษาและหา มูลค่าสิ่งที่ไม่สามารถวัดค่าที่ชัดเจนออกมาได้ แต่สิ่งที่เราน่าจะตอบคำถามกับตัวเองได้ในตอนนี้ก็คือเราคง ไม่สามารถขาดคอมพิวเตอร์หรือช่องทางใดๆ ที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ได้แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวัน ของเราไปแล้ว
การให้ค่าใดๆ กับสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบ ใด เราก็คงบอกได้ว่า ค่านั้นต้องมากมายพอสมควรเลยทีเดียว และถ้าตอนนี้เราจ่ายเงินไม่มากมายนัก ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็ถือว่าได้ประโยชน์มากมายมหาศาลเลย
อ่านเพิ่มเติม
1. Lawrey, A. (2011), ‘Do Computers Cost Too Little?,’ Slate.com, April 13, 2011,
http://www.slate.com/id/2291186/
2. Cowen, T. (2006), ‘How much is the Internet Worth?,’ Feb 7, 2006,
http://marginalrevolution.com/marginalrevolution/2006/02/how_much_is_the.html
3. “Worth A Look: Tyler Cowen” ‘The Great Stagnation,’ The Washington Post,
http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/content/article/2011/02/12/AR2011021202408.html
4. Brynjolfsson, E., Hu, Y. and Smith, M. D. (2003), ‘Consumer Surplus in the Digital Economy: Estimating the Value of Increased Product Variety at Online Booksellers, Management Science.
5. Goosbee, A. and Klenow, P. J. (2006), ‘Valuing Consumer Products by the Time Spent Using Them: an Application to the Internet,’ Working Paper 11995, National Bureau of Economic Research,
http://www.nber.org/papers/w11995
|