ปีนี้ชาตรี โสภณพนิช อายุเพิ่งจะ 54 ขึ้นนั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงเทพมาแล้ว
6 ปี และครอบครองอาณาจักรส่วนอื่นๆ ที่ได้รับตกทอดมาจากชิน โสภณพนิช มากว่า
10 ปี เป็นอย่างน้อย ชาตรีนั้นบทบาทของเขาในช่วงหลังเห็นเป็น 2 บทบาทอย่างเห็นได้ชัด
บทบาทหนึ่งเป็นบทบาทของผู้นำแบงก์ ส่วนอีกบทบาทของการสร้างอาณาจักรส่วนตัว
ซึ่งเขาค่อนข้างประสบผลสำเร็จงดงาม ทั้ง 2 ส่วน ชาตรีนั้นมักจะแสดงออก ถึงความพยายามที่จะขึ้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ เขาดูเหมือนไม่รู้จักคำว่าที่สุด เขารู้จักเพียงคำว่าหมายเลขหนึ่ง ชาตรีกำลังจะเดินออกไปในทิศทางไหนต่อแต่นี้
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เป็นวันเกิดครบรอบปีที่ 54 ของ ชาตรี โสภณพนิช
ลองหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับก็น่าจะพูดได้ว่าเขาก้าวขึ้นไปได้สูงมาก ๆ และหากจะมองข้างหน้าบนจุดหมายที่สูงขึ้นไปอีก
ชาตรี โสภณพนิช ก็คงจะยังมีเวลาอยู่พอเพียง
ภารกิจในวันนี้ของเขานั้นเป็นการสร้างอาณาจักรทางธุรกิจเพื่อเตรียมส่งมอบให้กับ
"โสภณพนิช" ในรุ่นที่สาม โดยเฉพาะลูก ๆ ของเขา
มันเป็นอาณาจักรที่ใหญ่โตมโหฬารกว่าที่เขาเคยได้รับตกทอดมาจากรุ่นที่หนึ่งอย่างพ่อของเขา
ชิน โสภณพนิช ได้มอบแก่เขามากมายนักแล้วในทุกวันนี้
ให้ตายเถอะ!! มันจะใหญ่โตปานไหนในวันที่ส่งมอบจากรุ่นที่สองอย่างเขาไปให้กับรุ่นที่สาม
? บางทีชาตรีเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ !
"เมื่อคุณตั้งเป้าว่าคุณจะต้องเป็นนัมเบอร์วันตลอดกาล คุณก็จะต้องเป็นนัมเบอร์วันตลอดกาล
คุณก็จะต้องเดินหน้าเพื่อหนีห่างคู่แข่งของคุณไปเรื่อย ๆ ตราบเท่าที่คู่แข่งเขาไม่หยุด
ซึ่งบางทีคุณก็คาดไม่ได้หรอกว่าเป้ามันจะไปหยุดอยู่ตรงไหนเพราะไม่มีคำว่าสิ้นสุดสำหรับผู้ที่ต้องการครอบครองตำแหน่งหมายเลขหนึ่งไปเสียหมดอย่างนี้"
อาจารย์สอนจิตวิทยาท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ ซึ่งน่าจะนำไปใช้อธิบายหลาย ๆ พฤติกรรมได้อย่างมีเหตุผล
แม้แต่ในเกมกีฬาที่นักธุรกิจชั้นนำกำลังคลั่งไคล้กันอยู่ขณะนี้...การเล่นเรือเร็วที่ชาตรีก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบมาก
ว่ากันว่าเรือของเขาจะต้องเป็นเรือที่เร็วที่สุด หากเมื่อใดที่ทราบว่ามีเรือของคนอื่นเร็วกว่า
เขาจะหาทางทุกวิธีที่เรือจะสามารถเร็วขึ้นและเป็นเรือที่เร็วที่สุดอีกครั้ง
เป็นเรื่องที่ไม่ได้เคร่งเครียดอะไรมากนัก แต่สำหรับชาตรีก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องท้าทายและช่วยปลุกพลังการต่อสู้ของเขาให้คุโชนอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งพลังเช่นนี้เองที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
เขาเป็นนักแข่งขันคนหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
เขาเชื่อมั่นในระบบที่ผู้แข็งแรงกว่าย่อมมีชัยต่อผู้อ่อนแอ เขามีคุณสมบัติพื้นฐานหลายประการที่คล้ายคลึงกับ
ชิน โสภณพนิชและอีกหลายคน
เพียงแต่เขาเป็นผลผลิตทางสังคมที่ต่างจากชินกับอีกบางคนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ชิน โสภณพนิช พ่อของเขานั้น เริ่มต้นอย่างคนมือเปล่าแท้ ๆ
เขาเดินทางรอนแรมกลางทะเลจากซัวเถามาถึงประเทศไทยในสภาพเด็กหนุ่มนักแสวงโชค
ช่วงแรกต้องใช้แรงทำงานเป็นกุลี แต่ด้วยความที่มีหัวการค้าและหมั่นศึกษาจดจำก็ขยับฐานะมาเป็นเสมียนในร้านค้าแล้วต่อมาก็มีกิจการเล็ก ๆ เป็นของตนเอง
ชินเริ่มเป็นปึกแผ่นจริง ๆ ก็ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และภายหลังจากนั้น
ส่วนชาตรีแม้ว่าจะลืมตาดูโลกในช่วงที่พ่อของเขา-ชิน ยังยากจนอยู่ก็ตาม
แต่เขาก็เติบโตขึ้นมาพร้อม ๆ กับความมั่งคงของครอบครัวที่เพิ่มขึ้น
ชาตรีเกิดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2476 สถานที่ถูกระบุว่าเป็นประเทศไทยที่โรงพยาบาลจุฬาฯ
เขามีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า อังเดร ส่วนชื่อจีนดั้งเดิมนั้นชื่อ อู้เข่ง แซ่ตั้ง
กล่าวกันทั่ว ๆ ไปเมื่ออายุได้ 6 ขวบเขาติดตามแม่กลับประเทศจีน (ที่ซัวเถา)
เผอิญเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 การคมนาคมไม่สะดวก เขาจึงต้องพำนักอยู่ที่นั่นจนโต
และหลังสงครามยุติแล้วเขากับพี่ชายอีกคนที่ชื่อโรบิน (ชื่อจีน ขี่หั่ง แซ่ตั้ง)
ก็ถูกส่งไปเรียนที่ฮ่องกงจนสำเร็จวิชาด้านบัญชีจากวิทยาลัย KWANG TAI
HIGH ACCOUNTANCY เมื่ออายุ 19 จากนั้นจึงเดินทางกลับประเทศไทยตามคำสั่งของชิน
โสภณพนิช ซึ่งก็คงจะตรงกับ พ.ศ.2495
ในปี 2495 นั้น ชิน โสภณพนิช มีกิจการต่อตั้งขึ้นแล้วจำนวนหนึ่ง
อย่างเช่นบริษัทฮ่วยชวนที่ชินร่วมทุนกับตระกูล "ซอโสตถิกุล"
และเสริม คู่อรุณก็ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2491 เพื่อค้ายางพารา, ข้าวและพืชเกษตร
บริษัทเอเซียประกันภัยที่ร่วมทุนกับกำธร วิสุทธิผล ก่อตั้งเมื่อปี 2492
บริษัทวิธสินประกันภัย บริษัทเอเซียคลังสินค้าและบริษัทสุขสวัสดิ์ประกันชีวิตในปี
2493 และ 94 ตามลำดับ
แต่ที่เป็นหัวใจของโครงสร้างธุรกิจของชินแล้ว คงจะเป็นธนาคารกรุงเทพ ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี
2487 ซึ่งชินได้เข้าเป็นกรรมการชุดแรกและต่อมาได้ดำรงตำแหน่งคอมปะโดร์ของธนาคารนี้แทนคอมปะโดร์คนแรกที่ชื่อ
ซ่งปู่ แซ่ก๊วย
และชินก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงเทพสืบแทนหลวงรอบรู้กิจ
ก็เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ปี 2495 ปีเดียวกับที่เขามีคำสั่งเรียกลูกชายกลับจากฮ่องกงนั่นเอง
ส่วนอีกกิจการหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน หรืออาจจะสำคัญกว่าในช่วงก่อนหน้าการเดินทางออกไปอยู่นอกประเทศ
เพื่อหลบภัยการเมืองจากจอมพลสฤษดิ์ของชินในปี 2502 ก็คือบริษัทเอเชียทรัสต์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจ
"โพยก๊วน" กับค้าเงินตราต่างประเทศและทองคำ เป็นกิจการร่วมทุนระหว่างชิน
โสภณพนิช จอห์นนี่ มา หรือวัลลภ ธารวณิชกุล และเกษียณ สุพรรณานนท์ เจ้าของร้านทองเซ่งเฮงหลีตรามงกุฎก่อตั้งเมื่อปี
2493 มีครอบครัวโสภณพนิชเป็นหุ้นใหญ่ บริษัทนี้ต่อมาก็เปลี่ยนมือกลายเป็นกิจการของจอห์นนี่
มา ไปและภายหลังการรวมธนาคารมณฑลเข้ากับธนาคารเกษตรเพื่อตั้งเป็นธนาคารกรุงไทย
ในอนุญาตที่ว่างลงหนึ่งใบก็กลายเป็นใบอนุญาตที่เปลี่ยนฐานะบริษัทเอเซียทรัสต์จำกัดให้กลายเป็นธนาคารพาณิชย์อีกแห่งหนึ่ง
และกลายเป็นธนาคารสยามอย่างไรนั้น ก็คงไม่ต้องเล่าซ้ำกระมัง
เอเซียทรัสต์นั้นเป็นกิจการที่ช่วยสะท้อนให้เห็นความเป็น "ชิน"
ของชิน โสภณพนิช บนเส้นทางของการสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างมาก ๆ
ชิน "เล่น" กับทองมาตั้งแต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และช่วงสงครามสงบใหม่ ๆ ภาวะเศรษฐกิจยังซบเซา ราคาทองคำเคลื่อนไหวรุนแรง เพราะกลายเป็นทรัพย์สินมีค่าที่สุด
เขาก็อาศัยเอเซียทรัสต์เป็นกลไกการค้าทองของเขา
สิ่งนี้สะท้อนความเป็นพ่อค้า "นักเก็งกำไร" ที่ชอบเสี่ยงโชคอย่างเห็นได้ชัด
และเผอิญโชคมักจะเข้าข้างเขาเสียด้วย !
นอกจากนี้ธุรกิจ "โพยก๊วน" หรือการส่งเงินจากประเทศไทยกลับไปประเทศจีนของเอเซียทรัสต์นั้น
ก็คงจะเป็นอื่นไปไม่ได้หากไม่ใช่ธุรกิจที่สะท้อนถึงความมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลอันลึกซึ้งของชิน โสภณพนิช ซึ่งสายสัมพันธ์นี้มีหลายเหตุการณ์ที่บ่งบอกถึง "คุณธรรมน้ำมิตร"
ที่มีอยู่ในตัวชินอย่างเปี่ยมล้น
"เขาทำการค้าบนพื้นฐานของความจริงใจต่อกัน ในประวัติของเขาจึงไม่ปรากฏเรื่องของการทรยศหักหลัง
มีแต่เรื่องร่วมแรงร่วมใจกันสร้างธุรกิจแล้วแบ่งปันผลประโยชน์อย่างยุติธรรม
และคนที่เขาช่วยเหลือนั้นก็มากทั้งในประเทศไทยนี้และในต่างประเทศ..."
พ่อค้าจีนรุ่นเก่าแก่คนหนึ่งพูดถึงชินให้ฟัง
"มันก็อาจจะเป็นเพราะยุคนั้นยังเป็นยุคที่ธุรกิจใหม่ ๆ กำลังเพิ่มเริ่ม
ทำอะไรก็มักประสบความสำเร็จเพราะยังไม่ค่อยจะมีใครทำ คู่แข่งไม่มีหรือมีก็ไม่มาก
ทุกอย่างก็เลยราบรื่น ธุรกิจมีแต่ก้าวไปข้างหน้า ไม่ค่อยมีปัญหาให้หุ้นส่วนต่างต้องหวาดระแวงกันเหมือนยุคหลัง ๆ ด้วยก็เป็นได้" มีบางคนพยายามจะมองในอีกบางแง่มุม
และเอเซียทรัสต์ก็ยังช่วยสะท้อนอีกเหมือนกันว่า ธุรกิจของชินนั้นเป็นธุรกิจที่แอบอิงกับผู้มีอำนาจที่ในช่วงนั้นก็คือกลุ่มจอมพลผิน ชุณหะวัณ-พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ 2 พ่อตาลูกเขยต้นตำรับกลุ่มอำนาจสาย "ซอยราชครู" ในปัจจุบัน
พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการเอเซียทรัสต์เมื่อปี
2495 และเส้นสายของพลตำรวจเอกเผ่า อย่างเช่น พลตรีศิริ สิริโยธิน, พันธ์ศักดิ์
วิเศษภักดี (อัศวินแหวนเพชรผู้เป็นมือขวาของเผ่า) พลตรีประมาณ อดิเรกสาร
ล้วนชักแถวเข้าเป็นกรรมการกิจการอื่น ๆ ของชินกันอุตลุดโดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพภายหลังการขึ้นรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของชิน โสภณพนิชแล้ว
เป็นเรื่องที่เจาะจงลงไปได้ไม่ง่ายนักว่าการนำธุรกิจเข้าแอบอิงกลุ่มนี้ผู้มีอำนาจทางการเมืองของชินนี้เป็นเรื่องความถูกต้องหรือเป็นเรื่องความผิดพลาด
เนื่องจากสถานการณ์นั้นก็เหมือนเหรียญที่มี 2 ด้านไม่หัวก็ก้อยและก็ผ่านไปแล้วด้วยความเรียบร้อย
มองในแง่ของความถูกต้องช่วงนั้นธุรกิจภายใต้การให้ความคุ้มครองโดยกลุ่มจอมพลผิน-พลตำรวจเอกเผ่าก็ขยายตัวไปมาก
อย่างเช่นการเปิดสาขาต่างประเทศที่โตเกียวของธนาคารกรุงเทพก็เป็นสิ่งที่พลตรีศิริ สิริโยธิน ให้ความช่วยเหลืออย่างออกหน้า
"หลังสงครามโลกสงบ ญี่ปุ่นกำลังขาดแคลนมาติดต่อซื้อข้าวไทย พลตรีศิริก็เป็นผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจา พลตรีศิริก็เสนอว่าเมื่อจะค้าขายกันก็น่าจะยินยอมให้ธนาคารกรุงเทพเปิดสาขาที่นี่
ญี่ปุ่นตกลงสาขาโตเกียวก็เกิดขึ้นในปี 2498 เป็นสาขาต่างประเทศสาขาที่ 2
ต่อจากฮ่องกงที่ตั้งเมื่อปี 2497" คนเก่าคนแก่แบงก์กรุงเทพเล่า
ส่วนถ้าจะมองในแง่ของความผิดพลาดความผิดพลาดนี้ก็คือชินถลำลึกถึงขั้วหนึ่งขั้วใดมากไป
ในขณะที่กลุ่มอำนาจขณะนั้นมี 2 ขั้วที่นอกจากขั้วจอมพลผิน – พลตำรวจเอกเผ่าแล้วก็ยังมีขั้วของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่เป็นที่ปรปักษ์ทางการเมืองกันอีกด้วย
ภายหลังการโค่นกลุ่มพลตำรวจเอกเผ่าลงไปได้ ชิน โสภณพนิช ก็เลยมีอันต้องเดินทางไปพำนักยาวอยู่ที่เกาะฮ่องกงในปี 2502 พร้อม ๆ กับการก้าวขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพลสฤษดิ์ผู้มีคำสั่งคณะปฏิวัติมาตราที่ 17 ที่ให้อำนาจล้นฟ้า สามารถจัดการกับใครก็ได้ที่เห็นว่า "เป็นภัยของชาติ"
ซึ่งช่วงนั้นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่ได้รับทุนอุดหนุนจากจอมพลสฤษดิ์ก็กำลังเล่นข่าวขบวนการค้าฝิ่นและพิมพ์แบงก์ปลอมกันอย่างสนุกสนาน
และพยายามจะให้พาดพิงมาถึงพลตำรวจเอกเผ่ากับธนาคารกรุงเทพอย่างจงใจ
เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นบทเรียนทรงคุณค่ายิ่ง และไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลยจวบจนปัจจุบัน
ชินยังคงเป็นชิน ธนาคารกรุงเทพก็ยังคงเป็นธนาคารกรุงเทพ ไม่ว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะผันแปรขึ้นลงอย่างไรขนาดไหน
และก็เป็นบทเรียนที่ตกทอดมาถึงชาตรี โสภณพนิช ด้วย
มีอยู่ระยะหนึ่งที่พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก กำลังฉายแสงแรงกล้าทางรัศมีพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ มักจะมีเสียงซุบซิบกันอยู่ตลอดเวลาว่าชาตรีเป็นคนที่เข้าถึงพลเอกอาทิตย์คนหนึ่ง
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสหายคู่ใจของเขาที่ชื่อสว่าง เลาหทัย
แต่ระยะเวลาที่ผ่านมาก็น่าจะพิสูจน์ได้ว่า จริง ๆ แล้วชาตรี "สัมผัส"
ทุกขั้วพร้อมกับขีดเส้นระดับความสัมพันธ์กับทุกขั้วบนพื้นฐานไม่มากและไม่น้อย
สำคัญยิ่งกว่านั้น เขาใช้ความสัมพันธ์ผ่านคนกลางโดยไม่พยายามนำตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงหรือโจ่งแจ้ง
คนกลางนี้มีทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของธนาคารกรุงเทพและมีทั้งนักธุรกิจใหญ่ที่สัมพันธ์กับเขาอย่างใกล้ชิด
"ก็เป็นสิ่งที่ดีในแง่ที่ไม่ต้องมีศัตรู แต่ในขณะเดียวกันก็หมายถึงว่าไม่มีพันธมิตรทางการเมืองที่เหนียวแน่นด้วย
เมื่อครั้งที่เกิดข่าวลือว่าแบงก์กรุงเทพจะล้มเมื่อไม่นานนี้นั้น ชาตรีกับคนแบงก์กรุงเทพจึงต้องเหนื่อยกับการชี้แจงทำความเข้าใจ
โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้มีอำนาจหลาย ๆ กลุ่ม พรรคการเมืองหลายพรรคและภาวนาอย่าได้เกิดขึ้นอีกเลย..."
นักการเมืองสังกัดพรรคฝ่ายค้านคนหนึ่งบอกกับ "ผู้จัดการ"
ชาตรีนั้นก็มีความเป็น "นักเก็งกำไร" ที่คล้าย ๆ กับชิน
เพียงแต่ชิน "เล่น" ทองตามยุคสมัยในขณะนั้น
ส่วนชาตรี "เล่น" หุ้นตามยุคสมัยในขณะนี้
ชาตรี โสภณพนิช ขึ้นรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงเทพสืบต่อจาก
บุญชู โรจนเสถียร ตามมติคะแนนเสียงเอกฉันท์ของกรรมการแบงก์เมื่อวันที่ 13
มีนาคม 2523 ภายหลังพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีเปรม
1 ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว ซึ่งปรากฏชื่อ บุญชู โรจนเสถียร ในตำแหน่งรองนายกฯ
ฝ่ายเศรษฐกิจด้วยท่านหนึ่ง
เขายังค่อนข้างจะ "โนเนม" พอสมควรในสายตาของสาธารณชน สำนักข่าวต่างประเทศหลายแหล่งรวมทั้งหนังสือพิมพ์หลายฉบับสืบเสาะประวัติความเป็นมาของเขาเจ้าละหวั่น
ช่วงนั้นสำหรับหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจธุรกิจแล้ว ชื่อของ "เถ้าแก่"
รุ่นใหม่อย่างเช่น ผิน คิ้วไพศาล เจ้าของเฟิร์สทรัสต์หรือ สุพจน์ เดชสกุลธร
เจ้าของเยาวราชไฟแนนซ์ ยังจะรู้จักกันมากกว่า
รวมทั้งบรรดา "มืออาชีพ" อย่าง ธนดี โสภณศิริ สุธี นพคุณ กับอีกมากนั้นดูเหมือนจะดังกว่าชาตรีเสียด้วยซ้ำ
เพียงแต่ในด้านลึก กิตติศัพท์ของชาตรีก็มีมานานแล้ว
โดยเฉพาะกิตติศัพท์ในสนามรบทางธุรกิจ
เมื่อได้รับคำสั่งจากชิน โสภณพนิช ให้เดินทางจากฮ่องกงกลับไทยในปี 2495
อันเป็นปีที่ชินกำลังจัดโครงสร้างกองทัพธุรกิจของเขาครั้งใหญ่ภายหลังขึ้นรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ
ด้วยการดึงกลุ่มการเมืองกลุ่มจอมพลผิน-พลตำรวจเอกเผ่า มาเป็นพวก พร้อมกับดึงประสิทธิ
กาญจนวัฒน์ บุญชู โรจนเสถียร เข้ามาด้วยนั้น สำหรับชาตรีก็เป็นเพียงการกลับมาอยู่เมืองไทยเพียงช่วงสั้นๆ
แค่เวลาเพียงปีเศษที่หมดไปกับการฝึกงานที่ธนาคารกรุงเทพกับเอเชียทรัสต์
จากนั้นก็ถูกส่งไปฝึกงานและเรียนหนังสือเพิ่มเติมที่อังกฤษ โดยฝึกงานที่รอยัลแบงก์
ออฟ สกอตแลนด์ และเรียนภาคกลางคืนที่ลอนดอน รีเจ้นท์ สตรีท โพลิเทคนิค อินสติติวชั่น
เขาเดินทางจากอังกฤษกลับไทยอีกครั้งในราวปี 2501
ชินส่งเขาเข้าเรียนรู้งานกับจอห์นนี่มา ที่เอเซียทรัสต์เป็นแห่งแรก
ปี 2502 ที่ชินต้องออกไปพำนักที่ฮ่องกง บุญชู โรจนเสถียร ก็ไปดึงตัวเขามาอยู่ธนาคารกรุงเทพ
และมอบตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชีให้
ปี 2510 เป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชีและปีรุ่งขึ้นต้องรักษาการณ์ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการค้าด้วยอีกตำแหน่ง
ปี 2514 เป็นกรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่และเป็นกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ในปี
2517
นอกเหนือจากนี้เขายังต้องดูแลกิจการในเครือของครอบครัวอีกหลายแห่งโดยเฉพาะบริษัทสินเอเชีย
จำกัด (ก่อตั้งปี 2512) ที่ปัจจุบันคือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเซีย
บริษัทกรุงเทพเคหะพัฒนา (2512) ที่เกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินและที่อยู่อาศัย
บริษัทกรุงเทพสหมิตรเอ็นเตอร์ไพรซ์หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์เอเซีย (2515)
และอีกมาก
ก่อนหน้าการก้าวขึ้นรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงเทพของชาตรีในปี
2523 นั้น มีสถานการณ์สำคัญที่น่าจะเกี่ยวข้องกับสถานภาพทั้งด้านบวกและด้านลบของเขาในทุกวันนี้อย่างยิ่ง
ประเทศไทยเริ่มประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ออกกฎหมายส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรมในปี 2505 และก่อนหน้านั้นก็ได้เปิดประเทศเพื่อรับการลงทุนจากข้างนอกและเร่งส่งเสริมสินค้าออกซึ่งสำหรับชิน โสภณพนิชและธนาคารกรุงเทพช่วงนี้นับได้ว่าเป็นยุคทองของการค้าข้าวและพืชผลการเกษตรที่เป็นรายได้หลักของประเทศพร้อม ๆ กับเบนเข็มเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม สถานการณ์ใหม่เช่นนี้ค่อนข้างจะเอื้ออำนวยให้กับคนอย่างชาตรีที่ผ่านการศึกษาและผ่านประสบการณ์จากประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอังกฤษมาก ๆ เพราะอย่างน้อยชาตรีย่อมสามารถมองออกไปข้างหน้าได้ไกลกว่าคนรุ่นเก่าอยู่บ้าง
ในเรื่องการมองไกลนั้นไม่ใช่ว่าชินจะมองไม่ไกล เพราะถ้าชินมองไม่ไกลแล้วธนาคารกรุงเทพ
ก็คงจะไม่ก้าวมาถึงจุดนี้ และถ้าชินมองไม่ไกล ชินเองก็คงจะไม่เรียกใช้บุญชู โรจนเสถียรให้เป็นประโยชน์หรอก
"นายห้างชินเป็นคนมองอะไรไกลมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องสาขาต่างประเทศซึ่ง
ตอนที่ชินเรียนนั้นยังไม่มีใครในวงการสนใจเลย" อดีตกรรมการธนาคารกรุงเทพคนหนึ่งเล่าให้ฟัง
แต่ถ้าจะพูดว่าชาตรีเข้าใจที่จะขยับขยายฐานตัวเองให้ออกไปจากฐานธนาคารได้ดีกว่าชินก็คงจะถูกต้องกว่า และก็คงจะเป็นตรงนี้แหละที่ชาตรีมองไกลกว่าชิน
"มันเป็นแนวโน้มที่มองเห็นได้ชัดว่าการจะมาเป็นเจ้าของกิจการธนาคารกรุงเทพตลอดไปนั้น
คงจะไม่ง่ายนัก เพราะฐานของทุนมันกว้าง และธนาคารชาติเองก็ได้ทำให้ทุกธนาคารรู้ว่า
จะทำทุกอย่างเพื่อให้สัดส่วนของตระกูลต่าง ๆ ในธนาคารลดน้อยลง ลองคิดดูซิคุณ โดนเพิ่มทุนสักพันล้านบาทติด ๆ กันสัก 2-3 ปีนี้ก็เหนื่อยแล้ว ฉะนั้นการขยับขยายตัวเองออกจากฐานธนาคารก็เป็นสิ่งจำเป็นทั้งในด้านส่วนตัวและในรูปของนิติบุคคลที่อาจจะต้อง
ใช้มาซื้อหุ้นธนาคารเพื่อเก็บรักษาสัดส่วนของหุ้นตัวเองไม่ให้ลดลงไปแบบฮวบฮาบ"
อดีตกรรมการคนเก่าพูดกับ "ผู้จัดการรายเดือน"
จะอย่างไรก็ตาม เราต้องยอมรับว่าชาตรี โสภณพนิชนั้น ค้าขายเก่งกว่าชินผู้เป็นพ่อมาก
ซึ่งสิ่งที่ติดตามมาก็คือการก่อตั้งบริษัทยูไนเต็ดฟลาวมิลล์ขึ้นในปี 2507
เป็นโรงงานผลิตอาหาร
ตั้งโรงงานพลาสติกไทยจำกัด และบริษัทนานาอุตสาหกรรม (โรงงานผลิตน้ำมันพืช)
ในปี 2508
และบริษัทยูเนียนพลาสติกแมนูแฟคเจอริ่งในปี 2511
กิจการเหล่านี้นอกจากจะได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากธนาคารกรุงเทพแล้ว
"โสภณพนิช" ก็ยังมีส่วนร่วมลงทุนอยู่ด้วย
โดยเฉพาะนับแต่ปี 2511 เรื่อยมาอุตสาหกรรมสิ่งทอนับได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่
"โสภณพนิช" และธนาคารกรุงเทพให้ความสนใจมาก ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลังก็คือ
ชาตรี โสภณพนิช
ชาตรี โสภณพนิชได้เกี่ยวข้องกับกิจการสิ่งทอมาเป็นเวลานานพอสมควรและอุตสาหกรรมทอผ้าของกลุ่มไทยเกรียงในยุคหนึ่งที่ใหญ่มาก ๆ ก็เป็นเพราะชาตรีหนุนหลังอยู่ซึ่งมาประสบปัญหาอย่างหนักภายหลังจนเมื่อบุญชู โรจนเสถียร กลับมาเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงเทพอีกครั้งก่อนจะกลับไปเป็นรองนายกฯ
ถึงกับสั่งให้ชาตรี ลงมาบริหารหนี้ของกลุ่มไทยเกรียงโดยตรง จนในตอนหลังได้มีการขายโรงงานให้กับกลุ่มสหยูเนียน จึงบรรเทาไป
ปี 2517 ที่เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงตั้งไข่นั้น ก็ช่วยบอกบางสิ่งบางอย่างกับชาตรีถึงความผันผวนไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับการแข่งขันอันเข้มข้นของธุรกิจเพื่อเอาตัวรอด
ไม่แน่นักเขาอาจจะค้นพบแล้วว่าหลักการที่ยึดถือ "คุณธรรมน้ำมิตร"
ของคนรุ่นพ่อนั้นมันหมดสมัยไปแล้วก็ไปได้
และ "ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ" อาจจะเป็นสิ่งที่เข้ามาทดแทน
ซึ่งในเรื่องนี้คนใกล้ชิดชาตรีบอกว่า "คุณจะไปโทษคุณชาตรีเขาไม่ได้หรอก
เพราะวิวัฒนาการทางธุรกิจมันก้าวมาถึงจุดใหญ่ที่คำว่าคุณธรรมน้ำมิตร ต้องยอมให้กับความเป็นไปได้ในทางธุรกิจ ในการค้าขายยุคนี้การแข่งขันสูงมาก ถ้าไม่ใช้การตัดสินใจแบบธุรกิจเข้าว่าแล้ว
นอกจากจะขาดทุนและสูญเสียลูกค้ารายอื่นที่ดี ๆ ด้วย"
ก็คงจะเป็นอย่างที่คนใกล้ชิดชาตรีพูดเพียงแต่ว่าคนพูดเองก็ไม่สามารถจะให้ตรรกวิทยาได้ว่าทำไมเฉพาะกลุ่มเพื่อนของชาตรีจึงโตเอาโตเอา?
สถานการณ์ตรงจุดนี้ต้องถือว่าเป็นสาระสำคัญของบทบาทชาตรีในช่วงต่อ ๆ มา
เพราะความจริง ๆ แล้ว ชาตรีก็ไม่ได้อยู่ในฐานะ "ทายาท" รุ่นที่สองของ
"โสภณพนิช" ที่จะต้องดูแลกิจการทั้งหมด
พูดให้ชัดเจน เขาเป็น "ทายาท" ของชินในส่วนที่เป็นธนาคารกรุงเทพ
ลักษณะของลูกคนโตของคนจีนแบบชาตรีกับชิน โสภณพนิชนั้น แตกต่างกว่าลูกคนโตของตระกูลคนจีนอื่น
เช่น อุเทน เตชะไพบูลย์กับน้อง ๆ หรือสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์กับน้อง ๆ
"คนอื่นนั้นจะเชื่อพี่ชาย สุดแล้วแต่พี่ชายหมดอาจจะเป็นเพราะ พ่อเสียแล้ว
พี่ใหญ่ก็เป็นเสมือนพ่อ แต่กรณีของโสภณพนิชนั้น มัน complicated อยู่นิดตรงที่
นายห้างชินแกมอบให้ชาตรีดูธนาคาร โดยตัวแกจะเป็นผู้กำกับรายการอยู่ถ้ามีอะไรไม่ตรงไปตามที่นายหน้าต้องการแกก็คงต้องออกแรงเอง
แต่กิจการธนาคารนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัล
เพราะมันต้องมีผู้ถือหุ้น ต้องดูว่าใครมีหุ้นมากกว่าใคร ถึงจะรู้ว่าใครใหญ่จริง
มาช่วงนี้ถึงรู้ว่า จริง ๆ แล้วกลุ่มชาตรีกับพวกถือ block หุ้นไว้มากที่สุด
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วบทบาทของนายห้างชินก็ต้องลดลงโดยปริยาย อีกประการหนึ่งงานธนาคารเองก็เป็นงานที่ต้องใช้คณะกรรมการเข้าไปตัดสินใจ
และจุดนี้เราก็ต้องยอมรับว่าคณะกรรมการของยุคไหนก็ต้องเป็นคนของผู้นำในยุคนั้น ๆ" อดีตกรรมการเก่าพูดต่อ
บทบาทด้านหนึ่งของเขาจึงเป็นบทบาทของการเสริมส่งให้ธนาคารกรุงเทพเจริญรุดหน้าต่อไป
ส่วนอีกบทบาทหนึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงกิจการในส่วนตัวของเขาให้เข้มแข็ง
ซึ่งเพียงช่วงประมาณ 10 ปีมานี้เขาก่อบทบาททั้ง 2 ด้านให้เกื้อหนุนกันได้ประสบความสำเร็จทั้ง
2 ส่วน
ธนาคารกรุงเทพก้าวขึ้นครองตำแหน่งธนาคารใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศและของอาเซียน
และสินเอเซียก็เป็นเป้าหมายเลขหนึ่งในส่วนของบริษัทการเงิน นอกจากนี้ร่วมเสริมกิจที่เขารับซื้อมาจากชดช้อยน้องสาวของเขาในปี
2522 ก็กลายเป็นบริษัทการเงินใหญ่เป็นอันดับสองมาหลายปีแล้ว
ซึ่งเฉพาะฐานสินทรัพย์ของสินเอเซียและร่วมเสริมกิจเมื่อรวมกันเข้าไปแล้วยังใหญ่กว่าสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์หลายธนาคาร
แม้แต่กำลังของการทำ Syndication ของสองแห่งนี้ก็ยังมากกว่าธนาคารระดับกลางของไทยเสียอีก
สินเอเซียและร่วมเสริมกิจนั้นนอกจากจะเติบโตมาจากการเข้าไปจับโครงการดี ๆ ระดับแบงก์ชั้นนำสนับสนุนอยู่ การลงทุนในตลาดหุ้นก็เป็นตัวทำรายได้ด้วยส่วนหนึ่ง
"ชาตรีเขาอยู่ในระดับแนวหน้าคนหนึ่งในช่วงตลาดหุ้นกำลังบูมระหว่างปี
18-20 คู่หูของเขาก็คือสว่าง เลาหทัย และเขายังใช้มือดีที่เป็นนักวิชาการอีกหลายคน
ดร. ชัยยุทธ์ ปิลันธน์โอวาท ก็เป็นคนหนึ่งที่ชาตรีดึงมาอยู่ร่วมเสริมกิจ" นักเลงหุ้นคนหนึ่งเล่า
การเล่นหุ้นของชาตรีในยุคตลาดหุ้นบูมนั้นเป็นวีรกรรมที่ลือร่ำกันมานานว่า
ถ้ากลุ่มชาตรีจะขายหุ้นไหนแบบ Short sales แล้วละก็อย่าได้ไปขวางเลย ไม่เชื่อก็ถาม
พร สิทธิอำนวยดู ถ้ายังหาเขาเจอในวันนี้ ว่าตอนมีคนเขาขายหุ้นรามาและสยามเครดิตในช่วงตลาดบูมนั้น
พรพยายาม support ขนาดไหน? และก็ทำไม่ได้จนกระทั่งต้องปล่อยเลยไปตามบุญตามกรรม
ก็คงตรงนี้กระมังที่สะท้อนสายเลือด "นักเก็งกำไร" ของเขา
และเขาคงอดที่จะปลาบปลื้มใจไม่ได้ที่ "มือดี" ด้านหุ้นทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเสรี
ทรัพย์เจริญ, ผิน คิ้วไพศาล และอีกบางคนต้องมีอันปิดฉากไปแล้ว ในขณะที่เขายังผงาดอย่างผู้ยิ่งใหญ่
นักสังเกตการณ์หลายคนค่อนข้างจะมีความเชื่ออย่างมากว่า เป้าหมายต่อไปของชาตรีนั้น
จะอยู่ที่การสร้างอาณาจักรทางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก
หากมองกันตามทฤษฎีพัฒนาการของทุนก็น่าจะใช่
และโดยพฤติกรรมทางปฏิบัติก็มีแนวโน้มเช่นนั้นเสียด้วย
ในปี 2525 ที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประกาศว่าประเทศไทยจะโชติช่วงชัชวาลอันเป็นผลมาจากการพัฒนาแก๊สธรรมชาติขึ้นมาใช้
และจะมีผลสืบเนื่องไปถึงอุตสาหกรรมหนักอีกหลายชนิดตั้งโรงแยกก๊าซโรงงานเอทิลีน
โรงงานปิโตรเคมีคัล โรงงานปุ๋ย ฯลฯ ภายใต้แผนพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออกนั้น
ชาตรีให้ความสนใจแผนพัฒนาฯ นี้อย่างมาก ๆ
ปลายปีเดียวกันต่อเนื่องปี 2526 เขาได้ว่าจ้างทีมงานนักวิชาการชุดหนึ่งภายใต้การนำของ
ดร. อาณัติ อาภาภิรม ทำการศึกษาโครงการหลัก ๆ ของแผนพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออกอย่างละเอียด
"ช่วงนั้นคุณชาตรีหมายมั่นปั้นมือมากที่จะเข้าไปลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนคุ้ม"
พนักงานระดับบริหารของแบงก์คนหนึ่งบอก
ผลการศึกษาวิเคราะห์จะเป็นเช่นไรนั้นคงเป็นเรื่องหนึ่ง
แต่พร้อม ๆ กับสถานการณ์ด้านพลังงานที่เปลี่ยนจากราคาน้ำมันสูงบาร์เรลละกว่า
30 เหรียญในช่วงนั้นเป็นไม่ถึง 10 เหรียญในช่วงปี 2529 และเพิ่งเขยิบขึ้นมาเพียงเล็กน้อยนี้
ความสนใจในโครงการหลายโครงการของเขาต้องการพลอยซบเซาลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นโครงการปุ๋ยแห่งชาติหรือโครงการปิโตรเคมีคัลที่ธนาคารกรุงเทพใส่เงินเข้าไปจำนวนหนึ่งแล้ว
เป็นเพราะมองเห็นถึง "ความเป็นไปไม่ได้" ของโครงการ?
หรือเป็นเพราะชาตรีเองมีผลประโยชน์กับปุ๋ยในปัจจุบัน?
"เรื่องนี้คุณตำหนิคุณชาตรีไม่ได้ เพราะเขาต้องมองในฐานะนักลงทุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองตรงที่ว่าเขาต้องเองเงินธนาคารเข้ามาลงทุนแล้วตัวเขาเองต้องรับผิดชอบกับผู้ถือหุ้น
ในเมื่อปุ๋ยแห่งชาตินั้นเป็นโครงการระยะยาวมาก และก็มีความไม่แน่นอนในเรื่องผลตอบแทนตลอดจนอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนมันไม่คงที่ คุณชาตรีเขาต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน
ส่วนเรื่องที่ธนาคารกรุงเทพสนับสนุนบริษัทศรีกรุงอยู่ก่อนนั้นก็เป็นคนละเรื่องกัน"
นักวิชาการในธนาคารกรุงเทพคนหนึ่งพูดให้ฟัง
แต่คนที่สนับสนุนโครงการปุ๋ยกลับคิดไปว่าเป็นเพราะธนาคารกรุงเทพเล่นกับศรีกรุงมากก็เลยอยากจะสับโครงการนี้!
บางคนก็ว่าชาตรีขาดความเป็นนักอุตสาหกรรมที่ต้องมองเรื่องนี้ในระยะยาวเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ!
ใครจะว่าอะไรก็ตามก็คงต้องเป็นชาตรีเองที่รู้แน่ ๆ ว่า ทำไมเขาถึงค้านเรื่องปุ๋ยแห่งชาติ
แต่ก็คงไม่มีใครรู้ว่าชาตรีคิดอย่างไร?
ชีวิตของชาตรี โสภณพนิช เป็นชีวิตที่อยู่บนยอดเขาที่อาจจะดูสูง ภูมิฐาน
และน่าเกรงขาม
เขามีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต รถราคาหลายล้านหรือเรือเร็ว ๆ เครื่องที่แรงที่สุดเป็นเรื่องไม่ยากของเขาที่สามารถเนรมิตได้
ที่มีบนสินทรัพย์สองแสนกว่าล้านที่เขาเป็นผู้สั่งการ และลูกน้องบริวารที่ล้วนแล้วแต่มีสายสัมพันธ์มากมายทั้งขุมข่ายของสังคมไทย
พอจะพูดได้ว่า ชาตรี โสภณพนิชคือคนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ความใหญ่ของเขาก็พอเพียงแก่การทำให้โครงการปุ๋ยแห่งชาติต้องชะงักงันและต้องทำให้คนอย่าง
พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบกลงมาเดินเรื่องปุ๋ยแห่งชาติเอง ไม่เช่นนั้นแล้วโอกาสเกิดของมันก็จะไม่มี
มีคนสงสัยว่าแล้วชาตรีจะเดินทางไหนในชีวิต?
บางคนถึงกับบอกว่าชาตรีมีความเป็นจีนมากกว่าเป็นไทย?
บางคนวัดเอาที่เขาพูดไทยไม่ชัด และไม่เคยสนใจในศิลปวัฒนธรรมไทยเลย!?
บางคนถึงกับกล้าพูดว่า ประเทศไทยเล็กเกินไปสำหรับชาตรีเสียแล้ว!?
"ผู้จัดการรายเดือน" ไม่มีคำตอบให้หรอก!
เรารู้แต่ว่าอย่างน้อยเขาก็เป็นนักสร้างสรรค์คนหนึ่ง เพราะการทำธนาคารที่ใหญ่มากที่สุดได้นั้นก็เป็นหน้าเป็นตาของประเทศนี้อยู่แล้ว
และการที่สามารถเป็น Topic ให้บรรดาทหารหนุ่มตลอดจนระดับคุมกำลังพลได้พูดคุยกันในวงเหล้าและในการเลี้ยงรุ่นได้บ่อยครั้งนั้น
ก็เป็นเรื่องที่แสดงว่า ชาตรี โสภณพนิช ไม่ใช่คนธรรมดา
ส่วนพวกนั้นจะพูดถึงชาตรี โสภณพนิชไว้อย่างไรนั้น "ผู้จัดการรายเดือน"
ไม่ทราบและไม่อยากจะไปถาม?
เราไว้รอให้ชาตรีรับรู้ด้วยตัวเองในวันข้างหน้าจะดีกว่า ว่ามันจะเป็นเหรียญตราหรือเป็นอะไรกันแน่?
อีกหกปีชาตรี โสภณพนิช ก็จะครบหกสิบ
ยังมีเวลาทำงานให้เกิดประโยชน์แก่สังคมอีกนาน และให้ผลอีกมาก
เหมือนที่เขาว่า ยังมีเวลาที่จะหยุดม้าริมหน้าผา