Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา พฤษภาคม 2554
เศรษฐศาสตร์แห่งความรุนแรง             
 


   
search resources

Economics




ประเทศที่ยากจน เป็นเพราะชอบใช้ความรุนแรง หรือที่พวกเขาชอบใช้ความรุนแรง เป็นเพราะพวกเขายากจน

รายงาน World Development Report เป็นรายงานสำคัญที่ออกโดยธนาคารโลกเป็นประจำทุกปี ล่าสุดในปีนี้ รายงานดังกล่าวระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ความรุนแรงไม่ใช่เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งของความยากจนเท่านั้น หากแต่เป็นสาเหตุ “หลัก” ของความยากจนเลยทีเดียว ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงมักติดกับดักนี้ แต่ประเทศที่ไม่ติดในกับดักความรุนแรง กำลังจะหนีพ้นจากความยากจน การสรุปของธนาคารโลกดังกล่าว ถือว่ามีนัยสำคัญอย่างลึกซึ้ง ทั้งต่อประเทศยากจนที่กำลังพยายามช่วยเหลือ ตัวเอง และต่อประเทศร่ำรวยที่พยายามจะช่วยเหลือพวกเขา

คนส่วนใหญ่มักคิดว่า การพัฒนาถูกขัดขวางจากสิ่งที่เรียกว่า “กับดักความยากจน” ชาวนาไม่ยอม ซื้อปุ๋ย แม้จะรู้ว่าช่วยให้ได้ผลผลิตดีขึ้น เพราะว่าไม่มีถนน แม้จะเก็บเกี่ยวได้มากขึ้น ก็ไม่มีประโยชน์ ต้องปล่อยให้ผลผลิตเน่าเสียไปเปล่าๆ เพราะไม่มีถนนที่จะใช้ขนส่งพืชผลการเกษตร ทางออกจากกับดักนี้คือ ต้องสร้างถนน และหากประเทศยากจนไม่มีเงินจะสร้าง ประเทศร่ำรวยก็ควรยื่นมือเข้ามาช่วย

ทว่า รายงานของธนาคารโลกล่าสุดข้างต้น กลับชี้ว่า อุปสรรคใหญ่ของการพัฒนาในทุกวันนี้อาจไม่ใช่กับดักความยากจนอีกต่อไป หากแต่เป็น “กับดักความรุนแรง” ประเทศที่รักสงบกำลังจะหนีออกจากความยากจนได้แล้ว แต่ประเทศที่มีสงคราม กลางเมือง หรือมีความขัดแย้งรุนแรงระหว่างเชื้อชาติ หรือมีคดีอาชญากรรมมากมาย กับดักความรุนแรงรวมไปถึงการมีรัฐบาลที่เลว คือตัวขัดขวางไม่ให้ประเทศเหล่านี้ หนีพ้นจากกับดักนี้ และแน่นอน ย่อมหนีไม่พ้นความยากจนด้วย

มีตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่าง 2 ชาติเล็กๆ ในแอฟริกา บูรุนดีกับเบอร์กินา ฟาโซ เคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และระดับรายได้ที่เท่ากัน แต่ปลายปี 1993 เกิดสงครามกลางเมือง ระเบิดขึ้นในบูรุนดี หลังจากประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร สงครามทำให้คนตายมากถึง 300,000 คน ตลอดกว่าสิบปีที่เกิดสงคราม แต่เบอร์กินา ฟาโซที่สงบกว่า ขณะนี้ร่ำรวยกว่าบูรุนดีถึง 2 เท่าครึ่ง

และถึงแม้ไม่มีสงครามกลางเมือง แต่หลายประเทศก็ยังคงติดกับดักความรุนแรง จากการที่สภาวะบ้านเมืองไร้ขื่อแป รายงานของธนาคารโลกดังกล่าวชี้ว่า มีคนถึง 1,500 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีแต่ความรุนแรงทางการเมือง คดีอาชญา กรรมเต็มเมือง มีอัตราการฆาตกรรมที่สูงมาก และมีความรุนแรง ย่อยๆ เกิดขึ้นทั่วไป แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ อาจดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ร้ายแรงเท่ากับสงครามกลางเมืองก็จริง แต่เชื่อหรือไม่ว่า ผลของมัน กลับเลวร้ายแทบไม่ต่างไปจากสงครามกลางเมือง ซ้ำในบางกรณี ยังเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ

ยังมีอีกหลายประเทศที่ตกอยู่ในวังวนของความรุนแรง จนดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ในบรรดา 39 ประเทศที่มีสงครามกลางเมือง เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2000 เกือบทั้งหมดเคยเกิดสงครามกลางเมืองมาก่อนแล้วในอดีต ยิ่งกว่านั้นยังพบว่า ความรุนแรงในระดับย่อยๆ กลับมีความร้ายแรง และฆ่าคนได้มากกว่าสงคราม กลางเมืองเสียอีก ในกัวเตมาลา จำนวนคนที่ถูกฆาตกรรมต่อปีโดยแก๊งอาชญากร ยังมีมากกว่าจำนวนคนที่ตายในสงครามกลางเมืองในกัวเตมาลา ที่เคยเกิดขึ้นในทศวรรษ 1980 เสียอีก

นี่เป็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ เพราะแสดงว่า ความรุนแรงโดยรัฐ ซึ่งเป็นสาเหตุดั้งเดิมของความรุนแรงในอดีต กำลังลดลง แม้ว่าประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1990 แต่สงครามระหว่างประเทศ สงครามกลางเมือง และรัฐประหารที่เกิดขึ้นทั่วโลก กลับลดลง รวมถึงยอดผู้เสียชีวิตก็ลดลงด้วย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบาง ประเทศที่เกิดความรุนแรงซ้ำซาก

ผลก็คือ ในประเทศที่เกิดความรุนแรงไม่จบไม่สิ้นนี้ จำนวนคนที่ขาดอาหารมีแนวโน้มจะมีมากกว่าประเทศกำลังพัฒนาทั่วไป 2 เท่า ส่วนจำนวนเด็กที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ก็มีแนวโน้มจะมากกว่า เกือบ 2 เท่า และการประท้วงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีรัฐบาล อ่อนแอ มีแนวโน้มที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงได้บ่อย และง่ายกว่าการประท้วงในประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่ไม่มีความรุนแรง

ช่องว่างระหว่างประเทศกำลังพัฒนาที่แตกต่างกัน 2 กลุ่มนี้ คือประเทศที่สงบ กับประเทศที่ชอบใช้ความรุนแรง กำลังถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าประเทศกำลังพัฒนาเกือบทั้งหมด สามารถลดอัตราการตายในทารกแรกเกิดตั้งแต่ปี 1990 ได้

แต่ประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนและชอบใช้ความรุนแรง สามารถลดอัตราการตายของทารกได้เพียง 19% น้อยกว่าประเทศ กำลังพัฒนาทั่วๆ ไป ที่สามารถลดอัตราการตายของทารกได้ถึง 31% และไม่มีประเทศยากจนที่ชอบใช้ความรุนแรงประเทศใดเลยแม้แต่เพียงประเทศเดียว ที่สามารถบรรลุเป้าหมายแม้เพียงข้อเดียวของ “การพัฒนาแห่งสหัสวรรษ” (millennium development goals: MDG) ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กำหนดโดยสหประชาชาติ เมื่อปี 2000 หรือปีแห่งการเปลี่ยนสหัสวรรษใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความยากจน ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น

รายงานของธนาคารโลกฉบับล่าสุดนี้ ยังสรุปด้วยว่า ประเทศยากจนที่มีแต่ความรุนแรงได้สูญเสียผลสำเร็จที่เคยทำได้ ในการลดความยากจน โดยสูญเสียไปถึงเกือบ 1% ทุกๆ ปีอีกด้วย

ถ้าความรุนแรงเป็นสาเหตุของความยากจน แล้วอะไรเป็นสาเหตุของความรุนแรง ความยากจนก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งได้เช่นกัน แต่ความชอบธรรมของรัฐบาลเป็นสาเหตุสำคัญ รายงาน ของธนาคารโลกฉบับนี้ค้นพบว่า ในช่วงปี 2000-2005 ประเทศที่มีรัฐบาลที่ดี มีความเป็นไปได้น้อยกว่ามาก ที่จะเผชิญกับความรุนแรงในประเทศ หรือการมีอัตราการฆาตกรรมที่สูง คงไม่น่าประหลาดใจ ที่ลิเบียได้คะแนนน้อยกว่าตูนิเซียหรืออียิปต์ ในประเด็นการวัดความรับผิดชอบของรัฐบาล นี่คงอธิบายสาเหตุที่ทำให้ชาวลิเบียลุกฮือขึ้นต่อต้าน Muammar Gaddafi ได้

นัยของการวิเคราะห์ล่าสุดของธนาคารโลกครั้งนี้ จะส่งผล อย่างกว้างไกลดังนี้ ประการแรก การป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง ควรได้รับความสำคัญมากกว่าที่เป็นอยู่ ประการต่อมา ประเทศต่างๆ ควรเรียนรู้ให้มากขึ้นว่า อะไรบ้างที่จะช่วยลดความรุนแรงได้ การฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล คือกุญแจสำคัญในการลดความรุนแรง ซึ่งสามารถทำได้ หากรัฐบาลสามารถนำคู่ขัดแย้งมาลงนามในข้อตกลงสันติภาพได้ อย่างเช่นที่ประเทศกานาเคยทำในปี 2003 รัฐบาลจะต้องแต่งตั้งคนที่น่าเชื่อถือ อย่างเช่นที่ไนจีเรียแต่งตั้งคณะกรรมการเลือกตั้งใหม่ และต้องสร้างผลงานที่รวดเร็ว เช่น การสร้างงานใหม่

ประการที่ 3 คนนอกควรหยุดด่วนสรุปว่า ความขัดแย้งที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ ในขณะนี้ เป็นสงครามระหว่างประเทศหรือเป็น สงครามกลางเมือง และจะต้องนิยามบทบาทหน้าที่ของนักการทูต ทหาร และกลุ่มสิทธิมนุษยชน หรือองค์กรบรรเทาทุกข์ให้ชัดเจนกว่านี้ ในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง รายงานของธนาคาร โลกเน้นย้ำว่า ทุกคนจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน

สุดท้าย ทุกคนต้องใช้ความอดทนอดกลั้นมากขึ้นอย่างมาก ประเทศที่มีการปฏิรูปที่ดีที่สุด ยังต้องใช้เวลาถึง 27 ปี ในการลดการคอร์รัปชั่น

อย่างไรก็ตาม แทบไม่มีประเทศใดเต็มใจจะคอยนานขนาด นั้น เฮติพยายามจะตั้งรัฐบาลที่ดีกว่าภายใน 18 เดือน แต่ก็ล้มเหลว ส่วนบรรดาประเทศอาหรับที่พากันลุกฮือต่อต้านรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นไปได้สูงว่า พวกเขายังจะต้องฝ่ามรสุมแห่งการเปลี่ยนแปลงอีกหลายครั้งนัก กว่าประเทศจะเข้าที่เข้าทางได้ ซึ่งคงต้องใช้ความอดทนอย่างสูง

น่าเสียดาย ที่มันง่ายสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ที่จะบอกให้ใครๆ ใช้ความอดทน แต่คงไม่ใช่สำหรับผู้นำประเทศที่ไร้ซึ่งความ อดทนหรือชอบใช้ความรุนแรง ผู้กำลังถูกคุกคามจากประชาชนของตัวเองหรือจากศัตรู

แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง ดิ อีโคโนมิสต์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us