|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
“ปลาหมึก” กัดฟันแบกรับต้นทุนขยับ 100% ไม่ไหว จ่อยื่นกรมการค้าภายในขยับราคาเป็น 30 บาทขึ้นไปต่อขวด รุกตลาดหนักรอบ 5 ปี หนีตลาดน้ำปลาหดตัว สงครามราคาเดือด แตกไลน์เครื่องปรุงรส เบนเข็มลุยตลาดต่างประเทศ สิ้นปีรักษารายได้ 700-800 ล้านบาท
นางธิติญา นิธิปิติกาญจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท โรงงานน้ำปลาไทย (ตราปลาหมึก) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำปลาตราปลาหมึก เปิดเผยว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัท วางแผนแตกไลน์กลุ่มสินค้าใหม่นอกเหนือจากน้ำปลาในเชิงรุก ซึ่งตั้งเป้า 3 ปี จะเปิดตัวแคธิกอรี่ใหม่ปีละ 1 รายการ เป็นสินค้ากลุ่มเครื่องปรุงรส
ขณะนี้มีการพัฒนาและวิจัยสินค้าใหม่ 3-4 รายการ ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวน้ำปลาตราปลาหมึกฉลากเหลือง ราคา 24 บาท เพื่อขยายฐานลูกค้าที่ต้องการรสชาติกลมกล่อม แตกต่างจากน้ำปลาฉลากเขียวเป็นรสดั้งเดิม ราคา 29 บาท ได้ทดลองจำหน่ายตลาดต่างจังหวัด และเริ่มขยายตลาดมาที่กรุงเทพปีนี้ รวมทั้งปลายปีนี้บริษัทจะแตกไลน์น้ำปลาชนิดผง
โดยใช้งบ 20 ล้านบาท เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ครั้งแรกในรอบ 5 ปี เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มแม่บ้านรุ่นใหม่ หลังจากที่ผ่านมาได้หยุดการสื่อสารหรือการสร้างการรับรู้ไป ส่งผลให้การรับรู้ตราสินค้าน้อยลง โดยการกลับมารุกตลาดครั้งนี้ เนื่องจากสภาพตลาดน้ำปลามูลค่า 1 หมื่นล้านบาท หดตัวโดยเฉลี่ย 5% มาอย่างต่อเนื่องในช่วง 10ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตลาดระดับบน ซึ่งมีสัดส่วน 40% หรือมูลค่า 4,000 ล้านบาท และน้ำปลาระดับล่าง 60% หรือ 6,000 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทไม่เติบโตในช่วง 5 ปี โดยมีรายได้ 700-800 ล้านบาท
ขณะเดียวกันในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ต้นทุนการผลิตน้ำปลา อาทิ ปลากะตัก ปรับขึ้น 2-3เท่าตัว รวมทั้งน้ำตาล และน้ำมัน โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขอปรับราคาหน้าฉลากขึ้นจาก 26 เป็น 29 บาท แต่ราคาขายปลีกในช่องทางโมเดิร์นเทรด คือ 27 บาท และกำลังจะยื่นต่อกรมการค้าภายใน เพื่อขอปรับราคาหน้าฉลากเพิ่มขึ้น 30 บาทขึ้นไปต่อขวด เพราะต้นทุนผลิตปรับขึ้น 100% ซึ่งขณะนี้กำไรน้ำปลาบรรจุภัณฑ์ขวดมีน้อยมาก เนื่องจากมีต้นทุนสูง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นบรรจุภัณฑ์สัดส่วนต่ำกว่า 40% แต่เป็นสินค้าที่คนต่างจังหวัดนิยมใช้มากกว่าบรรจุภัณฑ์ขวดเพ็ทสัดส่วนสูงกว่า 60% กลุ่มผู้ใช้จะเป็นคนเมือง อย่างไรก็ตามในอนาคตบริษัทลดสัดส่วนบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วลดลง
“เมื่อ 10 ปีที่แล้วราคาน้ำปลาสูงกว่าราคาน้ำมันพืช แต่ตอนนี้ราคาน้ำมันพืชปรับเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวหรือประมาณ 50 บาทต่อขวดแล้ว ซึ่งในสถานการณ์ขณะนี้ น้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ปลากะตักที่หายากและขาดแคลน บริษัทคงตรึงราคาไว้ได้ไม่นานนัก”
นางธิติญา กล่าวว่า สภาพตลาดน้ำปลาในประเทศที่หดตัว และการแข่งขันราคาอย่างรุนแรง ประกอบกับปัจจัยการตัดสินใจซื้อคำนึงถึงราคาเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงคุณค่าหรือประโยชน์ที่ได้รับจากสินค้า การสร้างตลาดจึงต้องป้อนข้อมูลความรู้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่บริโภคน้ำปลาน้อยมา ดังนั้นบริษัทจึงหันมาให้ความสำคัญการขยายน้ำปลาในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งในอีก 5 ปีตั้งเป้ารายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 50% จากปัจจุบันปลาหมึกเป็นผู้ส่งออกน้ำปลาอันดับ 1ของประเทศ โดยมีแผนขยายตลาดตะวันออกกลาง อาทิ ดูไบ ยุโรป อเมริกา ฯลฯ เพราะสามารถขายราคาที่สูงขึ้น คือ 300บาทต่อลัง เมื่อเทียบกับไทย 220 บาทต่อลัง
สำหรับผลประกอบการปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 700-800 ล้านบาท รักษารายได้ไม่ให้หดตัวลง ด้วยการครองส่วนแบ่ง 25% เป็นอันดับ 2 ของตลาด ส่วนอันดับ 1 คือ แบรนด์ทิพรส มีส่วนแบ่ง 50% คนแบกกุ้ง เกือบ 10% หอยนางรม 5% และที่เหลือเป็นอื่นๆ
|
|
|
|
|