Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2528
"เราปล่อยให้มีระบบที่โตเร็วจนเกินไป" บทเรียนของ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์             
 

   
related stories

"บทเรียนที่สำคัญที่สุดในปีที่ผ่านมาคือการตั้งอยู่บนความประมาท

   
search resources

ศุภชัย พานิชภักดิ์
Financing




วันนี้ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินของ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ดูเหมือนว่าจะต่างไปจากวันวานในรอบปี 2527 ที่ผ่านมา

เพราะอย่างน้อยเรื่องวุ่นๆ เกี่ยวกับบริษัทเงินทุนทั้งหลายก็ดูว่าจะซาลงไปมากแล้ว

และถ้ายกคำกล่าว "การมองย้อนหลังย่อมได้ประโยชน์มากกว่าตอนนั่งอยู่ในเหตุการณ์" มาใช้กับเรื่องวุ่นๆ ที่เกิดขึ้น ดร.ศุภชัย ก็คิดว่าตัวเขามองเห็นบางสิ่งทะลุปรุโปร่งพอสมควร

"ผมว่าในอดีตเรามีข้อผิดพลาดใหญ่ๆ อย่างน้อย 2 ประการ คือหนึ่ง เราปล่อยให้มีระบบที่โตเร็วเกินไป และสอง เราได้คนไม่ดีมาเป็นผู้บริหารบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์จำนวนมาก"

ในประการแรกที่กล่าวว่า "มีระบบที่โตเร็วเกินไป" นั้น ดร.ศุภชัย บอกว่าหมายถึงได้มีการระดมเงินออมเข้ามาในระบบของบริษัทเงินทุนกันมาก แต่ตัวสินทรัพย์หรือการปล่อยเงินกู้ออกไปกลับไม่มีคุณภาพอย่างยิ่ง

"เราไปเน้นเรื่องการระดมเงินเข้ามา และเราก็วัดความสำเร็จกันตรงนั้น แบงก์ชาติเองก็ดูแต่ตัวเลขเห็นว่ามันเติบโตขึ้นก็ไม่ได้ไปดูสิ่งอื่น ทั้งๆ ที่คุณภาพของสินเชื่อควรจะเป็นตัวที่มีความสำคัญอย่างมาก แต่ก็พลาดไป บริษัทเงินทุนจะเอาเงินไปทำอะไรบ้างนั้น เราเกือบจะไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบเลย"

ส่วนประการที่สอง ดร.ศุภชัย สรุปว่า ผู้บริหารบางคนที่ประวัติก่อนเข้ามาในวงการเป็นอย่างไรก็พอจะมองออกได้ทันทีว่า ธุรกิจของเขาจะเป็นอย่างไรในอนาคต "หลายคนหวังเพียงจะใช้บริษัทเงินทุนเป็นฐานธุรกิจอื่นๆ ของเขา ไม่ได้เป็นมืออาชีพจริงๆ ซึ่งถ้าเราศึกษาประวัติของเขาอย่างละเอียดแล้วเราจะสามารถคาดการณ์ข้างหน้าได้ทันที"

"อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ประการนี้ เป็นการมองปัญหาหลังจากที่เรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว และถ้าเรามีเครื่องมือและอำนาจเท่าปัจจุบันก็อยากจะหมุนเวลากลับเข้าไปแก้ไขเสียแต่ต้นเหมือนกัน"

แต่ก็คงไม่มีใครสามารถหมุนเวลากลับไปได้ตามความปรารถนา เพราะฉะนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงก็คือ ได้มีการถอนใบอนุญาตบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์รวม 15 บริษัท โอนหุ้นเข้ามาให้ทางการมาตรการ 4 เมษายน 25 แห่ง และยังต้องควบคุมไว้อีก 7 แห่ง รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็ประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ทั้งระบบ

อีกทั้งต้องตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่อง 5,000 ล้านบาท

เข้าช่วยเปลี่ยนตั๋วสัญญาใช้เงินมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท

"ผู้จัดการ" ได้ถาม ดร.ศุภชัย ว่า จากสถานการณ์ทั้งหลายนี้มันมีบทเรียนอะไรกลับเข้ามาบ้าง ซึ่งเขาก็ตอบอย่างใช้เวลาทบทวนว่า

1. เขาและทางการรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงิน
อื่นๆ ในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือบริษัทที่ประสบปัญหาตอนแรกๆ กลายเป็นว่า ทางการต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาอย่างโดดเดี่ยว ทั้งที่ปัญหาของสถาบันการเงินนั้นมีแต่สถาบันการเงินด้วยกันจึงจะเป็นผู้แก้ปัญหาได้ดีที่สุด แต่นั่นก็คงไม่อาจจะไปโทษใครได้ เพราะไม่ได้มีการสร้างระบบการช่วยเหลือระหว่างสถาบันการเงินเอาไว้ก่อน

อย่างไรก็ดี เมื่อทางการจะต้องเข้าไปอย่างโดดเดี่ยว ก็มีผลผลิตตามมาคือ

- เกิดความล่าช้า

- ดูเป็นเรื่องใหญ่ในสายตาประชาชน

- ประสิทธิภาพไม่เหมือนกับที่ถ้าสถาบันการเงินจะดูแลกันเอง แล้วทางการเข้าไปหนุนเสริม

จากบทเรียนข้อนี้ ดร.ศุภชัยมองว่า ในขณะนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการสร้าง

ระบบการให้ความช่วยเหลือระหว่างสถาบันการเงินด้วยกัน เพื่อเป็นเกราะชั้นหนึ่งก่อนจะมาถึงทางการ ส่วนรูปแบบจะเป็นเช่นไรนั้นก็คงต้องติดตามกันต่อไป

2. เรื่องเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก คือถ้าทิ้งเวลาระหว่างการตัดสินใจให้เนิ่นนานออกไป
แม้นโยบายที่ออกมาจะถูกทางแต่ทุกอย่างก็จะเสียหายไปมากแล้ว จากบทเรียนของต่างประเทศและบทเรียนของเรานั้น เมื่อเกิดปัญหาจะต้องเข้าแก้ไขในทันที อย่ารอช้าเด็ดขาด

เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ การแก้ปัญหาก็คงจะต้องมีกำหนดระยะเวลาไว้ทุกเรื่อง เช่นเรื่องนี้

จะต้องแก้ให้ตกภายใน 3 เดือน เรื่องนี้ 6 เดือน เป็นต้น

3. จริงอยู่มีการพูดว่าปมเงื่อนของปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากหลายสาเหตุ เช่น เรื่องตลาด หุ้นทำให้หลายบริษัทขาดทุน เรื่องการฉ้อฉลของผู้บริหาร แต่เรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือ เรื่องสภาพคล่อง และทางการที่แก้ปัญหาได้ก็เพราะมองเรื่องนี้เป็นหลักและพยายามแก้โดยเน้นที่เรื่องนี้

เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ปัญหาสภาพคล่องจะเป็นเรื่องที่ทุกบริษัทจะต้องระวัง จะต้องทำให้

เงินที่เข้ามากับเงินที่จะปล่อยออกไปคงอยู่ในสภาพที่ได้ดุลเสมอ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us