Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา เมษายน 2554
โยคะพัฒนาลูก @Yokidz             
โดย สุภัทธา สุขชู
 


   
search resources

Health
Yokidz Learning Center
อรสิริ ลิ่วมโนมนต์




ถ้าพูดถึงกีฬาที่ช่วยเพิ่มพูนความแข็งแรงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ หลายคนนึกถึงโยคะ แต่ด้วยหลักการที่เน้นบริหารกายพร้อมกับฝึกลมหายใจผ่านความสำรวจในร่างกายที่สงบนิ่ง บวกกับท่าโยคะที่ดูราวยิมนาสติกผสมกายกรรม พ่อแม่หลายคนจึงไม่เคยคิดว่าโยคะเหมาะจะเป็นกีฬาทางเลือกสำหรับลูกน้อย

เด็กน้อยวัย 8 ขวบอยู่ในท่าเอาหัวแทนเท้าเอาเท้าชี้ฟ้า หรือที่เรียกว่า “Head Stand” ท่าที่จัดว่ายากที่สุดท่าหนึ่งของผู้เริ่มเล่นโยคะ ด้วยความ สงบนิ่งของหนูน้อยยิ่งทำให้ท่านี้ดูสมบูรณ์มาก จนเรียกทุกสายตาของเพื่อนตัวน้อยและผู้ปกครองที่มาเฝ้าลูกหลานฝึกโยคะที่สตูดิโอแห่งนี้ให้มาจ้องอยู่ ที่เธอ

เสียงเจี๊ยวจ๊าวกับอาการซุกซนของเด็กน้อยทำให้ยากที่จะเชื่อว่าห้องเล็กๆ บนชั้น 14 ของ Lilo Private Residence ย่านสุทธิสาร จะเป็นสตูดิโอ โยคะไปได้ กระทั่งเสียงเพลงดังขึ้น เด็กๆ หยุดวิ่งเล่นพูดคุย พากันเข้าสู่ท่า นั่งขัดสมาธิเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ อันเป็นการแสดง ว่าคลาสเรียนโยคะเด็กกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

ทุกวันพุธ เวลา 17.00 น. คลาสฝึกโยคะสำหรับเด็กที่ Yokidz Learning Center จะเต็มไปด้วยเด็กเล็กอายุตั้งแต่ 3 ปีกว่าๆ ไปจนถึง 8 ปี ขณะที่ 3 คลาสในวันเสาร์ นักเรียนส่วนใหญ่จะเป็นเด็กโตกว่านี้เล็กน้อย แต่อายุไม่เกิน 12 ปี นอกเหนือจากนี้เป็นคลาสเรียนส่วนตัว

Yokidz เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2008 โดยอรสิริ ลิ่วมโน-มนต์ เป็นผู้ก่อตั้ง อาจกล่าวได้ว่า เธอเป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกโยคะสตูดิโอสำหรับเด็กแห่งแรกๆ ในประเทศไทย

อรสิริเริ่มเรียนโยคะมานานกว่า 10 ปี ตั้งแต่สมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา จากจุดเริ่มต้นเพียงแค่อยากออกกำลังกายอะไรก็ได้ เธอทดลองเข้าคลาสโยคะครั้งแรกในเวลาเพียงชั่วโมงกว่า เธอออกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเปลี้ยจนขยับตัวไม่ได้ไป 3 วัน

แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอหันหลังให้กีฬาประเภทนี้ ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เธอยิ่งอยากพิสูจน์ตัวเอง เมื่อยิ่งเข้าไปรู้จักกับโยคะมากขึ้น เธอก็ยิ่งหลงรักในศาสตร์แห่งการบริหารร่างกายและจิตใจรูปแบบนี้

“เพราะเล่นโยคะมาตลอด เรารู้สึกว่ามันช่วยได้เยอะทั้งเรื่องสุขภาพและจิตใจ โดยเฉพาะด้านอารมณ์ จากแต่ก่อนที่เป็นคนอารมณ์ร้อนมาก สามารถโกรธคนอื่นนานเป็นอาทิตย์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้ว ตรงนี้ได้มาจากการเล่นโยคะเลย เพราะพอเรามาโฟกัสที่ลมหายใจ มันก็บังคับให้เรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน เราก็ได้สังเกตอารมณ์ตัวเองไปด้วย มันก็เหมือนได้ชำระสิ่งที่คั่งค้างในจิตใจไปในตัว”

หลังจากจบปริญญาตรีด้านการบริหารธุรกิจและปริญญาโทด้าน e-commerce จาก มหาวิทยาลัยในอเมริกา อรสิริกลับมารับผิดชอบงานด้านกฎหมายให้กับธุรกิจของครอบครัวอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่ความรักในการเล่นโยคะจะผลักดันให้เธอออกมาเปิดสตูดิโอโยคะเป็นของตัวเอง

สำหรับแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ เธอเลือกที่จะเปิดสตูดิโอโยคะสำหรับเด็กแทนที่จะเปิดสตูดิโอโยคะทั่วไป เกิดจากการที่เธอได้พบกับคุณแม่คนหนึ่งที่มีลูกชาย ไฮเปอร์วัยเพียง 6 ขวบ ซึ่งคุณแม่เล่าว่า เด็กคนนี้ต้องทานยาเพื่อลดอาการไฮเปอร์ เป็นประจำ จึงทำให้เธอหันกลับมาคิดว่า โยคะน่าจะช่วยให้เด็กคนนี้มีสมาธิเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งน่าจะเป็นวิธีเยียวยาที่ดีกว่าการทานยา

เมื่อเห็นว่าเมืองไทยยังไม่มีสตูดิโอโยคะสำหรับเด็กอย่างจริงจัง และไม่มีสตูดิโอ โยคะที่ไหนที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เล่นโยคะ อย่างเหมาะสมและถูกวิธีนัก อรสิริตัดสินใจ บินไปอเมริกา เพื่อลงเรียนคอร์สการสอนโยคะ สำหรับเด็กที่ Yoga Kids International กับคุณ Marsha Wenig ผู้เป็นต้นตำรับด้านนี้

“มันไม่แฟร์ที่เด็กจะต้องไปเข้าโยคะผู้ใหญ่ เพราะมันไม่สนุกเลยและก็ไม่เหมือน กัน คอร์สนี้เขาสอนให้เรารู้จักวิธีจัดการกับเด็ก ให้พวกเขารู้สึกสนุกกับโยคะ ด้วยการดึงความสนใจผ่านเกม นิทาน หรือเพลง ท่วงท่าต่างๆ ก็ปรับให้ง่ายขึ้น และชื่อท่าก็เปลี่ยนให้ฟังดูเข้าใจง่าย แต่สิ่งที่สอดแทรกอยู่ก็คือการมีสมาธิกับลมหายใจของตัวเองตามหลักของการฝึกโยคะนั่นเอง”

ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงในคลาสโยคะสำหรับเด็กดูช่างแตกต่างจากโยคะผู้ใหญ่นัก

ขณะที่โยคะผู้ใหญ่จะเน้นคงท่าให้อยู่ นิ่งๆ เป็นเวลานาน เพื่อสำรวจร่างกายผ่าน ลมหายใจเข้าออกนับสิบครั้ง โยคะเด็กจะเน้นท่วงท่าเคลื่อนไหวที่ดัดแปลงให้ดูคล้าย คลึงกับสิ่งรอบตัว เช่น ท่างูเลื้อย ท่าปลาโลมา ท่าต้นไม้พลิ้วไหว ท่ากบไหว้เจ้า และ ท่าคันไถ เป็นต้น ทว่าก็ไม่ลืมโฟกัสที่ลมหายใจเข้าออกด้วยเช่นกัน

“ธรรมชาติของเด็ก บางทีเขาจะลอกแลกมาก เราก็ต้องบอกให้เขาโฟกัสกับตัวเอง ย้ำให้เขาดูที่ลมหายใจเข้าออก แล้วเขาจะรู้เองว่าเขาจะทรงตัวได้นานขึ้น ทำท่าได้ดีขึ้น ถ้าเขามีโฟกัสที่ดีขึ้น และเขาจะมีโฟกัสดี ถ้าเขามีสมาธิอยู่ที่ลมหายใจ การเรียนโยคะจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกสมาธิ และควบคุมตนเอง”

เนื่องจากโยคะเน้นการบริหารท่วงท่าให้สอดคล้องกับการฝึกลมหายใจ ซึ่งง่ายในการเหนี่ยวนำให้เกิดสมาธิ อรสิริจึงมั่นใจว่า โยคะน่าจะช่วยให้เด็กสมาธิสั้นมีอาการดีขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะ

กว่า 3 ปี อรสิริเจอลูกศิษย์สมาธิสั้นหลายคน หลังจากผ่านการเรียนโยคะเด็กมา ระยะหนึ่ง เกือบทุกคนกลายเป็นเด็กที่นิ่งขึ้นและมีสมาธิจดจ่อต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นานขึ้น มากกว่านั้น บางคนมีผลการเรียนดีขึ้น โดยมีผลพลอยได้ คือร่างกายที่แข็งแรงและมีความ ยืดหยุ่นมากขึ้น

ด้วยเหตุผลทั้งด้านสมาธิและร่างกายทำให้คุณแม่ของเด็กชายวัย 11 ปีที่มีอาการ สมาธิสั้นพาลูกชายมาทดลองเรียนคลาสโยคะเด็กเป็นครั้งแรก ในวันที่ ผู้จัดการ 360 ํ เข้าไปสังเกตการณ์

“นอกจากน้องจะได้เรื่องสมาธิโดยไม่ต้องทานยา พี่ก็หวังว่าโยคะจะช่วยปรับสรีระให้เขาได้ เพราะกระดูกสะโพกของน้อง หุบเข้า คุณหมอเคยบอกว่าวิธีเดียวที่แก้ได้คือการผ่าตัด ตัวพี่เองกระดูกสะโพกเคยบิด อยู่นิดหนึ่ง หลังจากเล่นโยคะประจำก็ทำให้ พี่ดีขึ้นได้ พี่ก็หวังว่า ถ้าฝึกไประยะหนึ่งโยคะจะช่วยปรับน้องเขาได้ ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ” น้ำเสียงของคุณแม่เปี่ยมด้วยความหวัง

ขณะที่ลูกศิษย์วัย 10 ปีเล่าว่า หลัง จากฝึกโยคะมาได้ระยะหนึ่ง เขามีสมาธิจดจ่อกับการอ่านหนังสือมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่เวลาอ่านหนังสือ หากไม่คิดเรื่อง อื่นก็เอาแต่อยากจะดูทีวีตลอดเวลา

สำหรับคุณพ่อน้องข้าวโอ๊ตวัย 6 ปี เชื่อว่า โยคะจะช่วยส่งเสริมการเล่นดนตรีของลูกชายให้ดีขึ้นได้ เพราะโยคะมีส่วนสัมพันธ์กับสมาธิและอารมณ์เช่นเดียวกับการเล่นดนตรี และสิ่งที่ได้แน่ๆ ก็คือสุขภาพ ที่ดีและความสดชื่นแจ่มใส เพราะหลังเรียน โยคะ ลูกชายจะทานข้าวได้เยอะ หลับสนิท และหลับเร็วขึ้น

จากวันแรกจนปัจจุบัน อรสิริมีลูกศิษย์ทั้งสิ้นร่วม 50 คน หลายคนเรียนต่อเนื่องเป็นระยะเวลาร่วม 3 ปี โดยในแต่ละคลาสจะมีผู้เรียนไม่เกิน 10 คน เนื่องจากโยคะสำหรับเด็กต้องการความใส่ใจมากกว่า เพราะเด็กมักไม่รู้และไม่ระวังว่า สำหรับบางท่า การทำผิดท่าเพียงนิดเดียวอาจนำมาซึ่งอาการเจ็บปวดได้

ความยากอีกประการของโยคะเด็กอยู่ที่เทคนิคที่จะทำให้เด็กสนใจและสนุกสนาน ตลอดชั่วโมงโยคะ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่อรสิริมักบินไปเข้าคอร์สการสอนโยคะเด็กที่อเมริกา ทุกปี ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดโลกทัศน์และหาความรู้เพิ่มเติม หาเทคนิคใหม่ๆ รวมทั้งท่าโยคะใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้กับลูกศิษย์ตัวน้อย

ขณะที่ผู้ใหญ่หลายคนมองว่าท่าโยคะหลายท่ายากเกินกว่าที่เด็กจะทำได้และกลัวว่าจะเกิดอันตราย จึงไม่อนุญาตให้ลูกเรียนโยคะ แต่จากประสบการณ์ของอรสิริ ความกล้า และความอยากทดลองของเด็กช่วยทำให้พวกเขามั่นใจที่จะเล่นท่าโยคะที่อาจดูยากเย็นยิ่งสำหรับผู้ใหญ่ได้หลังจากเริ่มฝึกเพียงไม่นาน และเด็กบางคนสามารถทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่ หลายคน หนึ่งในท่ายากเหล่านั้นก็คือท่า “Head Stand”

ในฐานะกีฬา โยคะช่วยให้ทุกส่วนของร่างกายได้ยืดเส้นยืดสาย ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ทำให้ร่างกายแข็งแรง และยังทำให้เด็กๆ ได้สนุกสนาน โดยกีฬาโยคะไม่เน้นการ แข่งขัน แต่เป็นการฝึกความอดทนแข่งกับตัวเอง ทว่า หากมองว่าเป็นการฝึกกำหนดลมหายใจ โยคะไม่เพียงช่วยให้มีสมาธิ แต่ยังช่วยผ่อนคลายจิตใจ และช่วยในเรื่องควบคุม อารมณ์ได้ด้วย

“เวลาโกรธลมหายใจเข้าออกจะแรง เวลาเศร้าเราจะถอนหายใจบ่อย ขณะที่เวลาปกติลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อไรที่อารมณ์ไม่ปกติ ให้มาดูลมหายใจ จากนั้นมากำหนดลมหายใจเข้าออก ให้กลับเป็นปกติ” คำสอนที่อรสิริมักสอดแทรกอยู่ในคลาสโยคะเด็ก

ทั้งนี้ ค่าเรียนโยคะเด็ก คอร์ส 10 ครั้ง อยู่ที่ 5,500 บาท และคอร์ส 15 ครั้ง 7,500 บาท โดยแบ่งเป็นคลาสเด็กเล็กอายุ 3-6 ปี และเด็กโต 7-12 ปี

สำหรับวัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง Yokidz อรสิริ ต้องการให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญในการให้โอกาสเด็กได้มาลองเล่นโยคะบ้าง เพื่อเรียนรู้การอยู่กับตัวเอง และได้พักผ่อนจิตใจ เพราะเธอเชื่อว่า การดำเนินชีวิตในแต่ละวันจำเป็นต้องใช้ใจเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันให้กับเด็กยุคนี้ที่ยังต้องเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ อีกมากมายในอนาคต

สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของผู้ปกครองหลายคนที่มองว่า แม้ไม่ได้หวังให้ลูกน้อยมีสมาธิมากมาย แต่ถ้าลูกจะมีสมาธิเพิ่มขึ้นเพื่อจัดการกับความเครียดในเรื่องเรียนและเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ ก็นับว่าได้เป็นการสร้างเสริมทักษะชีวิต เพื่อให้ลูกได้ดำเนินชีวิตอย่างมีสติและมีความสุขในวันข้างหน้า

“แม้เด็กอาจจะไม่มีวุฒิภาวะมากพอเหมือนผู้ใหญ่ แต่ก็มีจิตใจใสพอที่จะถูกขัดเกลาได้ด้วยโยคะ” อรสิริย้ำถึงเหตุผลที่เด็กควรไดรับโอกาสในการทดลองเล่นโยคะ และได้พิสูจน์ด้วยตัวเองว่าพวกเขาทำได้ ...หาใช่การถูกตัดสินผ่าน “ความกลัว” ของผู้ใหญ่ว่าโยคะเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก!   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us