Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2528
เศรษฐกิจเอเชียจะเฉื่อยช้าลงในปี 1985 ผู้เชี่ยวชาญต่างมองในแง่ร้าย คาดว่าความต้องการนำเข้าของสหรัฐฯ จะลดลง             
 


   
search resources

Economics
International




บรรดานักธุรกิจ, นายธนาคาร และข้าราชการทั้งหลายทั่วทั้งทวีปเอเชีย ต่างกำลังจบตามองเศรษฐกิจด้วยสายตาที่ระวังอะไร

เพราะในระยะเวลา 2 ปีที่แล้วมา ผู้ซื้อชาวอเมริกันซึ่งได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการแข็งตัวของเงินดอลลาร์ ได้สั่งซื้อสินค้าเข้าจากเอเชียเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก ซึ่งเป็นคุณูปการอย่างสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต้องขึ้นอยู่กับการค้าของภูมิภาคส่วนนี้ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นมีเศรษฐกิจขยายตัวเติบโตอย่างรวดเร็วมากในช่วงระยะ 5 ปีที่แล้วมา

แต่ในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ของภูมิภาคเอเชียมีความเห็นว่า การขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งหมายความรวมไปถึงการขยายตัวของการนำเข้าด้วย จะเฉื่อยช้าลงในปีหน้านี้ ซึ่งก็ย่อมหมายถึงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเอเชียส่วนใหญ่ต้องลดลงด้วย

อิริค นิคเกอร์ซัน นักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารแห่งอเมริกา สาขากรุงโตเกียว กล่าวว่า "เศรษฐกิจภายในของภูมิภาคส่วนนี้ไม่มีตรงไหนเลยที่นับว่าแข็งแรงพอจะใกล้เคียงกับจุดที่สามารถจะชดเชยกับการตกต่ำของสินค้าส่งออกได้"

หนังสือพิมพ์ "เอเชียน วอลล์สตรีต เจอร์นัล" ได้สัมภาษณ์นักเศรษฐศาสตร์ใน 5 ภูมิภาค เพื่อขอให้คาดคะเนอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะปี 1984 และ 1985 ของ 10 ประเทศในเอเชียตะวันออก

สำหรับปี 1984 โดยส่วนรวมแล้ว นักเศรษฐศาสตร์ประมาณว่าอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจภายหลังจากการปรัปปรุงตัวเลขเงินเฟ้อออกแล้ว จะอยู่ในอัตราระหว่าง 4.5% ถึง 11% สำหรับทั้งหมด นอกจากประเทศหนึ่งคือ ฟิลิปปินส์ ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศจะหดตัวลง (แทนที่จะขยายตัวขึ้น) ในปีนี้ (1984) เป็นจำนวนมากมายถึง 5.5%

ส่วนในปี 1985 นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า อัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจของแทบทุกประเทศจะเฉื่อยช้าลง

การคาดการณ์ในแง่ร้ายเช่นนี้ ประเมินมาจากความเห็นสอดคล้องต้องกันที่ว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะลดลงระหว่าง 2.5%-3.5% ในปีหน้า (1985) จากการขยายตัวของปี 1984 ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับประมาณ 7% อันจะทำให้อุปสงค์เพื่อสินค้าออกของประเทศในเอเชีย (ซึ่งส่วนมากเป็นวัตถุดิบและวัสดุหัตถกรรม) เหือดแล้งลง (อัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจนี้วัดจากปริมาณผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ หรือ GDP อันเป็นมูลค่ารวมของผลผลิตที่เป็นสินค้าและบริการ บวกด้วยรายได้จากต่างประเทศของชาติหนึ่งๆ )

อย่างไรก็ดี มีสัญญาณแสดงว่าเศรษฐกิจของบางประเทศในเอเชียได้ขึ้นถึงยอดสูงสุดของมันแล้ว เจ้าหน้าที่ราชการใน 3 ประเทศ คือ สิงคโปร์, ไต้หวัน และเกาหลีใต้ คาดว่า อัตราความเติบโตจะตกต่ำลงในครึ่งหลังของปีมากกว่าในครึ่งแรกของปี เหตุผลคือ สหรัฐอเมริกาจะสั่งซื้อสินค้าจากประเทศเหล่านี้น้อยลง

แต่กระนั้นก็ตาม อัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดต่ำลง ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งหมด เพราะปริมาณการค้าขนาดใหญ่โตได้เคยผลักดันบางประเทศ อย่างเช่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ไปสู่ความเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่ยากจะบรรลุถึงได้ง่ายๆ

หลายประเทศในเอเชียต่างวางแผนเพื่อรักษาไว้ซึ่งระดับความเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตนได้บรรลุถึงแล้วนั้นเอาไว้ และเพื่อให้เศรษฐกิจของตนได้มีเสถียรภาพมากยิ่งๆ ขึ้นไป

ตัวอย่างเช่น ประเทศไทย ได้พยายามหน่วงเหนี่ยวความเติบโตทางเศรษฐกิจเอาไว้ โดยสกัดกั้นการขยายตัวของสินเชื่อ รัฐบาลไทยกำลังพยายามแก้ไขสถานการณ์ของปี 1983 ที่มีการให้กู้ยืมเงินมากเกินไป จนทำให้มีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามากขึ้น และดังนั้นจึงเกิดมีการขาดดุลทางการค้าอย่างน่าเป็นห่วง และทำให้บัญชีกระแสรายรับของประเทศจำต้องขาดดุลไปด้วย

ไม่มีใครคาดคะเนว่า เศรษฐกิจในทวีปเอเชียจะประสบกับภาวะหดตัวอย่างกว้างขวาง

นักเศรษฐศาสตร์บางคนในภูมิภาคทั้ง 5 ของเอเชีย คาดว่า บางประเทศที่จำเป็นต้องพึ่งพาโภคภัณฑ์ทางอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ ดังเช่น ประเทศมาเลเซีย, อินโดนีเซีย และประเทศไทย อัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

มร.นิคเกอร์ซัน นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารแห่งอเมริกา สาขากรุงโตเกียว กล่าวว่า "เราคาดว่าในปีหน้านี้ ราคาสินค้าอุตสาหกรรมบางอย่างจะสูงขึ้นบ้างพอสมควร" ทั้งนี้รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบางอย่างของท้องถิ่นด้วย ดังเช่น น้ำมันพืช และแร่บางอย่าง

และราคาที่มั่นคงยิ่งขึ้นนี้ อาจช่วยให้ฟิลิปปินส์สามารถกลับฟื้นคืนหลังมายืนหยัดอยู่บนขาของตนเองได้อีกก็ได้ วิลลาร์ด ชาร์พ นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร เชส แมนฮัตตัน ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า "ถ้าราคาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกลับฟื้นคืนสู่ระดับที่สมบูรณ์ดีอีกครั้งหนึ่งแล้วเศรษฐกิจใหม่ภูมิภาคนี้จะไม่เลวเลย"

ต่อไปนี้ เป็นรายงานการสำรวจภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาคส่วนนี้ของโลก และลู่ทางที่อาจเป็นไปได้สำหรับปี 1985

เกาหลีใต้

พลังขับดันเบื้องแรกที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศนี้สามารถเจริญเติบโตขึ้นมานั้นก็คือการส่งสินค้าออก แต่ปัจจุบันนี้ใบสั่งซื้อสินค้าส่งออกจากประเทศนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบสั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าเพียงราว 40% ของมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งหมดของเกาหลีใต้เท่านั้น ทั้งนี้จากการประมาณของนักเศรษฐศาสตร์

ผลก็คือ ภายหลังจากประสบความรุ่งเรืองในครึ่งแรกของปี 1984 แล้ว พอย่างเข้าครึ่งปีหลังความเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ก็เริ่มเฉื่อยช้าลง และมีท่าว่าจะตกต่ำต่อไปในปี 1985

สถาบันพัฒนาเกาหลี อันเป็นแหล่งสติปัญญาทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้ประมาณว่า ในปี 1984 การขยายตัวเติบโตของผลิตภัณฑ์รวมประชาชาติ (GNP) จะสูงถึง 7.7% แต่ในปี 1985 จะตกลงมาเหลือ 7.4%

ตามตัวเลขสถิติของธนาคารแห่งประเทศเกาหลี ได้แสดงตัวเลขเปรียบเทียบการขยายตัวเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติไว้ว่า เมื่อปี 1983 สูงขึ้นไปถึง 9.5% และในครึ่งแรกของปี 1984 ลดลงมาเหลือ 8.4% ซู ซาง ม๊อก รองประธานสถาบันพัฒนาเกาหลี กล่าวว่า "เราคาดว่ามันจะเฉื่อยช้าลงบ้าง แต่ความเติบโตทางเศรษฐกิจจะยังไม่ถึงกับต่ำไปกว่าระดับ 7%"

เมื่อการส่งออกของเกาหลีได้เริ่มเฉื่อยช้าลงเมื่อ 2 ปีก่อน นักวางแผนของเกาหลีได้พยายามปลุกปล้ำให้มีการขยายตัวด้วยการแผ่ขยายเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่บัดนี้ไม่มีแผนการดังกล่าววางอยู่บนโต๊ะเลย คาดว่ารัฐบาลคงจะใช้วิธีปิดกั้นในปีหน้านี้ โดยปิดกั้นทั้งปริมาณเงินตราและปริมาณสินเชื่อเพื่อการบริโภค ทั้งนี้เพื่อสกัดกั้นการนำเข้า และปรับปรุงการขาดดุลในบัญชีกระแสรายวันของประเทศให้ลดน้อยลง

ปีนี้ (1984) การส่งออกโดยทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ดี นอกจากภาคอุตสาหกรรมการต่อเรือ อันเป็นอุตสาหกรรมแขนงหนึ่งในจำนวนไม่กี่แขนงที่ประสบกับการตกต่ำ แต่ตรงข้าม การซ่อมแซมเรือกลับเป็นกิจการที่เข้มแข็งดี

สิงคโปร์

การฟื้นคืนตัวสู่ความแข็งแรงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากต่อการขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะครึ่งปีแรกของสิงคโปร์

แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์มีลักษณะเป็นหย่อมๆ ไม่สม่ำเสมอกัน โดยมีภาคเศรษฐกิจใหญ่ๆ หลายภาคที่กลับล้าหลังลงไป

ในระยะครึ่งแรกของปี 1984 ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศที่ปรับปรุงตัวเลขเงินเฟ้อแล้วของสิงคโปร์ขยายตัวขึ้นอีก 9.7% เทียบกับการขยายตัวของปีก่อนที่มีเพียง 6.4%

นักเศรษฐศาสตร์ในภูมิภาคนี้ประมาณว่า การขยายตัวเติบโตของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศของสิงคโปร์ ในปี 1984 นี้ จะอยู่ในระหว่าง 8.7% ถึง 9.5% และในปี 1985 นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า การขยายตัวเติบโตของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศจะอยู่ระหว่าง 7% ถึง 8%

บรรดาผู้นำของสิงคโปร์ต่างก็มองเห็นลู่ทางอนาคตอย่างเดียวกันนี้

ในการกล่าวคำปราศรัยเมื่อเร็วๆ นี้ นายกรัฐมนตรี ลี กวนยู กล่าวว่า เขาคาดว่า ความเติบโตของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศในครึ่งหลังของปี 1984 "จะลงต่ำลงกว่าในครึ่งแรกของปี" ส่วนในปี 1985 นั้น เขากล่าวว่า ลู่ทางยังคงไม่แน่นอน "ส่วนใหญ่เนื่องมาจากการขึ้นสูงอย่างไม่รู้จักหยุดยั้งของอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ประกอบกับความคิดในทางกีดกันสินค้าต่างประเทศในตลาดส่งออกรายใหญ่ๆ"

ในครึ่งแรกของปี การขนส่งและการคมนาคม มีส่วนขยายตัวขึ้นเกือบ 22% ของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ สินค้าอุตสาหกรรมมีส่วน 21%, บริการทางการเงินและธุรกิจมีส่วน 21% และการก่อสร้าง มีส่วน 16%

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่รัฐบาลคาดว่า แม้รัฐบาลจะมีโครงการสร้างรถไฟใต้ดินเป็นมูลค่าถึง 2.3 พันล้านดอลลาร์ก็ตาม แต่การขยายตัวของงานก่อสร้างก็จะเฉื่อยช้าลง เหตุที่ประเมินผลในทางลดลงเช่นนี้ก็เพราะ สิงคโปร์กำลังอิ่มตัวในเรื่องสำนักงาน, ร้านค้า และที่พักอาศัย

อุตสาหกรรมทางทะเล เนื่องจากต้องประสบกับการแข่งขันอย่างหนักหน่วงจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ สิงคโปร์กำลังถูกตีจนต้องถอยร่น ลู่ทางที่อุตสาหกรรมด้านนี้จะต้องสงบเงียบไปอีกนาน ทำให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติของสิงคโปร์ต้องรีบวางแผนเพื่อปรับปรุงโครงสร้างใหม่ของเศรษฐกิจภาคนี้

สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งมีส่วนมากกว่า 40% ของสินค้าออกทั้งหมดนั้นก็คาดว่า จะประสบกับปัญหายุ่งยากในอนาคตเช่นเดียวกัน ราคาน้ำมันในตลาดโลกกำลังลดต่ำลงในขณะที่การกลั่นน้ำมันภายในประเทศกำลังต้องเผชิญการแข่งขันกันมากขึ้นกับกลุ่มประเทศในอ่าวเปอร์เซีย และประเทศเพื่อนบ้าน

ไต้หวัน

ไต้หวันเป็นประเทศเดียวที่คาดว่าจะบรรลุความเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราสูงที่สุดในทวีปเอเชีย ในปี 1984 นี้

แต่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนกล่าวว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไต้หวันได้เริ่มเคลื่อนคล้อยถดถอยลงในครึ่งหลังของปี และจะยังคงตกต่ำต่อไปในปี 1985

ตามความคาดหมายของสภาพัฒนาและวางแผนเศรษฐกิจของรัฐบาลไต้หวัน เศรษฐกิจของประเทศในปี 1984 จะขยายตัวเติบโตถึง 10% แต่ในปี 1985 นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า ความเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ในอัตราระหว่าง 5.7% ถึง 8.5%

การที่คาดคะเนว่าจะลดลงเช่นนี้ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากการลดลงของสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา

มีรายงานข่าวว่า อุตสาหกรรมส่งออกบางประเภท เช่น รองเท้า, สิ่งทอ และแว่นตากันแดด กำลังได้รับใบสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลงแล้ว

แม้กระนั้นก็ตาม ก็คาดว่าความเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้ (1984) มีท่าว่าจะล้ำหน้าเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้แต่เดิม 7.5% ออกไปมาก อุตสาหกรรมส่งออกส่วนใหญ่รวมทั้งเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ ทั้งหมดล้วนก้าวไปได้ไกล

อย่างไรก็ดี การขายและการลงทุนภายในประเทศได้ตกต่ำลง ธุรกิจหลายประเภทได้เริ่มถดถอยลง ดังเช่น การทำไม้, ปูนซีเมนต์ และอุตสาหกรรมพื้นฐานอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่สนองความต้องการให้แก่เศรษฐกิจภายในประเทศ

ถึงแม้ว่าการขายสำหรับการส่งออกในปีนี้จะสูงขึ้นบ้าง แต่กำไรของบริษัทต่างๆ ก็ถูกบีบคั้นจากต้นทุนที่สูงขึ้น และในอุตสาหกรรมหลายแขนงกำลังมีการตัดราคากันอย่างเอาจริงเอาจัง ตามรายงานทางสถิติของรัฐบาลแสดงว่า อัตราส่วนของกำไรบริษัทต่อรายได้ของบริษัท อยู่ในอัตรา 6% มาตั้งแต่ปี 1983

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ กรณีของบริษัท อาฟเนต อินเตอร์แนชนัล (ไต้หวัน" จำกัด อันเป็นบริษัทผลิตเครื่องออดิโอ จอห์น เลน กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท อาฟเนต ของสหรัฐฯ ในไต้หวัน กล่าวว่า ในปี 1984 สินค้าส่งออกของบริษัทนี้จะสูงกว่าปีก่อนถึง 35% แต่ตรงข้ามกำไรกลับต้องลดลงถึง 20%

เขากล่าวว่า "ปีนี้ (1984) เป็นปีแย่ที่สุดของเครื่องออดิโอในช่วง 7-8 ปีที่แล้วมา พวกเรายังไม่อาจรู้ได้ถึงจำนวนแน่นอนว่า เราจะสามารถขายให้ผู้สั่งซื้อได้เป็นจำนวนเท่าใด"

ฮ่องกง

ความหวั่นวิตกในอนาคตของฮ่องกงภายหลังจากจีนได้รับมอบไปแล้วในปี ค.ศ.1997 ได้ก่อให้เกิดความละเหี่ยเพลียใจเกี่ยวกับชะตากรรมของอาณานิคมแห่งนี้ตลอดเวลา กว่า 2 ปีที่แล้วมา

แต่ความไม่แน่นอนในอนาคตทางการเมืองนี้ ก็ไม่อาจขัดขวางความคึกคักในการส่งออกที่กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมของอาณานิคมให้กลับฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาในปี 1984 อีกได้ไม่ และบัดนี้ โดยที่จีนกับอังกฤษได้เซ็นสัญญาความตกลงให้คำมั่นสัญญาที่จะรักษาสถานภาพของฮ่องกงให้คงอยู่ในกรอบของระบบทุนนิยมหลังปี 1997 นักธุรกิจและนักเศรษฐกิจคาดว่า เศรษฐกิจของฮ่องกงจะได้รับการปฏิรูปให้ดียิ่งขึ้น

เซอร์ จอห์น เบรมริดจ์ รัฐมนตรีฝ่ายการคลังของรัฐบาลอาณานิคม ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่แล้วมาได้คาดคะเนว่า ความเติบโตของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศของฮ่องกงในปี 1984 จะเติบโตขึ้นเพียงราว 6.3% นั้น แต่แล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่แล้วมานี่เอง กลับบอกว่า ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศของฮ่องกงจะขยายตัวออกไปได้ถึง 8.1% เป็นมูลค่าถึง 31.77 พันล้านดอลลาร์ โปรดเทียบกับเมื่อปี 1983 ที่ขยายตัวได้เพียง 5.2% 1982 ขยายเพียง 2.4%

เซอร์ จอห์น ยังกล่าวต่อไปว่า "ตัวเลขสถิติของปีนี้ (1984) เป็นคุณอย่างมาก โดยเฉพาะต่อสภาพแวดล้อม ภาวะเช่นนี้นับว่าเกิดขึ้นได้ยากมาก แม้ในสภาพสังคมที่ปรวนแปรได้ง่ายอย่างฮ่องกง"

อย่างไรก็ดี สำหรับปี 1985 การขยายตัวเติบโตคาดว่าจะเฉื่อยช้าลงมาอยู่ในระหว่าง 5% ถึง 7% ทั้งนี้ ส่วนใหญ่ก็เนื่องมาจากการคาดคะเนว่าสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาจะลดลง ซึ่งคาดว่า จะเป็นจำนวนถึงราว 40% ของสินค้าขายส่งออกโพ้นทะเลของอาณานิคมแห่งนี้

การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างทะมัดทะแมงของฮ่องกงในปี 1984 นี้ ที่ก้าวรุดหน้ามาได้ก็เนื่องจาก การส่งออกของสินค้าประเภทเสื้อผ้า และเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่างๆ ซึ่งส่วนมากส่งไปยังสหรัฐอเมริกา แต่อย่างไรก็ดี

ลูกค้าที่ขยายปริมาณการซื้อผลิตภัณฑ์สินค้าจากฮ่องกงอย่างรวดเร็วมากที่สุดนั้น ได้แก่ จีน และโอกาสส่งสินค้าออกไปขายให้แก่ผู้ปกครองในอนาคตของอาณานิคมแห่งนี้ จะยังคงขยายตัวต่อไป ไม่ว่าภาวะตลาดแห่งอื่นของฮ่องกงจะเป็นอย่างไรก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ นักอุตสาหกรรมผู้ส่งสินค้าออกจึงขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นในการตั้งโรงงาน และการจัดซื้อเครื่องจักรกลต่างๆ ในช่วงระยะ 7 เดือนแรกของปี 1984 การลงทุนด้านอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้นราว 40% รวมเป็นจำนวนลงทุน 1.45 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับในปี 1983 ทั้งปี ที่นักธุรกิจในอาณานิคมได้ลงทุนในโรงงานใหม่ๆ และเครื่องจักรกลถึงราว 1.92 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งก็ยังลดลงไปกว่าระดับของปี 1982 ตั้ง 1%

ความอ่อนแอที่เห็นได้ชัดในแขนงเศรษฐกิจของประเทศคงมีก็แต่ตลาดหลักทรัพย์อย่างเดียวเท่านั้น

ญี่ปุ่น

เศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วมาตั้งแต่ปี 1979 นักเศรษฐศาสตร์ทั้งจากภาครัฐบาลและภาคเอกชนต่างคาดว่า ในปีการเงินซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มีนาคม 1985 นี้ ผลิตภัณฑ์รวมประชาชาติ จะมีอัตราขยายเติบโตหลังจากปรับปรุงตัวเลขเงินเฟ้อออกแล้ว เป็นจำนวน 5.3% ซึ่งเป็นการเติบโตที่รวดเร็วกว่าการขยายตัวของปีก่อนนี้ที่มี 3.7% อย่างเห็นได้ชัด

แรงผลักดันสำคัญของความเติบโตนี้ ก็ยังคงเป็นสินค้าออก การลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมและเครื่องจักรกลในประเทศ ยังคงก้าวรุดหน้าต่อไป แต่ส่วนมากของการลงทุนนั้นเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรกลต่างๆ

นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารสุมิโตโม กล่าวว่า ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวซึ่งได้ฟื้นขึ้นตั้งแต่เกือบ 2 ปีมาแล้ว อุตสาหกรรมเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ได้เพิ่มขึ้นถึง 40% ของสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด สินค้าส่งออกทั้งหมดในครึ่งแรกของปีการเงินปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นกว่าเมื่อปีกลาย 18%

การลงทุนของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ดังเช่น บริษัทฟูจิตสุ จำกัด, บริษัทฮิตาชิ จำกัด และบริษัท โตชิบา คอร์ปอเรชั่น เหล่านี้ สำนักงานวางแผนเศรษฐกิจของญี่ปุ่นคาดว่ากำลังนำที่จะทำให้เงินลงทุนของบริษัทที่ใช้ไปในปีการเงินที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 มีนาคม 1985 นี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 8.1% ของปีก่อน

อุปสงค์สำหรับบ้านพักอาศัย และการใช้จ่ายในการบริโภคได้ลดลง แต่นักวิเคราะห์บางคนคาดว่า การใช้จ่ายเหล่านี้จะดีขึ้นในไม่ช้านี้

คาซุโอะ กีดะ หัวหน้าคณะนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารสุมิโตโม กล่าวว่า "นักเศรษฐศาสตร์ส่วนมากคาดว่า การส่งออกจะเฉื่อยช้าลง และการบริโภคจะเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ ในระหว่างครึ่งแรกของปีหน้า เราจะได้เห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีสมดุลมากยิ่งขึ้น"

แต่ถึงแม้กระนั้นสำนักงานวางแผนเศรษฐกิจเห็นว่า ในปีหน้าการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงราว 3.5% เท่านั้น ทัศนะดังกล่าวนี้ สถาบันวิจัยโนมูระ อันเป็นสถาบันของเอกชน เห็นด้วย

นักเศรษฐศาสตร์บางคนอธิบายอัตราความเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ว่า เป็นเสมือนหนึ่งสัญญาณที่แสดงว่าญี่ปุ่นได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดอันเนื่องมาแต่วิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่ 2 แล้ว แต่นักเศรษฐศาสตร์บางคนแสดงความวิตกเกี่ยวกับลู่ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยหวังว่า ความเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 1984 นี้ จะมีราว 6% หลังจากหักเงินเฟ้อแล้ว เทียบกับปี 1983 ที่ขยายตัวเพียง 5.8% แต่ข้ออ้างเช่นนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นการเล็งผลเลิศมากเกินไป เพราะการลดดิ่งลงมาแห่งอัตราการขยายตัวของสินเชื่อ ซึ่งส่งผลให้การผลิตด้านอุตสาหกรรมต้องเฉลี่ยช้าลง มีท่าว่าจะยับยั้งความเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ให้มากไปกว่า 5.5% ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของประเทศ ประมาณว่าการขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจจะมีอย่างมากเพียงราว 5% เท่านั้น แต่อาจเฉื่อยช้าลงต่ำกว่านี้จนเหลือเพียง 4.7% ก็ได้

แต่ทั้งๆ ที่มีการคาดหมายในทางที่ไม่ค่อยดีนักเช่นนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลก็ยังเชื่อว่า เสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น โดยยอมเสียสละความเติบโตทางเศรษฐกิจบางส่วน นักเศรษฐศาสตร์บางคนคาดคะเนว่า อัตราความเติบโตจะสูงขึ้นในปีหน้า ระหว่าง 6% ถึง 6.3% ธนาคารแห่งประเทศไทยอันเป็นธนาคารกลางของประเทศ กล่าวว่า การลดค่าของเงินที่กระทำไปเมื่อเร็วๆ นี้ จะผลักดันให้ความเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 1985 สูงกว่าปีแล้วมาเล็กน้อย คือ สูงขึ้นถึงราว 6.5%

นักเศรษฐศาสตร์ของไทยให้ข้อสังเกตว่า เมื่อปี 1983 ความเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยก็กะโผลกกะเผลกอยู่แล้ว แต่ความเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นแทนที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการส่งสินค้าออกที่รัฐบาลก็สนับสนุนส่งเสริมอยู่แล้วเป็นประจำ กลับปรากฏว่าการขยายตัวเติบโตของปี 1983 ส่วนใหญ่กลายเป็นเรื่องการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อภายในประเทศไทย ซึ่งทำให้มีสินค้าเข้ากลับมายิ่งขึ้นไปอีก ผลก็คือ มีการค้าเพิ่มมากขึ้นก็จริง แต่บัญชีกระแสรายรับของประเทศกลับต้องขาดดุลลงไปเป็นอันมาก ในขณะที่สินค้าส่งออกต้องลดลงถึง 10% ทั้งๆ ที่บรรยากาศทางการค้าของตลาดโลกอำนวยให้เป็นอันมาก

ในปี 1984 ประเทศไทยจำเป็นต้องมุ่งหน้าลดปริมาณการขยายตัวของสินเชื่อลงมา ซึ่งจะส่งผลทำให้การขยายตัวเติบโตทางเศรษฐกิจลดต่ำลง แม้ว่าการขาดดุลชำระเงินจะลดน้อยลงด้วยก็ตาม สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยได้รายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การที่ความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต้องลดต่ำลงไปในปีนี้ "ถือว่าสอดคล้องกับความจำเป็นที่จะต้องเข้มงวดกวดขันในการจัดการทางการเงินและการคลัง เพื่อลดปริมาณการขาดดุลทางการค้า, ลดการขาดดุลชำระเงิน และลดการขาดดุลทางการค้า เพื่อรักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทย"

แม้การส่งออกในปี 1984 จะสูงขึ้นบ้างก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่ายังไม่สมหวังทีเดียว เจ้าหน้าที่รัฐบาลคาดว่า การลดค่าของเงินบาทลง 14.8% เมื่อเร็วๆ นี้ คงจะช่วยให้การส่งออกดีขึ้นในปี 1985 ระหว่าง 15% ถึง 20%

ในปีนี้ (1984) นักอุตสาหกรรมและผู้ค้าปลีก ต้องประสบกับความยากลำบากอยู่บ้าง ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากการจำกัดปริมาณสินเชื่อดังกล่าวแล้ว และส่วนหนึ่งจากภาวะการลดค่าเงินบาท

มาเลเซีย

ภายหลังจากความเติบโตทางเศรษฐกิจได้ตกต่ำมาเป็นเวลานานถึง 2 ปีแล้ว มาเลเซียก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาได้อีก

ในปี 1984 คาดว่า เศรษฐกิจมาเลเซียจะขยายตัวเติบโตขึ้นราว 6.9% เทียบกับความเติบโตของปีก่อนที่อยู่ในระดับ 5.8% และปี 1982 มีเพียง 5.6% การขยายตัวที่เป็นพลังนำในปี 1984 นี้ได้แก่ การผลิตในภาคอุตสาหกรรม, ภาคเกษตรกรรม และภาคน้ำมัน ถึงแม้ว่าการส่งออกมีท่าว่าจะลดลงในครึ่งหลังของปี แต่ก็คาดว่า ภาคเศรษฐกิจส่วนมากจะดีขึ้นในปี 1984 นี้ ยิ่งกว่าที่เป็นมาในปี 1983

ในปีนี้ มาเลเซียได้เพิ่มผลผลิตน้ำมันของตนขึ้นอีก 17% เป็นวันละ 440,000 บาร์เรล ส่วนการผลิตก๊าซธรรมชาติได้เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว การเกษตรกรรม โดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์, การประมง และการป่าไม้ ได้เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาจากการตกต่ำลงไปถึง 2.4% เมื่อปีก่อนนี้ และคาดว่าจะขยายตัวขึ้นราว 3.4% ในปีนี้ การผลิตทางเกษตรกรรมมีส่วนสัดราว 21% ของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศของมาเลเซีย

ตัน เสี่ยว สิน ประธานของกลุ่มบริษัท ไซม์ ดาร์บี้ กล่าวว่า แขนงงานกสิกรรมด้านต่างๆ ของบริษัทในเครือของเขา "ช่วยให้กลุ่มบริษัทสามารถก้าวเดินไปได้ตลอดระยะเวลาแห่งภาวะเศรษฐกิจหดตัวของโลก ที่เพิ่งผ่านพ้นมาเมื่อเร็วๆ นี้" อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่า เนื่องจากเศรษฐกิจของโลกมีท่าว่าจะเฉื่อยช้าลงอีก ทัศนะอนาคตของบริษัท "จึงยังดูไม่สู้จะแจ่มใสนัก"

การผลิตทางอุตสาหกรรมในระยะ 5 เดือนแรกของปี 1984 ได้เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนถึง 8.7% การผลิตน่าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกหลายประเภทด้วยกัน เช่น เครื่องจักรกลและเครื่องใช้ที่เดินด้วยไฟฟ้า, ผลิตภัณฑ์เคมี และผลิตภัณฑ์น้ำมันปิโตรเลียมในช่วง 5 เดือน อุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคนิคสูงได้ขยายตัวเพิ่มขึ้น 19% ผลิตภัณฑ์ที่สื่อไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 31%, เครื่องทรานซิสเตอร์ชนิดต่างๆ เพิ่มขึ้น 69%

แต่งานก่อสร้างยังคงอยู่ระดับเดิมในปีนี้ และมีสัญญาณชี้บอกว่าจะต้องประสบกับความยากลำบาก ในกัวลาลัมเปอร์คาดว่า จะมีเนื้อที่สำหรับใช้เป็นสำนักงานที่เกินความต้องการถึง 4 ล้านตารางฟุต (372,000 ตารางเมตร) ในปี 1987 ดังนั้น จึงแสดงว่าความคึกคักในด้านงานก่อสร้างพาณิชย์ กำลังสิ้นสุดลง

ส่วนอุตสาหกรรมอย่างอื่นๆ เช่น การทำไม้, การทำสวนยาง และการผลิตเครื่องอุปกรณ์การขนส่ง กำลังได้รับความกระทบกระเทือนจากการอ่อนตัวลงของความต้องการในประเทศ ประมาณ 1 ใน 3 ของบริษัทอุตสาหกรมผลิตสินค้าทั้งหมด เปิดเดินเครื่องจักรไม่ถึง 71% ของสมรรถนะของเครื่องจักรที่มีอยู่ในระยะครึ่งแรกของปี

อินโดนีเซีย

อินโดนีเซียค่อยๆ โผล่ขึ้นมาอย่างช้าๆ จากปลักแห่งภาวะหดตัวทางเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1982 เมื่อความเติบโตของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศได้ตกต่ำลงไปจนเหลือเพียง 2.2% ในปีถัดมาการขยายตัวของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศได้กระเถิบขึ้นมาเป็น 4.2% และในปี 1985 นี้ รัฐบาลอินโดนีเซียคาดว่า ความเติบโตทางเศรษฐกิจจะขยายขึ้นมาอยู่ระหว่าง 4.5% ถึง 5% ซึ่งส่วนใหญ่เนื่องมาจากการทำนาได้ผลดี และตลาดน้ำมันมีเสถียรภาพดีขึ้น

โดโน อิสกันดาร์ โจโชสุโบรโต หัวหน้าสำนักงานวางแผนของกระทรวงการคลัง กล่าวว่า "เราคาดว่า ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศจะดีขึ้นในปีนี้ (1984) ดินฟ้าอากาศก็อำนวย และการเก็บเกี่ยวก็ได้ผลดี" การผลิตทางเกษตรมีสัดส่วนราว 25% ของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ แต่ใช้แรงงานได้เพียงราวครึ่งหนึ่งของพลังแรงงานทั้งหมด

ตามรายงานประจำปีของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ว่าด้วยภาคกิจการน้ำมัน ปรากฏว่าอินโดนีเซียมีรายได้จากการส่งน้ำมันและแก๊สออกนอกได้น้อยลงไปปี 1983 และในครึ่งแรกของปี 1984

สาเหตุสำคัญที่ทำให้รายได้ลดลงนี้เนื่องมาจากการตกต่ำของอุปสงค์น้ำมันโดยทั่วไป และการที่กลุ่มประเทศองค์การผู้ส่งน้ำมันออก (โอเปก) ได้แข่งกันตัดราคาในช่วงปี 1983 น้ำมันและแก๊สมีสัดส่วนราว 21% ของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศของอินโดนีเซีย แต่ทำรายได้ให้รัฐบาลได้ถึง 65% ของงบประมารรายได้ทั้งหมด

ปัญหาตลาดน้ำมันยังคงเป็น "ถ้าหาก" ตัวสำคัญอยู่ในแผนเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย รายได้จากการส่งออกน้ำมันและแก๊สในปีการงานที่สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 1984 ที่ล่วงมานี้ ปรากฏว่าตกต่ำไปกว่าปีก่อนถึง 3.9% คงเหลือเพียง 6.88 พันล้านดอลลาร์ และตามรายงานของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คาดว่า รายได้สำหรับปีการเงินปัจจุบันยังจะตกต่ำลงไปอีกราว 1.9% เหลือเพียง 6.75 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น ส่วนรายได้สำหรับปีการเงินที่จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 1985 คาดว่าจะสูงขึ้นถึง 13% เป็นจำนวนเงิน 7.64 พันล้านดอลลาร์

แต่ทั้งหมดนี้มีข้อแม้ว่า หากราคาน้ำมันอยู่ในระดับคงที่ นักเศรษฐศาสตร์ของรัฐบาลอินโดนีเซียประมาณว่า ทุกๆ 1 ดอลลาร์แห่งความเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันต่อ 1 บาร์เรล ย่อมหมายความว่า จะทำให้รายได้ของอินโดนีเซียเปลี่ยนแปลงไปด้วย เป็นมูลค่าถึง 300 ล้านดอลลาร์

สำหรับการผลิตทางอุตสาหกรรมภายในประเทศยังคงเฉื่อยช้าต่อไป ที่ปรึกษาทางธุรกิจผู้หนึ่งกล่าวว่า "สำหรับบริษัทส่วนมากแล้ว ปี 1984 เป็นปีแห่งความยากแค้น ที่จะต้องตัดทอนรายจ่ายลงอย่างมาก และจะต้องประเมินคิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ" คงมีแต่อุตสาหกรรมผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น พวกสิ่งทอต่างๆ และพวกไม้อัด ที่มีภาษีดีกว่าอุตสาหกรรมอย่างอื่น

ส่วนตลาดในประเทศยังคงตกต่ำซบเซา และไม่มีท่าว่าจะกระเตื้องดีขึ้นในระยะใกล้ๆ นี้

สุบากิโอ วีรโชตโมดจิโอ ผู้อำนวยการบริษัท ป.ท. แอสตรา อินเตอร์แนชนัล ซึ่งเป็นผู้ประกอบและจำหน่ายรถยนต์, รถจักรยานยนต์ และเครื่องอุปกรณ์การก่อสร้าง กล่าวว่า "ในตลาดไม่มีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้นเลย อาจจะในปี 1987 หรือ 1988 ที่การขายมีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้นบ้าง"

ฟิลิปปินส์

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศเดียวของชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออก ที่เศรษฐกิจจะหดตัวลงในปี 1984 ที่อาจเป็นประมาณมากกว่า 5%

วิเซนเต วัลเดเพนญัส รัฐมนตรีฝ่ายวางแผนเศรษฐกิจ กล่าวว่า "เราต้องฟันฝ่าพายุร้อนตลอดเวลา 15 เดือนที่แล้วมาเราไม่เคยพบเห็นกับภาวะเช่นนี้มาก่อนเลย"

ยังมองไม่เห็นหนทางแห่งการสิ้นสุดของวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ตั้งแต่การฆาตกรรม เบนิโญ อาคิโน ผู้นำฝ่ายค้าน เมื่อเดือนสิงหาคม 1983 เป็นต้นมา และสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เมื่อรัฐบาลฟิลิปปินส์ยอมรับในอีก 2 เดือนต่อมาว่า รัฐบาลไม่สามารถชำระหนี้ต่างประเทศที่มีอยู่ได้ เมื่อเดือนที่แล้วฟิลิปปินส์ได้ทำความตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ตามโครงการฟื้นฟูบูรณะเศรษฐกิจ ซึ่งในไม่ช้าก็ช่วยให้ได้เงินกู้ก้อนใหม่มาให้แก่เศรษฐกิจของประเทศที่หิวกระหายดอลลาร์

แต่เศรษฐกิจก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ เพราะมาตรการอดออมที่บงการมาให้โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ย่อมหมายถึงการสร้างความเจ็บปวดให้แก่ประชาชนฟิลิปปินส์รุนแรงยิ่งขั้นไปอีก โดยมีการเก็บภาษีใหม่ๆ และการขึ้นราคาสินค้าอีกหลายอย่างให้แพงหนักยิ่งขึ้นไปอีก สภาพเช่นนี้จะเกิดขึ้นในปีถัดไป เมื่อรายได้ของแต่ละครอบครัวตกต่ำลงอย่างพรวดพราด พร้อมกับภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงยิ่งขึ้นด้วย

รัฐบาลเองกล่าวว่า ในปี 1984 นี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของประเทศจะหดตัวลงไปถึง 5.5% ซึ่งนักเศรษฐกิจอิสระกล่าวว่า การคาดคะเนเพียงแค่นี้ยังเป็นการมองเหตุการณ์ในแง่ดีเสียด้วยซ้ำไป

สำหรับในปีหน้า (1985) รัฐบาลคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติที่เป็นจริงจะขยายตัวขึ้นเพียงราว 1.5% เท่านั้น แต่นักวิเคราะห์เอกชนบางคนยังสงสัยในการคาดคะเนเช่นนั้น นักเศรษฐศาสตร์ฟิลิปปินส์คนหนึ่งกล่าวว่า "ผมคิดว่าการขยายตัวเติบโตในปี 1985 หากจะมีก็เล็กน้อยมาก ในขณะที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นถึง 2.5% ในแต่ละปี ผมรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติโดยคิดถัวเฉลี่ยต่อพลเมือง 1 คน จะตกต่ำลงไปถึง 10% ตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า"

อุตสาหกรรมที่ประสบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ได้แก่บริษัทผลิตสินค้าที่ต้องอาศัยส่วนประกอบที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ในระหว่างที่ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอันยาวนานนี้ สินเชื่อทางการค้าเพื่อการนำเข้าตามปกติ ได้ถูกจำกัดพร้อมๆ กับการก่อหนี้ระยะปานกลางและระยะยาวของประเทศ เงินตราต่างประเทศจะซื้อหาได้บ้าง ก็แต่เฉพาะเพื่อการนำเข้าของสิ่งจำเป็นเท่านั้น เช่น อาหาร และน้ำมัน

การขายยานพาหนะที่ติดเครื่องยนต์ ซึ่งประกอบขึ้นในฟิลิปปินส์ โดยใช้ส่วนประกอบเครื่องยนต์และเครื่องประกอบตัวถังที่ต้องสั่งเข้ามาจากประเทศนอก ได้ตกต่ำลงไปถึง 75% ในช่วงเดือนแรกๆ ของปี 1984 เมื่อเทียบกับปีก่อน บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ถึงกับประกาศปิดกิจการและถอนตัวออกจากฟิลิปปินส์ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่แล้ว

ที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ดีอยู่พอสมควร ก็มีแต่งานเกษตรกรรมเท่านั้น รัฐบาลแถลงว่า ในปี 1984 นี้ภาคเกษตรกรรมจะขยายตัวเติบโตขึ้นกว่าปี 1983 ราว 1.5% ในขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมคาดว่าจะตกต่ำลงไปราว 10% การก่อสร้างตกต่ำลงราว 17% เหมืองแร่และการย่อยหินตกต่ำลง 19% และอุตสาหกรรมผลิตสินค้าแปรรูปตกต่ำลง 8.3%

จีน

ภายหลังจากได้พัฒนาก้าวหน้ามาอย่างรวดเร็วเป็นเวลาหลายปีแล้ว ความเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนก็มีท่าว่าจะเฉื่อยช้าลงในปี 1985

นักเศรษฐศาสตร์ต่างประเทศส่วนมากพยากรณ์ว่า การขยายตัวเติบโตของผลิตภัณฑ์รวมในประเทศของจีนจะถูกจำกัดอยู่ไม่ถึง 7% ในปี 1985 นี้ จากการขยายตัว 8% ในปี 1984 สาเหตุที่การขยายตัวเฉื่อยช้าลงนี้ ส่วนใหญ่เป็นผลเนื่องมาจากนโยบายใหม่ของจีน ที่มุ่งสร้างความเป็นปึกแผ่นทางเศรษฐกิจในแขนงต่างๆ รวมทั้งการปิดกิจการที่สิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อการผลิตผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ

ในระยะ 8 เดือนแรกของปี 1984 ผลผลิตด้านอุตสาหกรรมของจีนได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 11% เทียบกับเป้าหมายทางราชการของรัฐที่กำหนดความเติบโตไว้เพียง 5% เมื่อปีก่อน ผลผลิตทางอุตสาหกรรมได้เพิ่มขึ้นตั้ง 10% และในปี 1984 ทั้งอุตสาหกรรมเบาและอุตสาหกรรมหนักล้วนขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เมื่อปี 1983 อุตสาหกรรมหนักได้พัฒนาก้าวหน้าไปรวดเร็วยิ่งกว่าอุตสาหกรรมเบาที่มุ่งหน้าผลิตเครื่องอุปโภคบริโภค แต่ในปีนั้นต้องประสบกับการขาดแคลนพลังงาน, วัตถุดิบ และการขนส่งอย่างร้ายแรงมากทีเดียว

นักเศรษฐศาสตร์ต่างประเทศกล่าวว่า ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ขึ้นอยู่กับความสำเร็จหรือความล้มเหลวของนโยบายเศรษฐกิจอันกว้างขวางที่นำมาใช้เมื่อเดือนที่แล้ว การปฏิรูปที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการตลาด ได้พุ่งเป้าหมายไปที่การลดการเข้าควบคุมธุรกิจโดยรัฐให้น้อยลง, ปล่อยให้พลังตลาดเป็นผู้ควบคุมอุปทานและอุปสงค์มากขึ้น, ให้ผู้จัดการมีความรับผิดชอบในผลกำไรหรือการขาดทุนอย่างเต็มที่ และเน้นหนักที่ทรัพยากรทางสมองมากขึ้น

แคลร์ ซัมเมอร์หลิน นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเคมิกัล แบงก์ ในนิวยอร์ก กล่าวว่าการให้สิ่งจูงใจต่างๆ เหล่านี้อาจส่งผลกระทบในทางที่เป็นคุณแก่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในเวลาอันรวดเร็วได้ เธอได้ให้ข้อสังเกตต่อไปว่า มาตรการให้สิ่งจูงใจทำนองเดียวกับที่ได้จัดให้มีขึ้นในบางเมืองและบางโรงงาน ได้ช่วยให้เพิ่มผลผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

นโยบายใหม่ของจีนนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดกันมาก่อนเมื่อทศวรรษที่แล้ว นักการทูตฝ่ายตะวันตกกล่าวว่า ถ้าจะว่ากันไปแล้ว การปฏิรูปเหล่านี้กระทำไปก็เพื่อเผชิญกับการต่อต้านคัดค้านจากพวกซ้ายจัดที่ยึดมั่นอยู่กับหลักนโยบายเสมอภาคเท่าเทียมกันในยุคของ เหมา เจ๋อ ตุง

แต่ถึงกระนั้นนโยบายเศรษฐกิจใหม่ดังกล่าวนี้ ได้ก่อให้เกิดความหวั่นเกรงในหมู่พลเมืองจีนอยู่ไม่น้อยเหมือนกันว่า การปล่อยให้ราคาลอยตัวอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้ออย่างขนานใหญ่ได้ แต่สำหรับภาวะเงินเฟ้อเองนั้น ทางการจีนยืนยันว่ามีอยู่เพียง 2% เท่านั้น แต่ ซัมเมอร์หลินบอกว่า "ยากที่จะเชื่อ" ธนาคารเคมิกัล แบงก์ คาดว่าภาวะเงินเฟ้อของจีนในปีหน้า (1985) จะสูงขึ้นมากจนถึง 10% ทีเดียว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us