Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2528
บนเส้นทางของการปรับตัวเรื่องต้นทุน             
 


   
search resources

ปูนซีเมนต์นครหลวง, บมจ.
ปูนซิเมนต์ไทย, บมจ.
Oil and gas




หลังปี 2517 หรือหลังจากที่โลกเริ่มซึมซาบถึงฤทธิ์เดชของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ซึ่งเรียกกันว่า กลุ่มโอเปกนั้นนับว่าเป็นช่วงที่ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มีการจัดทำแผนปรับตัวในเรื่องการใช้พลังงานกันคึกคักมากเป็นพิเศษ

เพียงแต่ความคึกคักนี้ ถ้ามองเฉพาะผู้ผลิตเป็นรายๆ ไปแล้ว ก็จะมีระดับสูงต่างๆ กันออกไป

เพราะการจะปรับตัวตามใจปรารถนานั้นคงทำไม่ได้แน่ จะทำได้ก็เพียงอยู่ในขอบเขตที่ทรัพยากรขององค์กรจะมีให้เท่านั้น

ปูนซิเมนต์ไทยในฐานะผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด มีศักยภาพมากที่สุด ก็ย่อมจะต้องมีการปรับตัวอย่างให้หลักประกันดีที่สุดเป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้นจากกระบวนการผลิตที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงเพียงตัวเดียว ขณะนี้และในอนาคตอันใกล้กระบวนการผลิตของปูนซิเมนต์ไทยจะมีความพร้อมในการเลือกใช้พลังงานถึง 4 ชนิดด้วยกันคือ น้ำมันเตา ก๊าซธรรมชาติ ลิกไนต์ และถ่านหิน

หลักประกันในเรื่องความเสี่ยงต่อการขาดแคลนพลังงานจึงมีอยู่สูง และการควบคุมต้นทุนการผลิตก็ดูว่าจะมีประสิทธิภาพน่าอบอุ่นใจ

ลองหันมาดูการปรับตัวของผู้ผลิตปูนซีเมนต์อีก 2 รายดูบ้าง

ปูนซีเมนต์นครหลวง แต่เดิมก็ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงหลักเช่นเดียวกัน แต่ภายหลังจากวิกฤตการณ์น้ำมันนับตั้งแต่ปี 2517 เป็นต้นมา ปูนซีเมนต์นครหลวงได้จัดหาพลังงานทดแทนเข้ามาใช้อีกตัวหนึ่งได้แก่ ลิกไนต์

ปัจจุบันโรงงานผลิตที่ตำบลทับกวาง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นโรงงานเพียงแห่งเดียวของปูนซีเมนต์นครหลวง ได้ทำการติดตั้งเครื่องจักรซึ่งจะทำให้สามารถใช้น้ำมันเตาและลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต แล้วเสร็จไปเมื่อปลายปี 2526

ส่วนพลังงานในรูปอื่นๆ ยังไม่มีแผนที่จะพัฒนาขึ้นมาใช้

เช่นเดียวกันในปี 2524 โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ที่ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ของบริษัทชลประทานซีเมนต์ก็ได้ใช้ลิกไนต์ไปกับน้ำมันเตา

และในปี 2525 ก็ได้นำลิกไนต์ไปใช้กับโรงงงานที่ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี

ลิกไนต์ที่ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศไทยทั้ง 3 รายใช้นี้ ผลิตได้ที่อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นลิกไนต์คุณภาพดีที่สุดเท่าที่มีการขุดพบในบ้านเรา และรัฐบาลอนุญาตให้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก

ยังมีลิกไนต์อีกส่วนหนึ่งที่ขุดค้นพบบริเวณเหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง และที่อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ เพียงแต่เป็นลิกไนต์คุณภาพต่ำ หากต้องเสียค่าขนส่งด้วยแล้วจะไม่คุ้มกับการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงอย่างยิ่ง

ปัจจุบันจึงใช้ไปในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยได้ตั้งโรงงานไฟฟ้าขึ้นบริเวณปากเหมือง เท่ากับเป็นการตัดต้นทุนด้านการขนส่งลงไป

อย่างไรก็ดี แม้ว่าลิกไนต์จากจังหวัดลำพูนจะได้ชื่อว่าเป็นลิกไนต์ที่ดีที่สุดเท่าที่มีการขุดพบแล้วก็ตาม

แต่ก็ปรากฏว่า เมื่อเทียบค่าความร้อนกับพลังงานตัวอื่นๆ ที่โรงงานปูนซิเมนต์ไทยใช้อยู่นั้น ลิกไนต์มีค่าความร้อนที่ค่อนข้างจะต่ำกว่า และเพื่อให้ได้ค่าความร้อนที่พอๆ กันก็อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้ที่ต้องเพิ่มขึ้น อันจะมีผลไปถึงต้นทุนในการผลิตในท้ายสุด

ข้อนี้ดูจะเสียเปรียบการใช้ถ่านหิน ซึ่งบริษัทปูนซิเมนต์ไทยใช้เป็นเชื้อเพลิงตัวหนึ่ง โดยได้นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย เพราะให้ค่าความร้อนสูงกว่าลิกไนต์และราคายังถูกกว่าด้วย

แต่การใช้ลิกไนต์ก็อาจจะมีข้อดีตรงที่เป็นพลังงานผลิตได้ในประเทศ ไม่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศไปซื้อหามา ซึ่งจะต้องแบกความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินตราต่างประเทศเข้าไปอีก ซึ่งเหตุการณ์จริงก็เพิ่งผ่านไปหมาดๆ เพราะผลจากการลดค่าเงินบาทในครั้งล่าสุดเมื่อปลายปี 2527 นั้น ปูนซิเมนต์ไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายจากการซื้อถ่านหินของอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นทันตาเห็นเหมือนกัน

ปูนซิเมนต์ไทยอาจจะยังโชคดีที่การลดค่าเงินบาทครั้งนี้ต้นทุนของถ่านหินที่เพิ่มขึ้นไปเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานตัวอื่นๆ โดยเฉพาะน้ำมันเตาแล้วยังถูกกว่ากันอยู่ แต่ถ้ารัฐบาลจะต้องปรับค่าเงินอีกสักครั้งสองครั้ง คราวนี้ก็อาจจะไม่โชคดีเหมือนเดิมก็เป็นได้

เพราะฉะนั้นก็คงพอจะสรุปได้ว่า เชื้อเพลิงที่ใช้กันอยู่ทุกตัวนั้นล้วนมีข้อดีและข้อจำกัดด้วยกันทั้งสิ้น

และบนพื้นฐานของข้อสรุปนี้ ใครที่มีทางเลือกได้มากกว่าก็คงจะได้เปรียบอย่างแน่นอนในระยะยาว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us