ถ้าจะถามว่าปัจจุบันการผลิตตัวใดมีความสำคัญอย่างเอกอุสำหรับอุตสาหกรรมลิตปูนซีเมนต์แล้ว?
คำตอบนั้นก็คงจะระบุไปที่พลังงานในรูปของเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจุบันต้นทุนตัวนี้ผู้ผลิตปูนซีเมนต์จะต้องจ่ายกันออกไปประมาณร้อยละ
40 ของต้นทุนรวม
เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ ก็มีข้อควรคำนึงอยู่ว่า ปัจจัยการผลิตดังกล่าวส่วนใหญ่มีแหล่งซัพพลายอยู่ในต่างประเทศ
ความเคลื่อนไหวด้านปริมาณและราคาเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้ผลิตปูนซีเมนต์ไนประเทศ
เพราะฉะนั้นปัญหาพลังงานจึงค่อนข้างที่จะมีความเสี่ยงอยู่มาก คือไม่มีใครสามารถคาดหมายได้อย่างแม่นยำว่า
ราคาเชื้อเพลิงที่สั่งเข้ามาจะขึ้นหรือจะลงเมื่อใด? จะมีให้ใช้ไปอย่างสม่ำเสมอหรือจะเกิดการขาดแคลนขึ้นไปช่วงไหน?
สรุปแล้วการตระเตรียมแผนงด้านพลังงานเพื่อรับมือเสียแต่เนิ่นๆ จึงออกจะเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากๆ
แผนด้านพลังงานที่จัดเตรียมไว้นี้นัยหนึ่งก็คือการตอบคำถามว่าควรทำอย่างไรจึงจะมีพลังงานทดแทน
หากเกิดการขาดแคลนอย่างหนึ่งก็จะสามารถปรับการผลิตไปใช้พลังงานอีกอย่างหนึ่ง
หรือพูดกันง่ายๆ ก็คือ แผนซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องการขาดแคลนพลังงาน
และในขณะเดียวกันก็มีเป้าหมายเพื่อใช้พลังงานตัวที่มีต้นทุนต่ำที่สุดพร้อมๆ
ไปด้วย
คงพอจะกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าในจำนวนผู้ผลิตปูนซีเมนต์ของไทยทั้ง 3 ราย อันได้แก่
บริษัทปูนซิเมนต์ไทย บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง และบริษัทชลประทานซิเมนต์นั้น
รายที่มีเคลื่อนไหวปรับตัวเพื่อรับมือกับปัญหาในอนาคตมากที่สุด เห็นจะต้องยกให้บริษัทปูนซิเมนต์ไทย
ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุด ซึ่งในขณะนี้มีกำลังการผลิตตกปีละ 5.7 ล้านตัน มีโรงงานเดินเครื่องอยู่
3 แห่ง คือโรงงานท่าหลวง โรงงานแก่งคอย จังหวัดสระบุรี และโรงงานที่อำเภอทุ่งสง
จังหวัดนครศรีธรรมราช
นับตั้งแต่ปี 2456 อันเป็นปีแรกที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทยเริ่มเดินเครื่องผลิตนั้น
พลังงานเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่มีอย่างเดียวคือ น้ำมันเตา ซึ่งสั่งซื้อจากต่างประเทศในราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
เป็นไปได้ที่ปูนซิเมนต์ไทยอาจจะยังต้องใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงหลักเพียงอย่างเดียวต่อไปเรื่อยๆ
ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ใหญ่หลวงในช่วงปี 2517 เกิดขึ้นให้ต้องฉุกคิดถึงอนาคตข้างหน้า
ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากอุตสาหกรรมอีกหลายๆ ประเภทที่ต้องพึ่งน้ำมันเป็นพลังงานในการผลิต
เหตุการณ์ใหญ่ในช่วงปี 2517 นี้ ก็คือการประกาศขึ้นราคาน้ำมันของกลุ่มโอเปก
จากการทยอยประกาศขึ้นราคาน้ำมันเป็นระลอก ทำให้เริ่มคาดหมายกันออกว่าราคาน้ำมันคงจะโน้มตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
และก็เป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการขาดแคลนขึ้นในอนาคตข้างหน้า
ซึ่งแน่นอนว่าย่อมจะต้องมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ผลิตปูนซิเมนต์ไทย
ดังนั้นการศึกษาอย่างจริงจังเพื่อหาทางใช้พลังงานชนิดอื่นทดแทนน้ำทันเตาจึงได้กลายเป็นปัญหาเฉพาะหน้าไปทันที
การค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยในช่วงใกล้ๆ นั้น เป็นจุดหนึ่งที่ปูนซิเมนต์ไทยให้ความสนใจมาก
และได้ลงมือศึกษาความเป็นไปได้ของการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตปูนซีเมนต์ในเวลาต่อมา
ในปี 2524 หลังจากผลการศึกษาความเป็นไปได้สรุปออกมาว่า มีความเหมาะสมคุ้มกับการลงทุน
ปูนซิเมนต์ไทยก็ได้เริ่มโครงการพัฒนาการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
โครงการนี้เฉพาะการลงทุนเพื่อวางท่อส่งก๊าซจากบางพลี สมุทรปราการ ไปที่โรงงานแก่งคอยและโรงงานท่าหลวงก็ต้องใช้เงินไปทั้งสิ้นกว่า
1,200 ล้านบาท และได้ก๊าซธรรมชาติจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยไปยัง 2
โรงงานดังกล่าวเมื่อเดือนสิงหาคม 2526
ขณะนี้ทั้งโรงงานที่ท่าหลวงและแก่งคอยใช้ก๊่ซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงรวมกันประมาณวันละ
30 ล้านลูกบาศก์ฟุต โดยใช้ร่วมกันกับน้ำมันเตาและพลังงานทดแทนอีกตัวหนึ่งคือ
ลิกไนต์
การใช้ลิกไนต์เป็นพลังงานทดแทนน้ำมันเตาก็เริ่มขึ้นในช่วงใกล้ๆ กับการใช้ก๊าซธรรมชาติ โดยเริ่มเป็นแห่งแรกที่โรงงานแก่งคอย
ส่วนที่โรงงานท่าหลวงนั้น ระหว่างนี้กำลังอยู่ในระยะการติดตั้งเครื่องจักรเพื่อใช้กับลิกไนต์
เป็นที่คาดหมายว่าในราวกลางปี 2528 นี้การติดตั้งเครื่องจักรก็คงจะแล้วเสร็จ
และทั้ง 2 โรงงานจะใช้ลิกไนต์ในปริมาณราวๆ 300,000 ตันต่อปี
ส่วนว่าแต่ละโรงงานจะใช้เชื้อเพลิงในรูปแบบน้ำมันเตา ก๊าซธรรมชาติและลิกไนต์เป็นอัตราส่วนเท่าใดต่อเท่าใดนั้นก็จะเป็นเรื่องของความเหมาะสมในแต่ละช่วงๆ
ไป ซึ่งตัวพิจารณาหลักก็คือ ความพยายามที่จะใช้เชื้อเพลิงตัวที่เสียค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดให้อรรถประโยชน์สูงสุดนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม สำหรับลิกไนต์จากจังหวัดลำพูนที่ปูนซิเมนต์ไทยนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมกับน้ำมันเตาและก๊าซธรรมชาตินี้
ค่อนข้างจะมีความร้อนต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงตัวอื่นๆ ที่ใช้อยู่
เพราะฉะนั้นการค้นหาเชื้อเพลิงตัวอื่นๆ มาใช้จึงต้องทำกันต่อไป ซึ่งถ่านหินก็เป็นตัวหนึ่งที่ได้รับความสนใจอยู่ในอันดับต้นๆ
ด้วยเหตุผลว่าถ่านหินจะให้ค่าความร้อนใกล้เคียงกับน้ำมันเตาแล้ว ราคาก็ยังถูกกว่ากันพอสมควร
ปูนซิเมนต์ไทยเริ่มใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตที่โรงงานทุ่งสงเป็นแห่งแรก
โดยได้ทดลองใช้สลับกับน้ำมันเตาตั้งแต่เดือนเมษายน 2527 และใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักเพียงอย่างเดียวเมื่อต้นปี
2528
โครงการนี้ปูนซิเมนต์ไทยลงทุนไปทั้งสิ้น 150 ล้านบาท
เหตุผลสำคัญที่ต้องเลือกใช้ถ่านหินกับโรงงานทุ่งสงนั้นก็เพราะโรงงานแห่งนี้อยู่ห่างจากแหล่งพลังงานทดแทนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยหรือลิกไนต์ที่จังหวัดลำพูน ดังนั้นถ่านหินซึ่งนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซียจึงให้ความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งมากกว่า
เป็นที่คาดหมายว่าโรงงานทุ่งสงจะต้องใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตตกประมาณปีละ
100,000 ตัน ด้วยต้นทุนตันละ 1,800-2,000 บาท เท่ากับนำเข้าถ่านหินจากอินโดนีเซียมาใช้ปีละเกือบ
200 ล้านบาท
นอกจากนี้ปูนซิเมนต์ไทยยังจะนำถ่านหินไปใช้กับโรงงานที่แก่งคอยและโรงงานที่ท่าหลวงอีกด้วย
โดยคาดว่าสามารถติดตั้งเครื่องจักรเพื่อใช้ถ่านหินได้แล้วเสร็จในปี 2529
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าทั้งโรงงานแก่งคอยและโรงงานท่าหลวงจะสามารถใช้เชื้อเพลิงในการผลิตได้ถึง
4 ชนิดด้วยกัน คือ น้ำมันเตา ก๊าซธรรมชาติ ลิกไนต์ และถ่านหิน
หากเชื้อเพลิงตัวใดเกิดขาดแคลนหรือราคาสูงเกินไป ปูนซิเมนต์ไทยก็มีความพร้อมในการปรับกระบวนการผลิตหันไปใช้เชื้อเพลิงตัวอื่นๆ
แทน โดยไม่ต้องชะลอหรือหยุดการผลิตและอาจจะไม่ต้องปรับราคาปูนขึ้นไปตามราคาเชื้อเพลิงก็เป็นได้
โครงการพัฒนาพลังงานเพื่อลดความเสี่ยงและลดต้นทุนการผลิตนี้ จริงอยู่ที่จะต้องลงทุนไปเป็นเงินหลายพันล้านบาทสำหรับการติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จำเป็น
แต่ถ้าพิจารณาถึงหลักประกันในอนาคตแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าปูนซิเมนต์ไทยมีอยู่พร้อมมาก
สำหรับในอนาคตข้างหน้าที่ผู้ผลิตปูนซีเมนต์ไม่มีรายใดที่จะพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำว่าปัญหาด้านพลังงานจะเป็นเช่นไรนั้น
ปูนซิเมนต์ไทยในวันนี้ดูจะมองออกไปข้างหน้าด้วยสายตาที่เชื่อมั่นต่อความเป็นเลิศของตัวเองเป็นพิเศษ
ซึ่งก็น่าจะต้องเชื่อมั่น… มิใช่หรือ