|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ออริจินส์ปรับคอนเซ็ปต์แบรนด์สู่ “Powered by Nature. Proven by Science” ชูจุดขายพลังธรรมชาติ ที่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ที่ใจร้อนมากขึ้น พร้อมปรับทัพสินค้าลุยตลาดสกินแคร์ วางยุทธศาสตร์ 3 ปีนี้ รุกเข้มกลุ่มแอนไท เอจจิ้ง ล่าสุดเปิดตัว “Plantscription Anti-aging” นวัตกรรมเพื่อการลดเลือนริ้วรอย ขยายฐานลูกค้าวัย 40 ปีขึ้นไป ด้วยกลยุทธ์โกลบอล อิมแพกต์ หวังตอกย้ำแบรนด์และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค การจัดทัพใหม่ครั้งนี้ ออริจินส์ตั้งเป้าเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ต่อเนื่อง 3 ปี
หากมองภาพการแข่งขันตั้งแต่ต้นปี เคาน์เตอร์แบรนด์เป็นอีกเวทีที่ถือว่าดุเดือด และถึงตอนนี้ก็ยังร้อนแรงแทบทุกตารางผิว โดยจะเห็นว่าสงครามการช่วงชิงผิวหน้าสาวไทยเข้มข้นขึ้นต่อเนื่องทุกปี เพราะนอกจากเป้าหมายการปั๊มยอดขายแล้ว ผู้เล่นทั้งหลายยังมองถึงการตอบโจทย์ลูกค้าเชิงลึก มากกว่าการขยายฐานในเชิงปริมาณ
ล่าสุดการเปิดตัว “Plantscription” ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Anti-aging” นวัตกรรมเพื่อการลดเลือนริ้วรอย ผลิตภัณฑ์ที่ออริจินส์วางเป็นหัวหอกบุกตลาดสกินแคร์ในปีนี้ โดย สุนทรียภาพ บุณโยทยาน ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ออริจินส์ ประเทศไทย กล่าวว่า นวัตกรรมดังกล่าวออริจินส์ใช้เวลาในการพัฒนาและวิจัยนานกว่า 20 ปี และใช้งบการตลาดมากสุดเท่าที่ออริจินส์เคยใช้ โดยจะเป็นสินค้าเรือธงสำหรับใช้ลุยตลาดสกินแคร์ ที่นับจากนี้ไป 3 ปี ออริจินส์จะโฟกัสไปเซกเมนต์แอนไท เอจจิ้งเป็นหลัก เพื่อรับเทรนด์ตลาดที่พบว่าแอนไท เอจจิ้งเป็นเซกเมนต์ที่มีการเติบโตมากสุด
สำหรับความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายนี้ ถือเป็นความต่อเนื่องที่ออริจินส์พยายามขยายฐานและบุกเซกเมนต์แอนไท เอจจิ้ง โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ออริจินส์หันมาสนใจทำตลาดสกินแคร์มากขึ้น โดยสินค้าและนวัตกรรมที่เปิดตัวในช่วงเวลานี้ล้วนเป็นสินค้าหมวดสกินแคร์ 100% ทำให้ปัจจุบันสินค้าภายใต้แบรนด์ออริจินส์ จึงมีสัดส่วนที่เปลี่ยนไป โดยสินค้ากลุ่มสกินแคร์มีสัดส่วนมากสุด 85% รองลงมาคือ กลุ่มบาธแอนด์บอดี้ 10% ที่ไม่มีการออกสินค้าใหม่นอกจากการทำตลาดสินค้าตัวเดิม ส่วนกลุ่มเมกอัพ, เซนซอรี่ เธอราปี และกลุ่มอื่นๆ เช่น น้ำหอม ครีมบำรุงมือ มีสัดส่วนรวมกัน 5% ทั้งที่เมื่อ 3-4 ปีก่อน กลุ่มสกินแคร์มีสัดส่วน 66% กลุ่มบาธแอนด์บอดี้ 20% กลุ่มเมกอัพ 7% กลุ่มเซนซอรี่ เธอราปี 5% และอื่นๆ เช่น น้ำหอม ครีมบำรุงมือ 2%
“สัดส่วนที่เปลี่ยนไปของสินค้าแบรนด์ออริจินส์ เป็นไปในทิศทางเดียวกับของออริจินส์ทั่วโลก”
อย่างไรก็ตาม สำหรับการขยับปรับทัพสินค้าของออริจินส์ในครั้งนี้ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ออริจินส์ บอกว่า ในช่วง 3 ปีนี้บริษัทจะมุ่งขยายตลาดในกลุ่มแอนไท เอจจิ้ง โดยแผนปีนี้จะบุกขยายฐานลูกค้าวัย 40ปีขึ้นไป โดยใช้ “แพลนต์สคริปชั่น” (Plantscription) ผลิตภัณฑ์ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Very Serious Skincare ซึ่งออริจินส์เข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรก เพื่อรับเทรนด์ของตลาดและการแข่งขันในสมรภูมิความงามระดับเคาน์เตอร์แบรนด์ที่พบว่า ผู้เล่นในเวทีนี้มีการลงทุนและเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น
กลับมาที่การทำตลาดนวัตกรรมล่าสุด แน่นอนว่าด้วยเป้าหมายแรกที่ออริจินส์ต้องการเพิ่มสัดส่วนลูกค้าวัย 40% จากที่มีอยู่ 4% ให้เป็น 8% ในช่วงเวลา 1 ปี จากที่ลูกค้าหลัก 60% จะเป็นกลุ่มอายุ 25-40 ปี ผู้เล่นรายนี้จึงต้องวางยุทธศาสตร์มาเป็นอย่างดี ที่ครั้งนี้พบว่าเป็นการผนึกกำลังของแบรนด์ออริจินส์ทั่วโลก ภายใต้กลยุทธ์ Global Impact Strategy ซึ่งไม่ใช่แค่การเปิดตัวสินค้าพร้อมกันทั่วโลกในเดือนมีนาคมนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงรูปแบบการทำตลาดทั้งหมด เพื่อให้สื่อสารออกมาในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะคอนเซ็ปต์ “การเป็นสินค้าที่ชูเรื่องพลังธรรมชาติแต่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์” ซึ่งถือเป็นความต้องการเชิงลึกของผู้บริโภคยุคนี้ที่ต้องการผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติแต่ก็ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วด้วย
ด้วยการแบ่งออกเป็น 3 ภูมิภาค เพื่อแบ่งโซนการประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วย อเมริกา, ยุโรป และเอเชีย ที่มีจุดศูนย์กลางและจะจัดงานในประเทศเกาหลี นอกจากนี้ก็จะมีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องนาน 3 เดือน เพื่อสร้างความเข้าใจและตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์กับผู้บริโภค เช่น การใช้ Testimonial Program เป็นการใช้กลยุทธ์ People Reinforcement โดยใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงในวงสังคม และลูกค้าของแบรนด์ เป็นผู้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ Plantscription เพื่อเป็นกระบอกเสียงให้กับแบรนด์ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความเชื่อถือและมีความมั่นใจต่อแบรนด์มากขึ้น โดยในเมืองไทยมีการใช้บุคคลมีชื่อเสียงทั้งชายและหญิงรวม 8 คน มาร่วมทดสอบสินค้า
นอกจากนี้ การลงทุนด้านสื่อก็มีความหลายหลายมากขึ้น ทั้งช่องทาง Online, Print Media, TV Tie-in, Mobile และสื่อ Out of home เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกๆช่องทาง โดยมุ่งชูคอนเซ็ปต์ Powered by Nature. Proven by Science ควบคู่กันไปในทุกๆ สื่อ พร้อมการจัดกิจกรรม Special Event ณ พื้นที่โปรโมชั่น ให้คำแนะนำในการดูแลผิว และข้อมูลของสินค้าที่เป็นกลุ่ม Very Serious Skincare ซึ่งถือเป็นสินค้าไลน์ใหม่ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ขณะเดียวกัน การขยายช่องทางจำหน่ายก็เตรียมจะเปิดเพิ่มอีก 5 แห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดภายในเวลา 3 ปี จากตอนนี้ที่มีอยู่ 12 แห่งเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น
สำหรับการนำร่องบุกในครั้งนี้ ทางออริจินส์หวังว่านวัตกรรมใหม่จะเข้ามาร่วมใน Business Mix ของแบรนด์ประมาณ 8-10% ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Anti-Aging ทั้งหมดเติบโตมากกว่า 50% จากกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าของแบรนด์ ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ Make a Difference, กลุ่มผลิตภัณฑ์ Youthtopia, กลุ่มผลิตภัณฑ์ Dr. Weil และกลุ่มผลิตภัณฑ์ Starting Over พร้อมกับคาดว่าจะสามารถผลักดันยอดขายของออริจินส์ให้เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ต่อเนื่องไปอีก 3 ปีด้วย
|
|
|
|
|