มิติเก่าของระบบการเงินการธนาคารในบ้านเราได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงปฏิรูประบบเงินตราของประเทศเสียใหม่ให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงและการขยายตัว
หลังจากที่ได้ทรงทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้ากับนานาประเทศ
ในปี พ.ศ. 2398
การพัฒนาระบบการเงินการธนาคารได้แสดงผลอย่างเด่นชัดในรัชกาลต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอนุญาตให้พ่อค้าชาวอังกฤษจัดตั้ง
ธนาคารพาณิชย์สาขาต่างประเทศแห่งแรกขึ้นในประเทศไทย ใน พ.ศ. 2431 ซึ่งนับถึงบัดนี้ก็เป็นเวลาถึง
96 ปี แล้ว เหลืออีกเพียง 4 ปี สถาบันธุรกิจนี้ก็จะมีอายุครบรอบหนึ่งศตวรรษพอดี
หลังจากมีธนาคารสาขาของชาวอังกฤษแล้ว ชาติอื่นๆ ที่เข้ามาทำงานอยู่ในประเทศไทยก็ได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งธนาคาร
พาณิชย์สาขานี้ดุจเดียวกัน รวมทั้งคนไทยเองก็ได้ก่อตั้งธนาคารพาณิชย์ที่เป็นของคนไทย
ขึ้นด้วยในอีก 18 ปีต่อมา แต่ผู้บริหารในระยะแรกก็ยังเป็นชาวต่างชาติอยู่
สงครามโลกครั้งสองได้เปิดโอกาสให้พ่อค้า นักธุรกิจในประเทศ ได้เข้าไปมีบทบาทแทนที่ธนาคารของชาวต่างชาติที่ต้องปิดกิจการไป
และนับตั้งแต่นั้นมาการประกอบธุรกิจนี้ก็เปลี่ยนมาอยู่ในกำมือของคนไทยมาโดยตลอดตราบเท่าทุกวันนี้
อาจกล่าวได้ว่าธนาคารพาณิชย์ได้ถือกำเนิดและเติบโตขึ้นในระยะแรกโดยปราศจากปัญหาและอุปสรรค
ทั้งยังปราศจากคู่แข่งขันที่ทัดเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฉบับแรกขึ้นใน พ.ศ.
2505 ก็ยิ่งเท่ากับการวางรากฐานในการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทยให้ได้มาตรฐานและมีความมั่นคงยิ่งขึ้น
จนทำให้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากสาธารณชนมาตลอด
นับแต่นั้น
ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา
ธนาคารพาณิชย์ได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในด้านการสนับสนุนให้มีการลงทุนในธุรกิจ
ประเทศต่างๆ ที่เป็นการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่เศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวม
ทั้งนี้โดยอาศัยการระดมเงินออมจากประชาชนทั้งประเทศ
ทุกวันนี้ธนาคารพาณิชย์จึงนับได้ว่าเป็นสถาบันการเงินที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นขนาดของการครองทรัพย์สิน
การระดมเงินออม หรือการให้สินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์ระดมเงินทุนโดยการรับฝากเงินประเภทต่างๆ
จากประชาชน ขณะเดียวกันก็สร้างสรรค์บริการอำนวยความสะดวก พร้อมให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่พาณิชยกรรม
เกษตรกรรม และธุรกิจอุตสาหกรรม ตลอดจนสวัสดิการสังคม และบริการต่างๆ อย่างเต็มที่
ระบบธนาคารพาณิชย์จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในภาคการเงิน โดยมีสัดส่วนในสินทรัพย์ถึงร้อยละ
70 ของการเงินทั้งระบบในปัจจุบัน เมื่อสิ้นปี 2526
ธนาคารพณิชย์ไทยมีจำนวนโดยมีสัดส่วนในสินทรัพย์ถึงร้อยละ 70 ของการเงินทั้งระบบในปัจจุบัน
เมื่อสิ้นปี 2526 ธนาคารพาณิชย์ไทยมีจำนวน 16 แห่ง มีสาขาในประเทศทั้งสิ้น
1,677 สาขา สาขาต่างประเทศ 26 สาขา และมีพนักงานรวมกันถึง 65,843 คน
มิติต่างๆ ในระบบการเงินการธนาคารตามที่ได้พรรณนามานั้น กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน มิติใหม่กำลังจะก้าวเข้ามาแทนที่ หรือได้ก้าวเข้ามาแล้ว
มิติเหล่านั้นคืออะไรมีความต่อผู้ประกอบการในสถาบันการเงินการธนาคารแค่ไหน และจะมีผลกระทบต่อนโยบายการเงินของรัฐบาลอย่างไรหรือไม่?
ปัจจุบันนี้มีผู้กล่าวว่า เรากำลังเข้าสู่สังคมยุคใหม่เป็นโลกที่ john
naisbitt นักคิดนักเขียนชาวอเมริกันเรียกว่า เป็นสังคมแห่งข่าวสารข้อมูล
หรือ information Society และเป็นช่วงเวลา ที่ Alvin Tolller นักวิเคราะห์อนาคตชาวอเมริกัน
กำหนดให้เป็นสังคมของคลื่นลูกที่สาม หรือสังคมที่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีขั้นสูงเป็นแรงผลักดัน
สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่อาจกล่าวว่าได้ก้าวเข้าสู่สังคมข่าวสารข้อมูลอย่างแท้จริงแล้ว
แต่ก็ต้องยอมรับว่าข่าวสารข้อมูลมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวัน ส่วนในกรณีของสังคมคลื่นลูกที่สาม
คงต้องใช้ระยะเวลาอีกนานพอสมควรกว่าคลื่นลูกนี้จะม้วนต้วนเข้าสู่ฝั่งทะเลไทย
แต่ก็มิได้หมายความว่าจะมาไม่ถึง
สังคมทั้ง 2 แบบนี้จะต้องปรากฏให้เห็นอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่เรายังคงยึดถือนโยบายเปิดประตูบ้าน
ต้อนรับอิทธิพลจากโลกภายนอกอยู่
แน่นอนที่สุด เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับโลกใหม่ ทุกคนที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องรับให้คอยดูลู่ทาง
และพยายามฉวยโอกาสให้มิติใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นบังเกิดประโยชน์แก่การดำเนินธุรกิจของเราให้มากที่สุด
มิติใหม่ที่เราควรจะให้ความสนใจเป็นพิเศษในระบบการเงินการธนาคารได้แก่
มิติแรก คือการเปลี่ยนแปลงในรูปลักษณะและความรุนแรงของการแข่งขัน
สมัยก่อนนั้นประชาชนมักคิดว่า การประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของไทย เป็นอุตสาหกรรมในครอบครัวของบุคคลร่ำรวยเพียงไม่กี่ตระกูล
ผู้ประกอบการรวมตัวอย่างไม่เป็นทางการในรูปสมาคมรัฐบาลก็ให้ความคุ้มครองป้องกันมิให้มีการแข่งขันกัน
เพื่อรักษาความปลอดภัย การแข่งขันในรูปดอกเบี้ยหรือราคา กล่าวได้ว่า ไม่มีหรือน้อยมาก
และก็คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยเห็นว่า สมาคมธนาคารเป็นองค์กรของการผูกขาดและฮั้วกันอยู่
แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า การประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เป็นแหล่งสร้างงานขนาดใหญ่
จำนวนพนักงานเกือบ 7 หมื่นคน ย่อมชี้ชัดว่าธุรกิจนี้มิใช้ธุรกิจของครอบครัวต่อไปแล้ว
และนั่นหมายถึงการแข่งขันกลายเป็นกลยุทธ์ในการบริหารงานธนาคารที่สำคัญยิ่ง
และมีการแข่งขันในทุกรูปแบบ ทั้งในด้านราคา หรืออัตราดอกเบี้ย ในด้านการบริการ
ซึ่งรวมถึงคุณภาพ ลักษณะ และปริมาณ ในด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำหรือความ
โดดเด่นเป็นเลิศ ซึ่งจะปรากฏผลในรูปบริการที่รวดเร็วและทันสมัย ในด้านการประชาสัมพันธ์
เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในหมู่มวลชน และในด้านการรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อหันเหความนิยมมาสู่กิจการของตน
นอกจากการแข่งขันในหมู่สถาบันการเงินไทยแลัว ยังมีการแข่ง
ขันที่รุนแรงมากจากสถาบันการเงินต่างประเทศ ทั้งในระดับสาขาธนาคาร สำนักงานตัวแทนธนาคาร
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ต่างประเทศถือหุ้น เพราะ
กิจการเหล่านี้เป็นแขนขาอิเล็กทรอนิกส์จากสถาบันการเงินในต่างประเทศ ซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารได้ภายในพริบตา
ซึ่งการแข่งขันจากต่างประเทศจะเน้นหนักไปสู่ลูกค้ารายใหญ่ที่มีฐานะการเงินมั่นคง
แม้ธนาคารหรือบริษัทการเงินต่างประเทศจะระดมเงินฝากไม่ได้มากนัก เพราะข้อจำกัดห้ามขยายสาขา
แต่ก็มีทุนทรัพย์ก้อนมหึมาหนุนหลังอยู่ ทำให้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของธนาคารพาณิชย์ไทยไม่น้อย
ในด้านของธนาคารไทยก็เริ่มเห็นความจำเป็นต้องขยายตัวไปสู่ตลาดโลก เพื่อสนองความต้องการของลูกค้า
โดยวิธีเปิดสาขาธนาคารขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งมีผลเป็นการขยายขอบเขตออกไปในต่างประเทศ
มิติที่สองคือการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของตลาดลูกค้า
ก่อนที่เราจะเริ่มตื่นตัวทางอุตสาหกรรมกันนั้น ลูกค้าของธนาคารมักเป็นกิจการค้าประเภทนำเข้าและส่งออก
เป็นค้าขายส่งและขายปลีก มีกิจการเล็ก แต่ในปัจจุบันจะมีลูกค้ารายใหญ่ประกอบอุตสาหกรรมในลักษณะต่างๆ
มากขึ้น อาจจะกล่าวได้ว่า โดยทั่วๆ ไปแล้วสถาบันการเงินทุกแห่งจะมีธุรกิจประมาณ
ร้อยละ 40 ของธุรกิจทั้งสิ้นกับลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งลูกค้ารายใหญ่เหล่านี้จะมีจำนวนรวมกันไม่เกินร้อยละ
5 ของจำนวนลูกค้าทั้งสิ้น
ที่กล่าวเช่นนี้ มิได้หมายความว่าธนาคารหรือสถาบันการเงินควรจะโอ๋เอาใจเฉพาะลูกค้ารายใหญ่
ตรงกันข้าม ลูกค้ารายใหญ่อาจเป็นฐานธุรกิจใหญ่โตก็จริง แต่หากกำไรจากลูกค้ารายใหญ่
อาจจะกระทำได้ยาก เพราะมีการแข่งกันมาก โดยเฉพาะจากธนาคารต่างประเทศกำไรของธนาคารจะหาได้ดีกว่า
จากลูกค้ารายเล็กและลูกค้าปานกลางที่มีคุณภาพ
เนื่องจากขนาดของกิจการของลูกค้าที่ขยายตัวออกไป และเนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
จะเห็นว่าผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่จะติดต่อและมีบัญชีกับธนาคารหลายแห่ง ยิ่งใหญ่ยิ่งใช้ธนาคารและบริษัทเงินทุนมากแห่ง
รวมทั้งธนาคารต่างประเทศ ฉะนั้นการใช้บริการของธนาคารหรือสถาบันการเงินจึงอยู่ที่คุณภาพของการแข่งขันมากขึ้น
วิธีการมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปแทนที่จะใช้ความเชื่อถือหรือทุนทรัพย์ที่นำมา
ใช้เป็นประกันในการพิจารณาแต่อย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน ก็จะมีการพิจารณาความเหมาะสมของโครงการลงทุน
หรือโครงการธุรกิจกันมากขึ้น ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเติบโตอย่างเต็มที่ในด้านธุรกิจของเขา
ในขณะเดียวกันการบริหารงานของลูกค้าในแนวนี้
ก็มีลักษณะเป็นมืออาชีพกันมากขึ้น ผู้ริเริ่มโครงการอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทยในระยะ20-30
ปีก่อน กำลังพ้นวัยทำงานไป รุ่นลูกของผู้ริเริ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทยในระยะ20-30
ปีก่อน กำลังพ้นวัยทำงานไป รุ่นลูกของผู้ริเริ่มกำลังจะเข้ามารับช่วงแทน
ผู้บริหารงานธุรกิจรุ่นใหม่นี้จะมีคุณวุฒิสูง ส่วนใหญ่ก็ในระดับปริญญามหาวิทยาลัย
และมีอยู่เป็นจำนวนมากที่จบการศึกษาในระดับปริญญาโท ปริญญาเอกจากต่างประเทศในสาขาวิชาการต่างๆ
ในขณะเดียวกันก็มีวิสาหกร หรือ entrepreneurs รุ่นหนุ่ม ซึ่งสามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้
อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยความเฉียบแหลมส่วนตัว ฉกฉวยโอกาสจากสังคมข่าวสารข้อมูล
วิสาหกรรุ่นใหม่นี้จะมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต
ผู้บริหารและวิสาหกรรุ่นใหม่มีความคิดความอ่านที่ทันสมัย นับวันจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
สถาบันการเงินการธนาคารจึงจำเป็นต้องปรับตัวเอง
เพื่อให้เข้ากับลูกค้ารุ่นใหม่นี้ให้ได้ ทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติ สังคม
และบริการธุรกิจ
มิติใหม่ที่สาม คือการขยายตัวในด้านความต้องการของลูกค้า และการสนองตอบของสถาบันการเงิน
ธุรกิจอุตสาหกรรมยิ่งมีความสลับซับซ้อน (complex) มากขึ้นเพียงใด การแข่งขันกับโลกภายนอกย่อมมีมากขึ้นเพียงนั้น
กิจการธุรกิจในประเทศไทยย่อมจะต้องใช้บริการการเงินในรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น
เพื่อให้มีฐานการเงินรองรับในรูปแบบที่เหมาะสม การขยายบริการทางการเงินของธนาคารนั้น
ในปัจจุบันทำได้ยากมาก เพราะมีกฎหมายเกี่ยวกับธนาคารพาณิชย์บัญญัติขอบเขตของกิจการธนาคาร
ไว้อย่างแคบมาก การขยายบริการของธนาคารเพื่อให้ครบวงจร จึงมักเป็นในรูปของการจัดตั้งบริษัทการเงิน
เช่น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บรษัทประกันภัย บริษัทบริการเช่ากึ่งซื้อ (
LEASING) ขึ้นมาในเครือข่ายของตน เพื่ออำนวยบริการทางการเงินในด้านอื่นๆ
ให้ด้วย
ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในโลก กำลังดำเนินนโยบายปลดปล่อยให้ (deregulation)
ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่ารัฐควรจะให้ธนาคารพาณิชย์มีความยืดหยุ่นในด้านขอบเขตของกิจ
การมากขึ้นหรือไม่ ในการสนองบริการให้แก่ลูกค้า
แทนที่จะปล่อยให้ทำกันในรูปแบบนี้ ซึ่งยากแก่การควบคุมดูแล และในบางกรณีก็อาจกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ออก
หรือแก้ยากเช่นทุกวันนี้
มิติที่สี่ คือความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีใหม่ในกิจการเงินและการธนาคาร
ธนาคารและสถาบันการเงินเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์
และอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม วิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีเพื่อสนองตอบความต้องการธนาคารและสถาบันการเงินซึ่ง
ก้าวหน้าและรวดเร็ว บริษัทใหญ่ๆ เช่น IBM ถึงกับมีหน่วยงานด้านค้นคว้าวิจัยและการพัฒนาเพื่อกิจการธนาคารโดยเฉพาะ
ในขณะที่โลกกำลังหมุนตามเกลียวคลื่นลูกที่สามเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี เราก็จะคาดหวังได้ว่า
สถาบันการเงินจะเป็นผู้บุกเบิกกรุยทางในด้านนี้ ซึ่งติดตามมาด้วยสถาบันธุรกิจ
และองค์กรอื่นๆ การฝาก การถอน โอนเงิน และการหักบัญชีในประเทศและข้ามประเทศด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
และการติดต่อธุรกิจขายปลีก (retailing) ด้วยระบบ ATM เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี
ก้าวต่อไปที่จะติดตามมาก็คือการเสนอบริการการเงินนอกสถานที่ทำการไปสู่สำนักงาน
หรือบ้านของลูกค้า ด้วยระบบโทรศัพท์หรือโทรคมนาคม เพื่อให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจการธนาคารทั้งในด้านโอนเงิน
จ่ายชำระหนี้ และค่าบริการ สอบถามข้อมูล เปิด L/C และขอสินเชื่อได้โดยตรงจากสถานที่ทำการหรือจากบ้าน
โดยใช้ไมโครหรือมินิคอมพิวเตอร์ของตน
นอกจากนี้ เทคโนโลยีในด้านอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังช่วยเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการจัดการของหน่วยงานธุรกิจทุกแขนงสาขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการวางแผนการบัญชี การป้อนข้อมูล ให้ฝ่ายจัดการ
(MIS) และการควบคุมติดตามผลงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศชาติต้องการ ถ้าคิดจะค้าขายแข่งกับผู้อื่นในตลาดโลก
มิติใหม่ที่ห้า คือความจำเป็นในด้านการบริหารด้วยมืออาชีพ
โลกของเราได้เจริญก้าวหน้าเข้าสู่ยุคการเงินมากขึ้น เรียกกันว่าเป็นการเงินระดับสูง
หรือ High Finance การค้า
และระบบการเงินโลกได้ขยายตัวไปอย่างที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน มีตลาดการเงินของโลกกำลังดำเนินการอยู่
ทุกชั่วเวลานาที ตลอด 24 ชั่วโมง จากฮ่องกง สิงคโปร์ ไปสู่ลอนดอน นิวยอร์ก
และซานฟรานซิสโก มีเงินสกุลสำคัญๆ ที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันโดยเสรีในตลาดโลก
ในขณะที่เงินเยนของญี่ปุ่นกำลังจะมีความสำคัญในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาอีกสกุลหนึ่ง
เมื่อกิจการธนาคารและสถาบันการเงินมีบทบาทและความสำคัญกับชีวิตประจำวันของบุคคลและธุรกิจมากขึ้นเช่นนี้ ศรัทธาและความเชื่มมั่นไว้วางใจย่อมจะเป็นปัจจัย
สำคัญที่สุดในการบริหารงานของธนาคารและผู้บริหารสถาบันการเงินจึงมีลักษณะเป็น
คนของประชาชนมาก การวางตัวในสังคมธุรกิจและในสัวคมทั่วไปจึงเป็นจุดเด่นที่อยู่ในสายตาคนทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ
ซึ่งพยายามสรรหาผู้บริหารงานมืออาชีพเข้ามาในองค์กรอย่างจริงจังมากขึ้นพยายาม
เลือกบุคคลที่มีชื่อเสียงดีเด่นในสังคมเข้ามาอยู่ในคณะกรรมการและพยายามฝึกอบรมเจ้า
หน้าที่พนักงานของตนให้มีลักษณะมืออาชีพ เป็นที่ยกย่องในสังคมในอนาคต
แนวโน้มดังกล่าวนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี การกระจายหุ้น หรือความเป็นเจ้าของ
ธนาคารในรูปครอบครัวด้วยมาตรการทางกฎหมายก็มีส่วนผลักดันในด้านการบริหารมืออาชีพด้วยอีกทางหนึ่ง
โครงสร้างของตลาดลูกค้า และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปก็บีบบังคับให้ธนาคารต้องใช้มืออาชีพมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การใช้ผู้บริหารมืออาชีพมากขึ้น ย่อมหมายความว่าผู้บริหารจะต้องมีความรับผิดชอบสูงต่อผู้ถือหุ้นและมวลชนในการสร้างศรัทธาและ
ความเชื่อมั่นจะต้องสามารถแสดงประสิทธิภาพและคุณภาพของผลงานให้เป็นที่ประจักษ์
เพราะจะอาศัยความเป็นเจ้าของหรือลูกของเจ้าของมาเป็นเกาะกำบังไม่ได้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ความรุนแรงในด้านการแข่งขันและความก้าวหน้าทางวิทยาการการบริการ
และเทคโนโลยี ทำให้สถาบันการเงินการธนาคารของโลกให้ความสำคัญนักบริหาร วัยหนุ่มมากขึ้น
ธนาคารแห่งอเมริกา และซิตี้แบงก์ ซึ่งเป็นสองธนาคารที่มีลำดับใหญ่ที่สุดของโลก
ในปี 2526 ก็ได้แต่งตั้งเป็นประธานหรือ chief executive officers ด้วยวัยเพียง
42 ปี ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีกิจการที่ใหญ่ที่สุดในภาคนี้ก็เกษียณอายุประธานหรือกรรมการผู้จัดการของเขาด้วยวัยเพียง
55 ปี
สำหรับวงการธุรกิจการเงินการธนาคารในประเทศไทยนั้น ก็มีแนวโน้มที่จะใช้ผู้บริหารงานวัยหนุ่มที่ปรีชาสามารถมากขึ้นเช่นกัน
เช่นกรณีคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่
ในวัยเพียง 39 ปี นอกจากนี้ ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารต่างๆ
ในปัจจุบัน ประมาณครึ่งหนึ่งก็ได้เข้ารับตำแหน่งนี้เป็นครั้งแรกในวัย
30 เศษๆ หรือ 40 เศษ เช่นกัน
มิติใหม่ที่หกคือการเรียกร้องให้มีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและสังคมส่วนรวม
ธนาคารหรือสถาบันการเงินเป็นขุมทรัพย์ทางการเงินของประเทศ ซึ่งจะต้องถูกแพ่งเล็งจากสถาบันทางการเมือง
รัฐบาล และสังคมอยู่เสมอ ธนาคารจะมุ่งหวังกำไร เพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
หรือผู้บริหารและพนักงานของตนแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่จะต้องประกอบการและแสดงบทบาทในฐานะผู้นำฝ่ายเอกชน
ในสังคมการเสียสละ แบ่งปัน และสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ของสังคมมากขึ้น สมกับที่มีผู้เปรียบว่าทรัพย์สินที่ได้จากสังคมต้องบริจาคกลับคืนไปทำประโยชน์แก่
สังคมนั้น ความมั่นคงของกิจการจึงจะเพิ่มพูนได้มากขึ้น
ในทางเดียวกันรัฐบาลก็หวังที่จะได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจาก
ธนาคารในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น นอกเหนือจากการซื้อพันธบัตรรัฐบาล และการอำนวยสินเชื่อการเกษตรธนาคาร
และสถาบันการเงินจะได้รับการเรียกร้องให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาด้านการเงินของประเทศ
อาทิ โครงการพยุงราคาข้าว โครงการพยุงราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โครงการแก้ปัญหาสภาพคล่องของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเรียกร้องให้ธนาคารต่างๆ เข้าร่วมลงทุนหรือสนับสนุนด้านการเงินในโครงการพัฒนาหรือโครงการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
เช่น โครงการอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ (Phoenix Pulp) โครงการอุตสาหกรรมแร่สังกะสี
(ผาแดง) โครงการก๊าซเหลว (LNG) และโครงการปุ๋ยเคมี (NFC) เป็นต้น แต่ละโครงการการใช้เงินทุนเรือนหุ้น
และเงินลงทุนรายละหลายพันล้านบาท เป็นที่คาดหวังไว้ว่า ยังมีโครงการลงทุนรายอื่นๆ
นอกจากที่กล่าวมานี้ ติดตามมาอีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แม้จะเป็นภาระอันหนักอึ้งของธนาคารพาณิชย์
เพราะเป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนมหาศาล และใช้ระยะเวลานานกว่าจะฟื้นทุน
แต่ธนาคารพาณิชย์ก็จำเป็นต้องเข้าไปแบกรับภาระด้วยการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับรัฐบาลในการวิเคราะห์อย่างเหมาะสมตามสภาพความเป็นจริง
อย่างไรก็ดี การเข้าโครงการต่างๆ ดังกล่าว ผู้บริการธนาคารจำเป็นต้องพิจารณาพินิจพิเคราะห์ให้ลึกซึ้งถึงแก่นเพราะแต่ละโครงการ
ต้องการทุนทรัพย์มหาศาล ใช้เทคโนโลยีสูง ในยามที่ประเทศชาติขาดแคลนเงินทุนเช่น
ขณะนี้ ธนาคารพาณิชย์ก็ดี รัฐบาลก็ดี ไม่อยู่ในฐานะที่จะเสี่ยงต่อความผิดพลาด
อันจะส่งผลให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจสั่นคลอนได้
มิติเก่าและมิติใหม่ในระบบการเงินการธนาคารที่กล่าวมาทั้งหมด สำหรับท่านที่อยู่ในวงการนี้ไม่ว่าในฐานะผู้ประกอบการ
ผู้บริหาร หรือผุ้สังเกตการณ์ ย่อมมีโอกาสสัมผัสและรู้ถึงกระบวนการแห่งความเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี
และก็เชื่อว่าผู้นำในวงการมีความตื่นตัว พร้อมทั้งมุ่งแสวงหากลยุทธ์ใหม่ๆ
เพื่อให้ได้ชื่อว่า เป็นผู้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลง และความสามารถแปรโอกาสให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง
สิ่งที่วิเคราะห์ต่อไปอีกก็คือ มิติใหม่ในวงการเงินการธนาคารควรจะมีผลสะท้อนต่อแนวนโยบาย
ของรัฐอย่างไร
ประการแรก ในด้านนโยบายการเงินของประเทศไทยนั้น จะเห็นได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่รัฐมุ่งใช้นโยบายการเงินแนวหน้าในการบริหารงานเศรษฐกิจ
แต่ขณะเดียวกัน นโยบายการคลังของประเทศ ก็กำลังสูญพลังไป เพราะมีปัญหาขาดทุนเรื้อรังทำให้ไม่อยู่ในสภาพที่จะนำมาใช้เป็นตัวพยุงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้
เมื่อภาระการรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาตกมาอยู่ในนโยบายการเงิน ก็ย่อมเป็นของธรรมดาที่กลไกทางการเงินของชาติ
จะต้องเปลี่ยนตามให้สอดคล้องกันไปจากนโยบายอัตราดอกเบี้ยตายตัว มาเป็นนโยบายอัตราดอกเบี้ยยืดหยุ่น
และสนับสนุนการแข่งขันด้านราคาและดอกเบี้ย จากนโยบายสินเชื่อเป็นส่วนรวมมาเป็นนโยบายบริหารสินเชื่อแบบคัดเลือก
(selective credit policy) ซึ่งใช้อัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างเป็นสิ่งจูงใจให้มีการปล่อยสินเชื่อด้านใดด้านหนึ่งมากขึ้น
หรือเป็นสิ่งที่ฉุดดึงให้มีการปล่อยสินเชื่อบางประเภทน้อยลง
นโยบายดังกล่าวนี้เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเศรษฐกิจที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน
และควรยอมรับกันได้ว่า
เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้มาตรการดอกเบี้ยหรือราคา หรือมาตรการเพิ่มลดปริมาณเงินในตลาดเป็นกลไกในการจำกัดหรือขยายสินเชื่อเป็น
ส่วนรวม หรือขยายสินเชื่อแบบคัดเลือกโดยใช้พลังตลาด (market foeces) เป็นตัวกำกับการใช้มาตรการควบคุมปริมาณสินเชื่ออีกทางหนึ่ง
เช่นการกำหนดวงเงินสินเชื่อไม่ให้ขยายตัวเกินร้อยละ 18 ซึ่งกลายเป็นจุดวิพากษ์วิจารณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองขึ้นมานั้น
เป็นปัญหาด้านความจำเป็นต้องมีการทบทวนความเหมาะสมตลอดเวลา
ข้อควรคิดทางราชการคือ ถึงแม้ว่าไม่มีการจำกัดวงเงินสินเชื่อไว้ 18 เปอร์เซ็นต์
การผลักดันให้มีอัตราดอกเบี้ยสูง การจำกัดการขยายตัวด้านปริมาณเงินในประเทศ
และการใช้มาตรการอื่นๆ ด้านการเงินการคลัง จะทำให้สินเชื่อขยายตัวไปในอัตราสูง
ได้อยู่แล้วหรือไม่ และการใช้นโยบายขยายสินเชื่อแบบคัดเลือก ควรใช้ราคาหรือ
อัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งจูงใจมากขึ้นได้หรือไม่ โดยไม่จำกัดปริมาณสินเชื่อที่พึงได้รับการส่งเสริม
ประการที่สอง การระดมเงินออมในประเทศนั้น ถึงแม้ขณะนี้การระดมกันในระบบผ่อน
ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ แต่ก็ยังมีอยู่ไม่น้อยที่จะระดมอยู่ในรูปแบบต่างๆ
เช่น การตั้งวงแชร์ ซึ่งค่อนข้างแพร่หลาย ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งไม่ได้อาศัยสินเชื่อจากธนาคารเป็นทุนดำเนินงานมักอาศัยเงินนอกระบบนี้
ในขณะที่ตลาดเงินในระบบธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ สามารถระดมเงินเข้ามาได้
เป็นจำนวนประมาณ 500,000 ล้านบาท ก็มีผู้ประมาณว่า
ตลาดเงินนอกระบบคงมียอดเงินหมุนเวียนอยู่นับเป็นเรือนหมื่นเรือนแสนล้านบาทเช่นกัน
ซึ่งในยามที่เศรษฐกิจของบ้านเมืองฝืดเคืองเงินหมุนเวียนได้ไม่คล่องเช่นนี้
เงินนอกระบบอาจจะก่อปัญหาและสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจของประเทศได้
เพราะไม่มีกลไกทางราชการที่จะมาช่วยควบคุมรักษาผลประโยชน์ของผู้ฝากเงิน ดังที่เกิดขึ้นเป็นข่าวอยู่เนืองๆ
สนับสนุนอย่างยิ่ง เพื่อดึงดูดให้เงินนอกระบบเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในระบบอย่างถูกต้อง
นอกจากนี้ การพัฒนาตลาดเงินทุน (capital market) ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง
เป็นเรื่องที่ควรได้รับความสนใจเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะโครงสร้างทางธุรกิจอุตสาหกรรมเราในปัจจุบันมักใช้เงินทุนน้อยสินเชื่อมาก
ในยามรุ่งเรืองผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์ตอบแทนสูง จากวิธีดังกล่าว แต่ในยามเศรษฐกิจตกต่ำ
ผู้ลงทุนจะประสบปัญหาภาระดอกเบี้ยและขาดทุนในอัตราสูง และหมุนตัวไม่ทันความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มทุนหรือลดอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินลงทุนจึงมีมาก
และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหมายความว่า ในยามยากนี้การพัฒนาตลาดเงินทุนในประเทศกลับมีความสำคัญยิ่งยวดมากขึ้น
ประการที่สาม นโยบายเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่นั้น ควรจะต้องดำเนินแบบสายกลาง
การใช้เทคโนโลยีของ ATM หรือรูปอื่นใดนั้น ควรจะเห็นว่าเป็นความก้าวหน้าของโลก
ซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้หรือหนีไม่พ้น
การลงทุนใดๆ นั้น จะต้องได้ผลประโยชน์คุ้มกันทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม
และผู้ลงทุนจะต้องมีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอแต่ไม่ควรจะไประงับการลงทุนเพราะ
เกรงว่าจะทำให้การค้าขาดดุล เพราะถ้าจะห้ามหรือลดการนำเข้ากันจริงๆ แล้ว
ยังมีสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยอื่นๆ อีกมากที่ควรได้รับการพิจารณาห้ามนำเข้าก่อน ไม่ควรเพ่งเล็งที่สินค้าประเภททุน
โดยเฉพาะที่เทคโนโลยีขั้นสูง
ความจริงในเรื่องการใชเทคโนโลยีใหม่ในระบบการเงินการธนาคารอาจกำหนดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมขึ้นมาได้ และให้มีการกระทำในลักษณะค่อยทำค่อยไป(gradual)
การเปิดบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ด้วยเครื่อง ATM นี้ไม่ได้หมายความว่า
ทุกธนาคารคุ้มที่จะทำหรือคุ้มที่จะทำทุกสาขา ฉะนั้นในเรื่องนี้ ผู้บริหารงานทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายธนาคารควรจะร่วมกันพิจารณาวินิจฉัยได้
ประการที่สี่ ในด้านความร่วมมือทางการเงินและการลงทุนในโครงการรัฐบาลหรือโครงการที่รัฐบาลสนับสนุนนั้น
เป็นเรื่องที่พึงระมัดระวัง และใช้ความรอบคอบมากขึ้น ปัจจุบันผู้บริหารทางการเมือง
มักจะเห็นว่าโครงการนี้ไม่เหมาะที่จะทำในรูปรัฐวิสาหกิจ หรือรูปส่วนราชการ
เพราะไม่คล่องตัวเพียงพอหรือเพราะไม่สามารถจัดหาผู้บริหารงานมืออาชีพที่เหมาะสม
ได้ ควรจะทำในรูปกิจการของเอกชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายนี้ยังจะต้องผ่านขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก่อน
คือ การเลือกโครงการลงทุนที่เหมาะสม ถ้าโครงการไม่ดีแล้ว ผู้บริหารงานไม่ว่าเก่งกาจเพียงใด
ก็คงจะป้องกันความล้มเหลวไม่ให้เกิดขึ้นมิได้
การร่วมลงทุน ในโครงการที่รัฐบาลสนับสนุน จึงต้องอาศัยและฟังความคิดเห็นของผู้ลงทุนในประเทศ
โดยเฉพาะสถาบันการเงินและการธนาคารซึ่งมีประสบการณ์ในด้านนี้มากกว่าผู้บริหาร
ของทางราชการ ไม่ควรฟังแต่เฉพาะโปรโมเตอร์หรือบริษัทผู้ขายเครื่องจักรซึ่งมีผล
ประโยชน์ที่จะให้รัฐบาลจัดทำโครงการเหล่านี้ขึ้นมา
รัฐบาลควรยึดถือนโยบายสำคัญที่จะไม่ใช้วิธีบังคับให้ธนาคารหรือสถาบันการ
เงินร่วมลงทุนในโครงการที่สถาบันเหล่านั้นเห็นว่าไม่เหมาะสม เพราะเงินที่จะนำไป
ลงทุนนั้นเป็นเงินฝากของประชาชน ไม่มีเหตุผลสมควรที่ธนาคารจะถูกบังคับให้นำเงินเหล่านั้นไปเสี่ยงกับความเสียหาย
แนวทางการปฏิบัติอีกประการหนึ่ง คือเมื่อร่วมลงทุนกันแล้ว ในยามที่เศรษฐกิจและตลาดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ก็ต้องร่วมหัวจมท้ายกัน ไม่ปล่อยปละละเลยเสียกลางคัน เพราะถ้าผู้ริเริ่มและผู้ร่วมทุนหรือรัฐบาล
ทำตนเช่นนั้นแล้ว ปัญหาเล็กจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เรื่องง่ายจะกลายเป็นเรื่องยาก
และก็คงทำให้สถาบันการเงินนต่างๆ ขยายที่จะเข้าไปร่วมมือลงทุนในโครงการอื่นๆ
ของรัฐบาลอีก
ภาพมิติใหม่ในระบบการเงินการธนาคารตามที่กล่าวมาที่จริงแล้วยังมีมิติใหม่
อีกหลายอย่างที่ยังมิได้นำมากล่าวในที่นี้
แต่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงในระบบการเงินการธนาคาร การพัฒนาศเศรษฐกิจของประเทศ
จะต้องก้าวรุดหน้าต่อไป โดยมีระบบการเงินการธนาคารที่ได้พัฒนามาเกือบหนึ่งศตวรรษเป็นตัว
“ชูโรง” ตลอดกาล
ขณะนี้ปัญหาสำคัญและเป็นที่สนใจของประชาชนจำนวนมาก คือ ทำอย่างไรจึงจะให้ธนาคารพาณิชย์
ได้เข้าไปมีส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อส่วนรวมได้มากขึ้น และทำอย่างไรผลของการพัฒนาดังกล่าวจะกระจายไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริงยิ่งกว่าที่แล้วมาในอดีต
และที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
คำตอบนี้ ในฐานะที่เป็นผู้บริหารงานธนาคารคนหนึ่ง ก็ใคร่ขอกล่าวว่า ธนาคาพาณิชย์ไทย
เป็นส่วนรวมนั้น ได้ตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีอยู่ และพยายามทุกวิถีทางที่จะเป็นผู้เริ่ม
หรือมีส่วนร่วมในกิจการทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่จะช่วยอำนวยผลประโยชน์ตอบแทนสังคม
การประกอบธุรกิจธนาคารจะมุ่งหวังเพียงแค่ผลกำไร
อย่างเดียวไม่ได้ แต่จะต้องมีความรับผิดชอบและพร้อมเข้าทำหน้าที่ผู้ช่วยเหลือเพื่อ
ประโยชน์สุขของมหาชนควบคู่กันไปด้วย