|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ยูนิลีเวอร์ฯทุ่ม 100 ล้านบาท เข็น “ลิปตัน ไอซ์ที” ชนผู้นำ “เนสท์ที” บนเวทีชาผง ชู “กรีนที ฮันนี่ เลมอน” นวัตกรรมชาเขียวแบบผงรายแรกเป็นจุดขายสร้างความต่างเหนือคู่แข่ง ที่มีเฉพาะรส “ไอซ์ที เลมอน” หลังสำรวจพบ ผู้บริโภคต้องการชาเขียวแบบผงมากกว่าชาดำ พร้อมผุด “ลิปตัน ไอซ์บาร์” ย่านสยามสแควร์ นาน 5 เดือน เพื่อสร้างประสบการณ์และเพิ่มสีสันให้กับผู้บริโภค หวังให้เกิดเป็นเทรนด์ในหมู่วัยรุ่น มั่นใจปีแรกปั๊มยอดขายโต 20%
ตัวเลขจากยูโรมอนิเตอร์ ระบุว่า ตลาดเครื่องดื่มดับกระหายโดยรวมในเมืองไทยมีมูลค่ากว่า 64,518 ล้านบาท มีการเติบโต 8% จึงไม่แปลกที่การแข่งขันในธุรกิจนี้จะมีความรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่ถือว่าเป็นฤดูกาลที่สร้างยอดขายหลัก ทำให้ผู้เล่นแต่ละรายต่างทุ่มสรรพกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อเบียดคู่แข่งและคว้าส่วนแบ่งให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้ “ชา” ถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่จัดว่ามีการแข่งขันดุเดือดและน่าสนใจไม่แพ้เครื่องดื่มตัวอื่น โดยการสำรวจจากเอซีนีลเส็นรอบล่าสุด พบว่า ตลาดชาโดยรวมที่มีมูลค่า 1,125 ล้านบาท แบ่งเป็น แบบชาถุงร้อน 50% และแบบชาผง 50% ซึ่งทั้ง 2 เซกเมนต์นี้ต่างก็มีผู้นำตลาดในแต่ละประเภทชัดเจน นั่นคือ แบรนด์ลิปตัน จากยูนิลีเวอร์ และแบรนด์เนสท์ที จากค่ายเนสท์เล่ ตามลำดับ เรียกว่าความน่าสนใจโดดเด่นไม่แพ้กัน ทั้งในเรื่องขนาดตลาดและภาษีของแชมป์
ทว่า หากเจาะลึกลงไปถึงการแข่งขันของทั้ง 2 เซกเมนต์ดังกล่าว ในชั่วโมงนี้ ต้องยกให้ “ตลาดชาผง” เพราะนอกจากตัวเลขการเติบโตที่ดีดตัวสูงถึง 47.4% มากกว่าตลาดชาถุงร้อนที่มีการขยายตัวเพียง 5% เท่านั้น จะเห็นว่า ศักยภาพการเติบโตของชาแบบผงยังมีมากกว่าแบบถุงชงด้วย เนื่องจากพฤติกรรมการดื่มชาร้อนของผู้บริโภค ส่วนใหญ่จะอยู่ในมื้อเช้าเท่านั้น ต่างจากการดื่มชาแบบเย็นที่สามารถดื่มได้ตลอดวัน โดยผลการสำรวจผู้บริโภค พบว่า คนไทยที่ดื่มชาแบบผง มีเพียง 16% โดยดื่มเฉลี่ย 1.6 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับคนเวียดนามที่มีสัดส่วน 40% โดยดื่มเฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ และคนฟิลิปปินส์ที่มีสัดส่วน 77% โดยดื่มเฉลี่ย 4.9 ครั้งต่อสัปดาห์
และนี่คือปัจจัยที่ทำให้วันนี้การแข่งขันในเซกเมนต์ชาแบบผงที่สามารถชงได้ในน้ำเย็นกำลังส่อแววเดือดขึ้นเป็นเท่าตัวด้วย โดยล่าสุดยูนิลีเวอร์ฯทุ่มงบก้อนโต 100 ล้านบาท ปั้น “ลิปตัน ไอซ์ที” ด้วยคอนเซ็ปต์ “แค่ชงก็สดชื่น...โดนใจ” โดดขึ้นเวทีชาแบบผงเป็นครั้งแรก หลังปล่อยให้ “เนสท์ที” ของเนสท์เล่ ปักธงครองตลาดโดยไร้คู่แข่งมานาน
สำหรับการเข้ามาของยักษ์ลีเวอร์ในครั้งนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นผู้เล่นที่เข้าสู่ตลาดช้ากว่าคู่แข่ง เริ่มตั้งแต่การพัฒนาสินค้าให้แตกต่างและต้องเหนือกว่าคู่แข่ง จะเห็นว่า การเข้ามาในครั้งนี้ ลิปตันเปิดตัวสินค้าพร้อมกัน 2 รสชาติ คือ “กรีนที ฮันนี่ เลมอน” และ “ไอซ์ที เลมอน” ซึ่งรสชาติหลังเชื่อว่าเป็นรสที่ลิปตันจำเป็นต้องมีเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เช่นเดียวกับคู่แข่ง ดังนั้นตัวที่จะเป็นไฮไลต์กระชากใจให้ผู้บริโภคเข้ามาทดลองได้ง่ายขึ้น จึงตกเป็นหน้าที่ของ “กรีนที ฮันนี่ เลมอน” ที่ครั้งนี้ลีเวอร์ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี
“กรีนที ฮันนี่ เลมอน เป็นนวัตกรรมชาเขียวแบบผงครั้งแรกในไทย ซึ่งไม่เพียงจะเป็นชาที่ผู้บริโภคคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่จากการสำรวจยังพบว่า ชาเขียวเป็นชาอันดับแรกที่ผู้บริโภคต้องการในรูปแบบผง ขณะที่ชาดำมาเป็นอันดับ 2” เป็นคำกล่าวของ สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร ธุรกิจอาหารและไอศกรีม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด
นอกจากผลสำรวจที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับ กรีนที ฮันนี่ เลมอน ของลิปตัน ไอซ์ที ว่าจะได้การตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคได้ไม่ยากแล้ว ปัจจัยที่ช่วยย้ำความมั่นใจอีกส่วนหนึ่ง น่าจะมาจาก ความคุ้นเคยในเครื่องดื่มชาเขียว แม้ว่าส่วนใหญ่จะมาจากชาเขียวพร้อมดื่มก็ตาม ทว่า ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสินค้าเข้าปากที่ต้องใช้ความคุ้นเคยต่อรสชาติในการจูงใจให้เกิดการทดลอง ไม่แค่นั้น หากมองเจาะลึกลงไปอีก จะเห็นว่า กรีนที ฮันนี่ เลมอน ยังเป็น 1 ใน 3 รสชาติที่สร้างยอดขายหลักให้กับผู้เล่นในตลาดชาเขียวพร้อมดื่มด้วย
ไม่แค่นั้น เพื่อสร้างสีสันและให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์ตรงกับสินค้าได้ง่ายขึ้น ลิปตันได้เปิดตัวร้าน “ลิปตัน ไอซ์บาร์” ที่สยามสแควร์ ซอย 2 โดยถือเป็นสถานที่อินเทรนด์ ซึ่งผู้เล่นรายนี้เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่สิ้นเดือนนี้ถึงเดือนกรกฎาคม กินเวลานานถึง 5 เดือน โดยเป้าหมายของไอซ์บาร์นี้ ผู้บริหารค่ายยูนิลีเวอร์ บอกว่า เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้บริโภคมีโอกาสเข้ามาทดลองสินค้าได้สะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกันเพื่อสร้างเทรนด์การดื่มลิปตัน ไอซ์ที แบบผงในหมู่วัยรุ่น หรือคนรุ่นใหม่ โดยในร้านนี้จะมีการแนะนำ 14 เมนู จากลิปตัน ไอซ์ทีแบบผง ซึ่งจะเป็น 14 ซิกเนเจอร์ ดริงก์ ที่มีให้เลือกทั้งในรูปแบบชาเย็นและชาปั่น ในราคา 45-55 บาท และเพื่อสร้างความสนุกสนานจนเกิดเป็นเทรนด์ต่อเนื่อง ทางลิปตันฯ ยังจัดกิจกรรม “เฮลท์ตี้ รีเฟรชเมนท์ เวิร์กชอป” ให้ความรู้ในการทำม็อกเทลแก้วโปรดอย่างง่ายทุกวันเสาร์สิ้นเดือน พร้อมชมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน เช่น แสตมป์, แคลอรี่ บลาห์ บลาห์
อย่างไรก็ตาม นอกจากการพัฒนาสินค้าให้แตกต่างจากคู่แข่งแล้ว การออกแบบบรรจุภัณฑ์ก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้เล่นรายนี้ให้ความสำคัญด้วย โดยลิปตัน ไอซ์ที มีให้เลือก 3 แบบ คือ ชนิดซอง 4 บาท ขนาดบรรจุ 6 ซอง ราคา 24 บาท, ขนาดบรรจุ 18 ซอง ราคา 69 บาท และขนาดลิตรราคาซองละ 15 บาท ทั้งนี้เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกชงได้ตามความต้องการ ทั้งในเรื่องปริมาณหรือความสะดวกในการชง ไม่ว่าจะเป็นการชงในที่ทำงาน นอกบ้าน หรือชงดื่มที่บ้านก็ตาม โดยบนบรรจุภัณฑ์จะมีการบอกถึงปริมาณการชงอย่างชัดเจน เช่น ขนาดซอง 4 บาท ชงกับปริมาณน้ำเย็น 250 มล.
ทั้งนี้ จากการรุกตลาดโดยเน้นทั้งตัวรสชาติสินค้า และการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกในการชงมากขึ้น รวมไปถึงราคาที่กำหนดออกมาให้ไม่ยากต่อการตัดสินใจซื้อมากนัก สุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ มั่นใจว่า การรุกตลาดชาผงในครั้งนี้ ลิปตัน ไอซ์ทีจะขยายการเติบโตได้อีก 20% รวมทั้งส่งแรงกระแทกไปยังผู้นำตลาดอย่างเนสท์ทีไม่มากก็น้อยด้วย
|
|
|
|
|