Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2527








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2527
อนาคตของฮ่องกงตามที่จีนรับประกัน             
 


   
search resources

International




ภายหลังจากการเจรจายืดเยื้อกันมาเป็นเวลานานถึง 2 ปี ในที่สุด เมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ล่วงมานี้ ณ ศาลาประชาชน ในกรุงปักกิ่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โซว หนัน รองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน กับเซอร์ริชาร์ด อีแวนส์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงปักกิ่ง ในฐานะผู้แทนของรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักร ก็ได้ร่วมกันลงนามเป็น "คำประกาศร่วม" ซึ่งเป็นกติกาสัญญาเกี่ยวกับอนาคตของฮ่องกง ที่ชาวฮ่องกงและใครต่อใครต่างพากันรอคอยเงี่ยหูฟังด้วยความเอาใจใส่

สาระสำคัญมีว่า อังกฤษจะให้หลักประกันในความเจริญรุ่งเรืองของเกาะฮ่องกงแห่งระบอบทุนนิยมไปจนกระทั่งถึงวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ.1997 (2540) ต่อจากนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 1997 (2540) เป็นต้นไป เกาะฮ่องกงจะถูกผนวกเข้าเป็นดินแดนในกรรมสิทธิ์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ในอดีตเคยเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ ที่ถือลัทธิชาตินิยม และเกลียดชังคนต่างชาติอย่างรุนแรง

การโอนอธิปไตยของฮ่องกงในคราวนี้ นักเศรษฐศาสตร์มองในแง่ที่ว่า ในกาลเวลาดังกล่าวนั้นฮ่องกงอันเป็นดินแดนที่มีรายได้ประชาชาติคิดถัวเฉลี่ยต่อประชากร 1 คน มากกว่าปีละ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ จะถูกโอนไปให้แก่จีนอันเป็นประเทศซึ่งมีรายได้ประชาชาติถัวเฉลี่ยต่อประชากร 1 คน เพียงปีละ 300 ดอลลาร์สหรัฐ อันเท่ากับเป็นเสมือนหนึ่งเอาดินแดนของพวกคนมั่งมี ไปมอบให้แก่พวกกระยาจก

จีนให้หลักประกันในอนาคต

คำประกาศดังกล่าวนี้ มีผลเท่ากับว่าแหล่งสำคัญแห่งสุดท้ายของระบอบการปกครองแบบอาณานิคมต่างชาติของอังกฤษ ซึ่งเคยมีอำนาจอิทธิพลเหนือดินแดนจีนมานานเป็นเวลาถึง 155 ปี กำลังจะสิ้นสุดลง โดยเฉพาะสำหรับคนอังกฤษเอง เป็นการแสดงให้เห็นถึงการถอยก้าวสุดท้ายในทวีปเอเชีย อันเป็นการปิดศักราชแห่งระบอบการปกครองแบบอาณานิคมที่อังกฤษได้ประสบกับความสำเร็จอย่างดียิ่ง และได้รับความมั่งคั่งร่ำรวยอย่างมหาศาลที่สุดจากดินแดนในทวีปนี้

สำหรับชาวฮ่องกง ซึ่งมีประชากรทั้งสิ้นราว 5.5 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นคนจีนนั้น ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กันมาเป็นเวลานานกว่า 3 ทศวรรษ ภายใต้ร่มเงาแห่งแผ่นดินแม่ที่มีอำนาจเติบใหญ่ยิ่งขึ้นทุกวันนั้น คำประกาศร่วมกันดังกล่าว เป็นเสมือนหนึ่งการบอกกล่าวให้รู้ถึงการมาของศักราชใหม่ที่ไม่แน่นอนมั่นคง ที่ประชาชนชาวฮ่องกงเองไม่ได้มีโอกาสแสดงบทบาทร่วมกับการตกลงในชะตากรรมของตนเอง ที่ถูกชี้ขาดโดยจีนกับอังกฤษ แต่ไม่ว่าอนาคตจะดี-ชั่วอย่างไรก็ตาม เวทีแห่งการทดลองก็ได้ปูลงแล้วสำหรับชาวเกาะแห่งระบอบทุนนิยมที่กำลังเติบโต ที่จะต้องตกอยู่ในอ้อมกอดของรัฐคอมมิวนิสต์ที่มีพลเมืองมากที่สุดในโลก

เพื่อเป็นหลักประกันว่า สภาพของ 2 สิ่งที่แตกต่างกันนี้สามารถอยู่ร่วมกันได้ ฝ่ายจีนจึงได้ให้หลักประกันแก่พลเมืองฮ่องกงว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ.1997 ที่ฮ่องกงจะกลับคืนสู่อธิปไตยของสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้นไปนั้น ฮ่องกงจะเป็น "เขตปกครองพิเศษ" ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสมัชชาประชาชนแห่งชาติของจีน (คือ รัฐสภา) จะได้ออกกฎหมายมารับรองสถานภาพดังกล่าวนั้นเป็นพิเศษ ซึ่งโดยสถานภาพดังกล่าวนี้ บรรดากฎหมายทั้งหลายของฮ่องกง รวมทั้งกฎหมายที่จะประกาศออกใช้ภายหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 ด้วย จะมีผลใช้บังคับได้ต่อไป เว้นแต่กฎหมายที่ไปขัดหรือแย้งกับกฎหมายพื้นฐาน (อันได้แก่กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายหลักอย่างอื่นๆ) จะไม่อาจเป็นไปตามเงื่อนไขในคำประกาศร่วม และภาคผนวกของคำประกาศดังกล่าว (ซึ่งจะได้นำไปบัญญัติไว้ในกฎหมายพื้นฐานของจีน) ได้

ในกรณีเช่นนั้น องค์การเขตปกครองพิเศษของฮ่องกงก็อาจจะออกกฎหมายใหม่มาแก้ไขกฎหมายเก่าฉบับก่อนปี 1997 นั้นเสีย เพื่อไม่ให้ขัดแย้งกับกฎหมายพื้นฐานของจีน เพราะมิฉะนั้นแล้ว กฎหมายนั้นก็จะตกเป็นโมฆะ เมื่อมีการแก้ไขกันเรียบร้อยแล้ว สภาพของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ก็จะต้องรายงานต่อสมัชชาประชาชนแห่งชาติของจีน (รัฐสภาของสาธารณรัฐ) ต่อไปสถานภาพเช่นนี้ของฮ่องกงจะดำรงอยู่เป็นเวลา 50 ปี คือ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 1997 ไปจนถึง 30 มิถุนายน ค.ศ.2047 (พ.ศ. 2590) หลังจากนั้นก็ปล่อยให้อนุชนรุ่นใหม่เขาว่ากันต่อไป

สถานภาพพิเศษดังกล่าวนี้ จะทำให้ฮ่องกงเป็นเขตปกครองตนเองในทุกด้าน นอกจากด้านกิจการต่าง ประเทศ และด้านกลาโหม และเพื่อให้มีอำนาจปกครองตนเองดังกล่าวได้ ฮ่องกงจะได้รับมอบอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ อย่างเป็นอิสระ รวมทั้งศาลต่างๆ ตั้งแต่ศาลชั้นต้นไปจนถึงศาลฎีกา โดยบรรดากฎหมายต่างๆ ที่ใช้บังคับอยู่ในฮ่องกงเวลานี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

รัฐบาลของเขตปกครองตนเองฮ่องกง จะประกอบด้วยบุคคลที่เป็นพลเมืองของเกาะฮ่องกงโดยมีมุขมนตรีที่เป็นพลเมืองของเกาะฮ่องกง โดยมีมุขมนตรีที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลปักกิ่ง ทั้งนี้จากผลการเลือกตั้ง หรือการคัดเลือกในท้องถิ่นมุขมนตรีจะเป็นผู้เสนอชื่อข้าราชการชั้นอาวุโส เพื่อให้รัฐบาลปักกิ่งเป็นผู้แต่งตั้งข้าราชการทั้งที่เป็นคนจีนและชาวต่างประเทศ (รวมทั้งตำรวจด้วย) จะยังคงอยู่ในหน้าที่การงานเดิมต่อไป ในขณะที่คนสัญชาติอังกฤษและสัญชาติต่างประเทศอื่นๆ อาจได้รับการบรรจุเป็นที่ปรึกษาในหน้าที่บางอย่างของรัฐบาลฮ่องกง

ระบบเศรษฐกิจและสังคมของฮ่องกงดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ จะยังคงดำรงอยู่ต่อไปอย่างไม่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งแบบอย่างแห่งการดำรงชีวิตของชาวฮ่องกงด้วย บรรดาสิทธิและเสรีภาพของชาวฮ่องกงจะได้รับหลักประกันตามกฎหมาย

นอกจากนั้น ฮ่องกงจะยังคงดำรงสภาพเป็นเมืองท่าเสรี (ฟรีปอร์ต) และเป็นเขตศุลกากรที่แยกออกไปต่างหากจากจีน รวมทั้งยังคงเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศต่อไป พร้อมกับมีตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ, ตลาดทองคำ, ตลาดหลักทรัพย์ และตลาดซื้อขายสินค้าล่วงหน้า เงินทุนยังคงสามารถไหลเข้า-ออกได้อย่างเสรี และเงินเหรียญฮ่องกงยังคงเป็นเงินที่แลกเปลี่ยนขึ้นค่าได้อย่างเสรีเหมือนเดิม ฮ่องกงจะบริหารการเงินและกิจการอย่างอื่นๆ ของตนได้อย่างเป็นอิสระต่อไป โดยรัฐบาลปักกิ่งจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือเรียกเก็บภาษีแต่อย่างใด

องค์การบริหารของฮ่องกงอาจสร้างความสัมพันธ์เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของฮ่องกงและในฐานะเป็น "ฮ่องกงแห่งประเทศจีน" องค์การบริหารของฮ่องกงอาจดำรงไว้ หรือขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์อย่างอื่นๆ กับต่างประเทศได้และอาจทำสัญญาความตกลงกับองค์การเอกชนของประเทศอื่นหรือกับองค์การเอกชนระหว่างประเทศ รวมทั้งจะออกเอกสารการท่องเที่ยวของตนเองได้ด้วย

องค์การบริหารฮ่องกงจะเป็นผู้รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในของสาธารณชน รวมทั้งการวางระบบกับกระบวนการยุติธรรม และการดำเนินนโยบายทางการเมืองของตนเองด้วย

บรรดาหลักประกันและนโยบายต่างๆ ตามข้อผนวกต่อท้ายคำประกาศร่วมนี้ รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจะนำไปบัญญัติไว้ในกฎหมายพื้นฐานที่จะออกโดยสมัชชาประชาชนแห่งชาติของจีน และจะมีผลใช้บังคับไปนานถึง 50 ตั้งแต่ปี 1997 ถึงปี 2047

หลักการพื้นฐาน 12 ประการในคำประกาศร่วมนี้ กำหนดขึ้นโดยฝ่ายรัฐบาลปักกิ่ง ในภาคผนวกที่ 1 ซึ่งยืนยันอนาคตว่า ตลอดเวลา 50 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 1997 ไปจนถึง 30 มิถุนายน 2047 รัฐบาลจีนจะไม่นำ "ระบบสังคมนิยมและนโยบายสังคมนิยม มาใช้แก่ฮ่องกง" อย่างแน่นอน รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนจะรับผิดชอบต่อฮ่องกงโดยเฉพาะ ในด้านกิจการต่างประเทศ และกิจการด้านกลาโหมเท่านั้น นอกจากนี้แล้วจะปล่อยให้อยู่ในอำนาจนิติบัญญัติ, อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการของฮ่องกง แม้กระนั้นกิจการด้านต่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ, การค้า, การคลังและการเงิน, และการติดต่อสัมพันธ์กันในทางคมนาคม, การท่องเที่ยว, การวัฒนธรรม และการกีฬา ตลอดจนมีอำนาจบริหารในด้านกิจการเดินอากาศนอกจากกิจการที่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือสัญญาระหว่างประเทศ จึงจะให้อยู่ในอำนาจของสาธารณรัฐประชาชนจีน

สถานภาพของฮ่องกงก็คือกำไรของจีนเอง

อันที่จริง การที่จีนยินยอมรักษาสถานภาพเดิมของฮ่องกงเอาไว้นั้น นักวิชาการของฝ่ายตะวันตก และฮ่องกงเองกล่าวว่า โดยแท้จริงแล้วก็เท่ากับจีนรักษาสถานภาพแห่งผลกำไรทางเศรษฐกิจของตนเอาไว้นั่นเอง ดูตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในปี 1983 ฮ่องกงเป็นผู้ซื้อสินค้าจากจีนแผ่นดินใหญ่เป็นมูลค่าถึง 5.3 พันล้านดอลลาร์ทำให้ประเทศจีนได้รับเงินข็งเป็นจำนวนถึง 40% ของเงินแข็งที่หาได้ทั้งปี นอกจากนั้น ฮ่องกงยังเป็นที่ตั้งของสาขาธนาคารกลางของจีนอยู่แล้ว คือ ธนาคารแห่งประเทศจีน (สาขาฮ่องกง) กับยังมีธนาคารพาณิชย์ในความควบคุมดูแลของธนาคารกลางอีกถึง 14 ธนาคาร, มีสหภาพแรงงานที่เชียร์รัฐบาลปักกิ่งอยู่ตั้งมากมายหลายสหภาพ กับยังมีหน่วยธุรกิจต่างๆ อีกราว 80 แห่ง นับตั้งแต่ห้างสรรพสินค้าลงไปจนกระทั่งสำนักงานนายหน้า ที่หนุนหลังโดยทางการจีนแผ่นดินใหญ่และที่สำคัญก็คือ มีสำนักพิมพ์และวารสารซึ่งดำเนินการโดยชาวคอมมิวนิสต์จีนถึง 6 แห่ง ในขณะเดียวกับที่ฮ่องกงก็กำลังจะเป็นของจีนแผ่นดินใหญ่มากยิ่งขึ้นทุกที

อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานการณ์อันไม่แน่นอน ตั้งแต่แรกเริ่มเปิดการเจรจาปัญหาฮ่องกงระหว่างฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ตลอดเวลา 2 ปีที่ล่วงมา ด้วยเหตุนี้นักธุรกิจส่วนมากของฮ่องกงจึงยังรีรอในการที่จะลงทุนภายในประเทศของฮ่องกงเอง แถมมีนักธุรกิจอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่ได้เริ่มโอนเงินทุนออกนอกประเทศ เพื่อไปหาแหล่งลงทุนในที่อื่น ที่อนาคตมิได้ผูกพันอยู่กับรัฐบาลจีนปักกิ่งที่เป็นคอมมิวนิสต์ แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ได้อนุมัติเงินลงทุนจากฮ่องกงที่ส่งมาลงในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่จำนวน 4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งปรากฏว่า มีจำนวนเงินเพียงราว 1 ใน 4 ของจำนวนดังกล่าวเท่านั้น ที่ได้ทำการเบิกถอนไปแล้ว นอกจากนั้นฮ่องกงยังเป็นผู้ควบคุมดูแลเงินลงทุนต่างประเทศของจีนราว 30 - 40 % ของจำนวนเงินลงทุนทั้งหมด เซอร์ จอห์น เบรมริดจ์ รัฐมนตรีว่าการคลังของฮ่องกงเปิดเผยว่า ในชั่วระยะเพียงครึ่งแรกของปีนี้ สินค้าเข้าที่ส่งผ่านฮ่องกงไปยังจีนแผ่นดินใหญ่ได้เพิ่มขึ้นกว่าระยะเดียวกันของปีกลายถึง 139 %

นอกจากนั้น ทั้งรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน และรัฐบาลอาณานิคมฮ่องกง ยังได้ร่วมมือกันยกระดับความสัมพันธ์ทางโทรคมนาคมและการขนส่งให้สูงขึ้นไปอีก อันเป็นการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของฮ่องกงให้ดีขึ้น โดยได้วางผังสร้างทางหลวงเชื่อมติดต่อระหว่างเขตดินแดนใหม่ของฮ่องกง กับมณฑลกวางตุ้งบนผืนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งกำหนดจะแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1986 โดยคาดหมายว่า ในชั่วเวลาเพียง 5 ปี คือในปี 1990 ปริมาณการจราจรบนถนนสายนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่าตัว โดยมียานพาหนะแล่นผ่านไปมาไม่น้อยกว่าวันละ 25,000 คัน

คาดหมายอนาคต

บรรดานักสังเกตการณ์ส่วนมาก คาดกันว่า บทบาทตามประเพณีเดิมของฮ่องกงในฐานะเป็นประตูทางเข้า-ออกสำคัญ ที่นำไปสู่จีนผืนแผ่นดินใหญ่นั้น คงจะเสื่อมทรามลงในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสาธารณรัฐประชาชนจีนเร่งขยายความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศตะวันตกมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันจีนก็อาจใช้ฮ่องกงเป็นที่ทดลองระบอบทุนนิยม ดังเช่น ตลาดหุ้น ที่จะดำเนินกิจการงานซื้อขายโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาล หรือตลาดเสรีอย่างอื่นๆ เช่น ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ, ตลาดทองคำ, ตลาดซื้อ-ขายสินค้าล่วงหน้า ซึ่งไม่อาจดำเนินไปได้ด้วยดีในสภาพบรรยากาศแบบสังคมนิยมในกรณีเช่นนี้ จีนก็อาจจะต้องอดทน ยอมให้ตลาดเหล่านั้นดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างเสรี เพื่อเอาไว้ต้อนรับลูกค้าจากต่างประเทศที่มักเดินทางมาทำธุรกิจที่ตลาดเหล่านี้เป็นประจำ

เนื่องจากความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของฮ่องกง มีความแตกต่างกันมากมายหลายกลุ่มหลายประเภท อังกฤษซึ่งประสงค์จะทำการวิเคราะห์ความคิดเห็นต่างๆ เหล่านี้ จึงได้โฆษณาข้อตกลงใน "คำประกาศร่วม" โดยผ่านสื่อมวลชนต่างๆ และยังได้แจกจ่ายฉบับคำแปลภาษาอังกฤษไปยังสถาบันต่างๆ เป็นจำนวนมากกว่า 250,000 ฉบับ พร้อมกันนั้น ภายใน 2 เดือนข้างหน้า รัฐบาลฮ่องกงจะจัดตั้งสำนักงานพิเศษขึ้น เพื่อประเมินปฏิกิริยา และวิเคราะห์ความคิดเห็นต่างๆ ของมหาชนฮ่องกง กระทั่งรัฐสภาของฮ่องกงเอง ที่แม้จะไม่มีอำนาจลงมติอะไรออกมาใช้บังคับได้แต่ก็จะได้เปิดอภิปรายคำประกาศร่วมของอังกฤษจีน พร้อมกับลงมติ เพื่อแสดงถึงน้ำหนักแห่งความคิดเห็นของตน

อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการแผ้วถางทางไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในอนาคต เซอร์ เอดเวอร์ด ยูด ข้าหลวงใหญ่ฮ่องกง ซึ่งเคยเป็นเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน และพูดภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่ว กำลังยกร่าง "หนังสือปกเขียว" ขึ้นเพื่อเป็นแผนใหญ่ทำฮ่องกงให้เป็นดินแดนแห่งระบอบประชาธิปไตยที่หลุดพ้นจากสภาพอาณานิคมของอังกฤษ ก่อนที่จะส่งมอบฮ่องกงคืนให้แก่จีนในวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ.1997 เป็นการสร้างประชาธิปไตยให้ฮ่องกงก่อนที่จะตกเป็นของคอมมิวนิสต์จีน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us