ในช่วงที่นักธุรชั้นนำของโลกจำนวน 535 คน จะถูกเชิญให้เดินทางมาซานฟรานซิสโก
ปลายปีหน้า เพื่อเข้าร่วมในการประชุมอุตสาหกรรมนานาชาติอันมีอิทธิพลนั้น
สุไลมาน โอเลยัน นันการเงินที่มีผู้รู้จักแต่เพียงว่าเป็นนายธนาคารที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
จะเด่นผงาดจากเงามืดเพื่อเข้ารับหน้าที่อันโดดเด่น ในฐานะที่เป็นชาวอาหรับคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในคณะที่ปรึกษาของการประชุม
โอเลยัน จะทำหน้าที่สำคัญในการพิจารณาหัวข้อการประชุม และระหว่างการประชุม
เขาจะทำหน้าที่ประธานในการประชุมหัวข้อสำคัญๆ ซึ่งทั้ง SRI INTERNATIONAL
และคณะกรรมการการประชุมได้ร่วมสนับสนุนจัดเป็นประจำทุก 4 ปี
"หลังจากที่เข้าร่วมทำงานกับองค์กรทั้ง 2 มากว่า 19 ปี (SIR, ITC)
ใครๆ ก็คงจะคิดว่าผมคงจะรู้อะไรดีๆ เกี่ยวกับธุรกิจระหว่างประเทศ" โอเลยัน
กล่าวออกตัวตามแบบของตน ในระหว่างที่ให้สัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้กับนิตยสาร
INTERNATIONAL MANAGENT สำหรับคนใน ITC แล้ว การเข้ารับตำแหน่งของโอเลยันในฐานะผู้นำระดับนานาชาตินั้นไม่ทำให้เป็นที่แปลกใจกันนัก
เพราะเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่โอเลยันได้ทำงานอย่างเงียบๆ และอยู่เบื้องหลังความสำเร็จทั้งปวงด้วยการดำเนินงานอย่างสุขุมคัมภีรภาพ
จากสำนักงานในนิวยอร์กสู่ลอนดอน สู่ริยาด ให้คำปรึกษากับนักการเมือง
และนักบริหารระดับสูงชาวตะวันตก บทบาทในการประชุมระดับโลกในปีหน้าจะช่วยส่งเสริมให้โอเลยันเป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้นไปอีก
เพราะเขาได้รับความเชื่อถือในฐานะเป็นผู้บุกเบิกการลงทุนร่วมในซาอุดีอาระเบีย
และริเริ่มให้มีการจัดตั้งหน่วยงานที่ใช้หลักการบริหาร และโครงสร้างองค์กรแบบตะวันตก
ชื่อเสียงและความสามารถของโอเลยันจึงบดบังผู้อื่นซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วไป
เช่น ไกท์ ฟาราออน, อัดนาน คาชอกกี้ และอาห์เบ็ค จัฟฟาลี
นอกเหนือไปจากกิจการทั้งในด้านการค้าและการบริหารซึ่งกำลังเจริญรุดหน้าไปด้วยดีด้วยกำไรถึงปีละ
75 ล้านดอลลาร์ จากยอดขาย 750 ล้านดอลลาร์ ในซาอุดีอาระเบีย เมื่อปีที่แล้ว
โอมายัน ยังมีกิจการที่ลงทุนทั้งในสหรัฐฯ และอังกฤษ ซึ่งทำรายได้ให้เพิ่มพูน
โดยวิธีการยอกย้อนหลบรอดการเสียภาษีจากหมู่เกาะอังกฤษ และแอนทิเลส ของเนเธอร์แลนด์จนถึง
ไลบีเรียและไลเตนสไตน์
เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบอาหรับ
ในฐานะที่เป็นชาวต่างชาติคนแรกที่เข้าทำงานในคณะกรรมการของบริษัทชั้นนำ
1 ใน 5 ของสหรัฐฯ ดังนั้นเมื่อเร็วๆ นี้ โอเลยันจึงลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท
MOBIL CORP หลังจากดำรงตำแหน่งมาถึง 3 ปี แต่ก็ยังคงหุ้นราคา 1 ล้านดอลลาร์ในบริษัทน้ำมันขนาดยักษ์นี้
นอกเหนือจากนี้เขายังลงทุนจำนวนมหาศาลในกิจการบริษัทและธนาคารในสหรัฐฯ มากกว่า
6 แห่ง ซึ่งรวมทั้งมีหุ้น 6% ในบรรษัท OCCIDENTAL PETROLEUM และมากกว่า 1%
ในทั้งธนาคาร MORGAN GUARTY TRUST และธนาคาร CHASE MANHATTAN
และ "เพื่อเป็นเกียรติ" เขากล่าว โอเลยัน จึงคงหุ้นใน CHASE
MANHATTAN ให้น้อยกว่า เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ อดีตประธานของ CHASE MANHATTAN
ด้วยรูปร่างอ้วนกลม แบบเด็กๆ ทำให้ดูเหมือนว่าโอเลยันค่อนข้างจะอายที่จะปรากฏตัว
หากแต่ด้วยความนุ่มนวลแบบอาหรับและความมีอัธยาศัยอันงดงาม ทำให้เขาสามารถเข้านอกออกใน
ในที่ต่างๆ อย่างง่ายดายเหมือนตัวอีทีน้อยๆ แห่งนิยายอาหรับราตรี
ท่ามกลางบรรยากาศและขนบธรรมเนียมที่แตกต่างกันระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออก
โดยมีมวลมิตรเป็นตั้งแต่ราชวงศ์ในซาอุดีฯ จนถึง จอร์จ ชู้ลส์ รมต. คลังสหรัฐฯ
วิลเลียม ทาโวลเลอเรียส์ ประธานบริษัทโมบิลและร็อคกี้ เฟลเลอร์ แห่งเชสแมนฮัตตัน รวมทั้งบริษัทต่างๆ
ที่ร่วมลงทุนในซาอุดีฯ เช่น บริษัทเบชเตล, เจนเนอราลฟูด, ยูไนเตด-เทคโนโลยี
และคิมเบอรี่-คล๊าก สวีเดน สโตร์โนเบลและแอตลาสคอบโค, เอ็นอีซีจากญี่ปุ่น บริษัทเลย์แลนด์จากอังกฤษ
และจาร์ดีนแมททีสันแห่งฮ่องกง
ตรงข้ามกับผู้ประกอบการชาวอาหรับคนอื่นๆ กิจการของโอเลยันรุ่งเรืองขึ้นก่อนที่จะเลิกวิกฤตการณ์น้ำมันโลกขึ้นราคา
ซึ่งมีผลทำให้ซาอุดีฯ กลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ร่ำรวยที่สุดในโลก พลิกสภาพจากประเทศที่ยากจนข้นแค้น
ก่อนหน้าที่โอเปกจะมีอำนาจเข้าควบคุมราคาน้ำมันในกลางทศวรรษ 1970 โอเลยันก็ได้มีกิจการลงทุนในต่างประเทศอยู่หลายแห่งนอกเหนือไปจากธุรกิจในซาอุดีฯ
ซึ่งมีเครือข่ายกว้างขวางอยู่แล้วและผลจากการขึ้นราคาน้ำมันของกลุ่มโอเปกทำให้ราคาน้ำมันในประเทศผู้บริโภคสูงถึง
4 เท่าในชั่วคืนเดียว ซึ่งส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินทั้งในและนอกประเทศที่ร่วมลงทุนกว่า
50 แห่งของกลุ่มโอเลยันมีราคาสูงขึ้นเป็นทวีคูณ
ที่สำคัญในระยะยาวยิ่งกว่าทรัพย์สินในปัจจุบันของเขานั่นก็คือความสามารถที่จะประสานเอาวัฒนธรรม
และเชื้อชาติที่แตกต่างกันกว่า 30 แบบ ไปผสมเข้ากันในหน่วยงานที่จะต้องคงอยู่ต่อไปอีกนานเท่านาน
เมื่อเขาตายจากไป และตรงข้ามกับมิตรสหายชาวอาหรับของเขา ซึ่งส่วนใหญ่จะถือสิทธิในการควบคุมและตัดสินใจธุรกิจของตนและไม่ยอมที่จะให้มีการสูญเสียเนื่องจากค่าใช้จ่ายใดๆ
เกิดขึ้น แต่โอเลยันกลับพลิกหลักการนี้เสีย โดยกว่า 3 ทศวรรษมาแล้วที่เขาพยายามที่จะนำเอาหลักการบริหารแบบตะวันตกมาใช้
มีการมอบอำนาจให้แก่ผู้แทนของหน่วยงาน และค่อยๆ มอบโอนอำนาจการตัดสินใจให้กับคณะผู้บริหาร
ซึ่งในปัจจุบันได้ทำหน้าที่จัดการกิจการของบริษัททั้งหมด
คณะผู้บริหารจะทำหน้าที่ตัดสินใจโดยไม่ต้องคอยฟังเสียงของเขามากนัก เว้นแต่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
อาทิ การลงทุนใหญ่ๆ และการใช้จ่ายขนาดใหญ่
"กลุ่มโอเลยัน มีอะไรที่พิเศษอยู่" นักการทูตสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางตั้งข้อสังเกต
"เพราะ แม้แต่ในโลกตะวันตกก็รู้สึกว่าเป็นการยากที่จะเห็นธุรกิจเอกชนที่เจ้าของจะมอบโอนอำนาจการบริหารให้กับคณะผู้บริหารอย่างเด็ดขาด"
เพื่อที่จะเป็นไปตามแบบฉบับอันอ่อนน้อมถ่อมตนของโอเลยัน ดังนั้นจึงมักไม่ค่อยมีการเปิดเผยเกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สินของกลุ่มโอเลยัน
รวมทั้งยอดขายและกำไร "ยิ่งเรื่องนี้รู้สึกว่าจะสวนทางกับขนบธรรมเนียมของเราที่จะเปิดเผยรายละเอียดด้านการเงิน"
คำพูดนี้เป็นข้อสังเกตของ นายโซเรียนี่ นักกฎหมายจากฮาร์วาร์ด วัย 41 ปี
ประธานบริษัท OICE ของโอเลยันซึ่งจดทะเบียนใน LIECHIENSTEIN อันมีบริษัทแกนอยู่ในเอเธนส์
ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมกิจการของกลุ่มโอเลยันทั้งหมด
"ถ้าหากเราจะบอกว่าทรัพย์สินทั้งหมดของเรามีมูลค่าสักเท่าใด มันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องโม้จนแทบไม่น่าเชื่อเสียมากกว่า"
อีคราบ ไฮจาซิ อายุ 44 ปี รองประธานบริษัท หัวหน้าฝ่ายการเงินของ OICE กล่าวเสริม
เขาเกิดในปาเลสไตน์ และขณะนี้ถือสัญชาติเลบานอน
ทั้งไฮจาซิและไซเรียนี่ มักจะเลี่ยงที่จะให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับจำนวนมูลค่าทรัพย์สินของโอเลยัน
ทั้งคู่มักจะปฏิเสธรายงานที่กล่าวว่ามูลค่าทางธุรกิจในซาอุดีอาระเบียของโอเลยันมีกว่า
1 พันล้านดอลลาร์ ต่อปี "เป็นการคาดคะเนที่ห่างจากความจริงมาก"
จากการประเมินโดยอาศัยหลักการทางวิชาการ จะได้ตัวเลขว่ากลุ่มโอเลยันทำกำไรอยู่ประมาณ
10% - 15% ของยอดขาย 750 ล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว ทำให้กลุ่มโอเลยันติดอันดับอยู่ในกลุ่มธุรกิจชั้นนำของซาอุดีฯ
ในทำนองเดียวกัน ไซเรียนี่ก็ปฏิเสธเกี่ยวกับจำนวนทรัพย์สินของตระกูลโอเลยัน
ซึ่งนิตยสารการธนาคารของสหรัฐฯ ชื่อ INSTITUTIONAL INVESTOR ได้ประมาณไว้ว่ามีมูลค่า
2 พันล้านดอลลาร์ โดยอาศัยข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับพันธบัตรรวมทั้งที่ดินและบริษัทต่างๆ
ในสหรัฐฯ
"พวกเราค่อนข้างจะเป็นนักลงทุนที่ค่อนข้างจะอนุรักษนิยมอยู่สักหน่อย"
ไฮจาซิกล่าวพร้อมกับชี้ให้เห็นถึงทรัพย์สินที่ถือครองอยู่ในรูปพันธบัตรและที่ดิน
ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ รวมทั้งการลงทุนในกิจการธนาคาร สถาบันการเงิน
บริษัทที่ทำกิจการเกี่ยวกับพลังงานอิเล็กทรอนิกส์ โทรคมนาคม กิจการที่ใช้เทคนิคชั้นสูงตลอดจนถึงธุรกิจด้านการอุตสาหกรรม
และการขายบริการ
เพื่อที่จะเพิ่มพูนรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ โอเลยันจึงใช้วิธีการลดการเสียภาษีในช่วงทศวรรษ
1950
OICE ซึ่งเป็นบริษัทแกนของกลุ่มโอเลยัน จึงได้แตกออกเป็นสำนักงานจดทะเบียนกระจายอยู่ทั่วโลกเพื่อลดภาระภาษี
"เราภูมิใจในวิธีการนี้มาก" ไซเรียนี่กล่าวโอ้อวด "แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของเรา"
โอเลยันเน้นการติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ ของกิจการทั้งหมดอย่างใกล้ชิด
และชี้ให้เห็นว่าธุรกิจของเขาขณะนี้ในต่างประเทศสามารถให้ผลกำไรได้พอๆ กับธุรกิจที่ลงทุนในตะวันออกกลางทีเดียว
การลงทุนอย่างมหาศาล
กลุ่มโอเลยันนับว่ามีอำนาจอย่างสูงในวงการธุรกิจใน ซาอุดีอาระเบีย และได้รับผลกำไรจากการค้า
การก่อสร้าง การขนส่ง อุตสาหกรรมขนาดเบา การเกษตรและการให้บริการ เช่น การทำธุรกิจประกันภัย,
การดำเนินธุรกิจบริการด้านสุขภาพ การท่องเที่ยว และธุรกิจที่ดิน ซึ่งดูซับซ้อน
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอาวุธที่จดทะเบียนอยู่ในไลบีเรีย
สาขาสำคัญๆ ของกลุ่มโอเลยัน มีอาทิ OLAYAN SAUDI HOLDING COMPANY (OSHCO)
OLAYAN FINANCING COMPANY (OFC) สำหรับ OSHCO ซึ่งเป็นบริษัทแกนของกลุ่มดำเนินงานค้าขายอาวุธ
และเป็นผู้แทนจำหน่ายสิ่งอุปโภคบริโภค ทั่วซาอุดีฯ มีสาขาย่อย 8 แห่ง ซึ่งดำเนินงานเฉพาะอย่างและขายตั้งแต่
อาหาร เครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ รถยนต์ รถบรรทุก จนถึงสิ่งของที่ใช้กับโรงพยาบาลและเครื่องใช้สำนักงาน
OFC มีภาระในการบริหารกิจการที่ลงทุนอีกกว่า 50 แห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเกษตรกรรม
โครงการอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการขายบริการ
กาลีด โอเลยัน ผู้บุตรอายุ 37 ปี ซึ่งเป็นประธานบริษัท OSHCO ได้ยกความสำเร็จของการดำเนินงานให้กับผู้บิดา
ซึ่งได้เหน็ดเหนื่อยฝ่าฟันในการริเริ่มใช้ระบบการจัดรูปองค์กรทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
กาลีดให้ข้อสังเกตว่า ในต้นทศวรรษ 1950 "ซึ่งเป็นช่วงที่แนวคิดในการจัดระบบบริหารยังไม่เป็นที่รู้จักกันในประเทศนี้
บิดาของข้าพเจ้าสามารถทำให้บริษัทของเราดำเนินงานจนมีผลกำไร"
ซาอัด อัล-อาร์จานี ประธานบริษัท OFC ซึ่งได้เคยทำงานกับ ARAMCO มาแล้ว
20 ปีก่อน ที่จะเข้าทำงานในเครือของโอเลยันเมื่อ 4 ปีที่แล้ว กล่าวถึงเมื่อครั้งได้รับบทเรียนที่ได้จาก
แนวคิดของโอเลยันที่จะสามารถดำเนินกิจการของธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยยึดระบบการบริหารงานมากกว่าที่จะยึดตัวบุคคล
"ผมกำลังอยู่ในต่างประเทศเป็นเวลา 3 เดือน เมื่อตอนได้รับการร้องขอให้เดินทางมาที่สำนักงานของโอเลยันเพื่อพบกับโอเลยันเป็นครั้งแรก"
คำแรกที่ผมพูดกับเขาก็คือ "ผมภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มาทำงานกับท่าน แต่โอเลยัน
กล่าวตอบว่า "ซาอัด จงอย่าทำงานให้กับฉัน หากแต่ทำให้กับบริษัทแห่งนี้"
"เท่าที่ผ่านมาการที่กลุ่มโอเลยันสามารถที่จะดำเนินการลงทุนใดๆ จนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีแทบทุกครั้งนั้น
เป็นผลมาจากการวิเคราะห์โครงการอย่างรอบคอบของบรรดาผู้บริหารชั้นสูงของกลุ่มเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการ
รวมทั้งพันธกรณีเพื่อดำเนินโครงการให้ลุล่วงไปในระยะยาว ทุกๆ ปี OFC จะพิจารณาโครงการลงทุน
ประเภทต่างๆ กว่า 50 โครงการ แต่มีไม่ถึง 10% ที่สามารถผ่านการกลั่นกรองจนนำไปดำเนินการได้"
อัด-อาร์จานี กล่าว
ทุกหน่วยงานและทุกโครงการ ภายใต้กลุ่มโอเลยันจะดำเนินกิจกรรมไปโดยอิสระ
การดำเนินงานด้านการเงินจะอาศัยคำแนะนำซึ่งจัดทำและสั่งการลงมาเป็นรายวัน
รายสัปดาห์ รายเดือน โดยคณะกรรมการบริหาร "ไม่ว่าจะเป็นบริษัทซึ่งกลุ่มโอเลยันจะเป็นผู้ถือหุ้น
20% หรือ 100% ก็ตาม เป้าหมายของเราก็คือให้บริษัทนั้นๆ สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง"
ไซเรียนี่ย้ำ "เราปรารถนาให้บริษัทในเครือเหล่านี้มีรายได้ และนำไปสร้างความเจริญเติบโตให้กับตนเอง"
สำหรับบริษัทที่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินมาดำเนินงาน "จะเห็นว่า อัตราส่วนระหว่างหนี้สินกับทรัพย์สินจะเป็น
1/1 และอย่างที่แย่ๆ ก็ไม่เกิน 2/1"
สำหรับข้อกล่าวหาที่ว่า โอเลยันได้ถ่ายเทผลกำไรที่ได้จากการดำเนินภายในซาอุดีฯ
เพื่อไปใช้ในการลงทุนในต่างประเทศนั้น "นับว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง"
ไซเรียนี่ ให้คำตอบอย่างแข็งกร้าวต่อคำถามประเภทนี้ "ความจริงก็คือบริษัทของเราในซาอุดีฯ
ไม่ได้ให้ผลกำไรกับเรามากนัก จึงเห็นได้ว่าไม่สามารถกระทำเช่นนั้นได้"
ในขณะเดียวกับที่ได้รับคำชมว่าโอเลยันเป็นคนมีเมตตากรุณานั้น โอเลยันจะกลายเป็นคนเลือดเย็นอย่างยิ่งเมื่อต้องตัดสินปัญหาด้านธุรกิจ
"ผมไม่เคยเห็นว่า โอเลยันจะใช้อารมณ์ใดๆ ในการตัดสินใจทางธุรกิจสักครั้ง"
ไฮจาซิ หัวหน้าฝ่ายการเงินของโอเลยันกล่าว "ถ้าหากมูลค่าของธุรกิจที่ลงทุนลงไปเกิดตกต่ำลง
โอเลยันจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่สามารถหาผลประโยชน์จากหุ้นราคาต่ำนี้ได้ เขายึดมั่นอยู่ในความคิดที่ว่าธุรกิจนั้นๆ
เป็นการลงทุนที่ดีมีประโยชน์ ซึ่งจะยอมให้ราคาของหุ้นขึ้นๆ ลงๆ ในตลาดหุ้นตามแต่จะมีคนปั่นไม่ได้"
ใช้ระบบคุณธรรมไม่ใช้ระบบอุปถัมภ์
ในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้งเครือข่ายธุรกิจโอเลยันจึงมั่นใจได้ว่า จะไม่มีความลำเอียงใดๆ
ในการแต่งตั้งผู้สืบต่อจากเขา ซึ่งในขณะนี้มีแนวโน้มว่าคงจะได้แก่บุตรชายคนเดียวของเขา
กาลีด โอเลยัน
อย่างไรก็ตาม ตรงข้ามกับธุรกิจของอาหรับโดยทั่วๆ ไป รวมทั้งธุรกิจของเอกชนในโลกตะวันออก
โอเลยันมิได้คิดว่าตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มโอเลยันจะต้องเป็นของตระกูล
"ใครก็ตามที่จะรับตำแหน่งต่อจากผมจะต้องมีคุณค่าพอที่จะรับตำแหน่งนี้ได้"
โอเลยันกล่าว "และกาลีดก็ทราบเรื่องนี้ดี เพราะเขาเป็นผู้หนึ่งซึ่งนำแนวความคิดที่ว่า
เขาจะต้องแข่งขันในการทำงานกับผู้อื่น เพื่อความก้าวหน้าในตำแหน่งการงาน"