Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2527








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2527
โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร             
 


   
www resources

โฮมเพจ เครือเจริญโภคภัณฑ์
โฮมเพจ ธนาคารไทยพาณิชย์
โฮมเพจ ธนาคารกรุงเทพ
โฮมเพจ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

   
search resources

เครือเจริญโภคภัณฑ์
ธนาคารไทยพาณิชย์, บมจ.
ธนาคารกรุงเทพ, บมจ.
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร - ธ.ก.ส.
Agriculture
ธนาคารไทยพาณิชย์
ธนาคารกรุงเทพ
Loan




ชาวนาหรือเกษตรกรที่ได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ จำนวนเกินกว่าครึ่งของประชากรของประเทศ เกษตรกรเหล่านี้ทำการเพาะปลูกบนพื้นแผ่นดินนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษสืบทอดมาจนถึงลูกหลาน ตั้งแต่ผืนดินทำกินที่กว้างใหญ่จนแทบไม่มีที่จะทำกินในปัจจุบัน

ทำไมเกษตรกรของชาติเหล่านี้จึงได้เจริญลง?

ปัญหาหนึ่งเพราะเกษตรกรเหล่านี้ขาดความรู้ในด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อนำมาใช้ในการเพาะปลูก สภาพดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนแปลงก็ไม่เอื้ออำนวย

และประการสุดท้ายในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับแรกๆ มุ่งส่งเสริมงานอาชีพภาคอุตสาหกรรมให้เจริญก้าวหน้ามากกว่าภาคเกษตรกรรม ทำให้เกษตรกรเหล่านี้ต้องหันมาประกอบอาชีพด้านอุตสาหกรรมด้วยการมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ เพื่อทำงานตามโรงงานต่างๆ ผลก็คือทำให้กรุงเทพฯ มีประชากรหนาแน่นเกินไปกลายสภาพเป็นแหล่งเสื่อมโทรม เกิดปัญหาสังคมและอาชญากรรมก็เพิ่มมากขึ้น

รัฐบาลมิได้นิ่งนอนใจพยายามคิดหาวิธีที่จะช่วยเหลือเกษตรกรเหล่านี้ เป็นต้นว่าศึกษาโครงการ "คิบุช" จากประเทศอิสราเอล ที่สามารถเนรมิตทะเลทรายให้เป็นป่า หรือผืนดินที่สามารถทำการเกษตรได้ เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาภาคอีสานของไทย ซึ่งมีสภาพแห้งแล้งเหมือนประเทศอิสราเอล

แต่โครงการนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะขาดปัจจัยด้านเงินทุน เนื่องจากจะต้องใช้เงินทุนมากในการเปลี่ยนแปลงพื้นดิน

จนในปี 2517 รัฐบาลเล็งเห็นว่าแหล่งเงินทุนต่างๆ คือธนาคารควรจะมีส่วนร่วมรับผิดชอบและพัฒนาประเทศบ้าง แทนที่ธนาคารจะปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจอื่นๆ นั้นจึงให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งต้องอำนวยสินเชื่อเพื่อการเกษตรในปริมาณ 5% ของปริมาณเงินสินเชื่อทั้งหมด และในปี 2518 ก็ได้ปรับปรุงให้ทุกธนาคารต้องอำนวยสินเชื่อเพื่อการเกษตร 7-15% ของปริมาณเงินฝาก และการอำนวยสินเชื่อทางภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นปีละ 2% จนกว่าจะถึง 15% ซึ่งในแต่ละปีถ้าธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้หมด ก็จะต้องนำเงินที่เหลือไปฝากกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก เพื่อ ธกส. จะนำไปปล่อยสินเชื่อให้กับเกษตรกร

การปล่อยสินเชื่อนั้นต้องพิจารณาด้วยว่าเกษตรกรเหล่านี้มีฐานะมั่นคงพอไหม? มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองพอที่จะนำมาค้ำประกันได้ไหม? มีความสามารถในการเพาะปลูกไหม? ฯลฯ

ปัญหาเหล่านี้เองจึงทำให้ธนาคารไม่กล้าที่จะปล่อยสินเชื่อให้การเกษตร เพราะจะหาเกษตรกรที่มีที่ดินเป็นของตนเองสักกี่คน หรือถ้าให้กู้แล้วเกษตรกรไม่มีความรู้ในด้านเพาะปลูก ผลผลิตที่ได้ไม่พอที่จะใช้หนี้คืนแก่ธนาคารหรือถ้าเพาะปลูกแล้วนำผลผลิตไปขายก็ถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาอีก

แต่ถ้าธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อทางเกษตรก็ไม่ได้อีกเช่นกัน! เพราะกฎหมายวางกรอบเอาไว้

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการธนาคารนั้น ในแต่ละปีต้องปล่อยสินเชื่อเป็นจำนวนมาก เช่นในปี 2517 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นการปล่อยสินเชื่อนั้น ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อเป็นจำนวนเงิน 273.5 ล้านบาท จนถึงปี 2526 ธนาคารต้องปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวเป็นเงิน 10,560 ล้านบาท

เดิมทีธนาคารกรุงเทพร่วมมือกับบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ทำโครงการเกษตรกรรมกึ่งสมบูรณ์แบบขึ้น โดยจะคัดเลือกเกษตรกรที่มีฐานะปานกลางขึ้นไป ซึ่งมีที่ดินทำกินเป็นของตนเองไม่น้อยกว่า 5 ไร่ ธนาคารจะให้เงินกู้เพื่อทำการเลี้ยงไก่หรือสุกร และเพื่อเป็นการประกันว่าเกษตรกรเหล่านี้จะสามารถทำการเพาะปลูกได้ตลอดรอดฝั่ง บริษัทเจริญโภคภัณฑ์จึงรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้เกษตรกร โดยจะสอนเทคโนโลยีและวิชาการใหม่ๆ ในการเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนเป็นผู้รับซื้อผลิตผลจากเกษตรกรเหล่านี้ด้วย

แต่จะมีเกษตรกรสักกี่คนที่มีที่ดินเป็นของตนเอง ส่วนมากเกือบ 90% ของเกษตรกรที่มีอยู่ต้องเช่าที่ทำกินทั้งนั้น

เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว จึงได้เกิดโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมสมบูรณ์แบบขึ้นมา โดยได้รับความร่วมมือจาก 4 ฝ่าย คือธนาคารกรุงเทพ รัฐบาล บริษัทเอกชน และเกษตรกร

เอกชนในที่นี้ก็คือบริษัทเจริญโภคภัณฑ์

ถ้าธนาคารกรุงเทพ เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการธนาคาร

บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ก็ต้องเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเกษตรกรรมเหมือนกัน

บริษัทเจริญโภคภัณฑ์หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในนาม ซีพี ทำธุรกิจตั้งแต่ด้านเกษตรกรรม (ผลิตข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง มัน) โรงงานอาหารสัตว์ เครื่องมือเกษตรและยาฆ่าแมลง เลี้ยงไก่ สุกร เป็ด ปลา โรงงานทอพรมและทอผ้า และธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ซีพี มีบริษัทในเครือทั้งสิ้นเกือบร้อยกว่าบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ

เจริญโภคภัณฑ์สามารถผลิตไก่ทั้งหมด 55% ของจำนวนผลผลิตได้ทั้งหมดของประเทศนอกจากนี้ยังผลิตอาหารสัตว์ได้ 40% ของจำนวนที่ผลิตได้ และผลิตหมูได้อีก 40%

เมื่อยักษ์กับยักษ์จับมือร่วมกันทำโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมสมบูรณ์แบบขึ้นมา จึงเกิดเป็นหมู่บ้านโครงการนี้ทั้งหมด 4 แห่ง โดยเริ่มด้วยหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ในเดือนมกราคม 2521 พอปลายปีนั้นก็ตามติดมาด้วยหมู่บ้านเกษตรกรรมทรายขาว หมู่บ้านตะเคียน และคลอง 13 ธนาคารกรุงเทพได้ดำเนินการร่วมกับบริษัทวังน้ำฝน

โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมสมบูรณ์แบบทั้ง 7 แห่งนี้มีหลักการที่ปฏิบัติหลายประการ

ประการแรก จัดซื้อที่ดินขนาดใหญ่ที่รกร้างเพื่อนำมาปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์แบบ แล้วจัดสรรที่ดินนั้นให้กับเกษตรกรที่ธนาคารคัดเลือกเข้ามาอยู่

อำนวยสินเชื่อ เพื่อการลงทุนให้เกษตรกรตามความต้องการ และตามความจำเป็น รวมทั้งการจัดสร้างบ้านพักที่อยู่อาศัยและโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ให้

จัดการอบรมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีวิทยาการสมัยใหม่เกี่ยวกับการเกษตร ทั้งด้านการเพาะปลุกและเลี้ยงสัตว์

ให้หลักประกันรายได้ที่แน่นอนกับเกษตรกรทุกเดือน ซึ่งแต่ละครอบครัวจะมีรายได้ขั้นต่ำประมาณ 2,500 บาทต่อเดือน

และประการสุดท้าย ส่งเสริมบริษัทธุรกิจการเกษตรเข้ามารับผิดชอบในการจัดการดำเนินงานควบคุมการผลิต และจำหน่ายผลิตผลที่ได้

หน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่มีต่อโครงการเหล่านี้ก็แตกต่างกันออกไป

ภาครัฐบาลรับหน้าที่ดูแลสาธารณูปโภคและรักษาความปลอดภัยให้แก่สมาชิกของโครงการ

ส่วนธนาคารกรุงเทพก็รับหน้าที่ปล่อยสินเชื่อ ควบคุมการบริหารการเงิน คัดเลือกเกษตรกร และติดตามประเมินผลของโครงการ

สำหรับกลุ่มธุรกิจเอกชน คือ ซีพีและบริษัทวังน้ำฝน ก็รับหน้าที่ตามถนัด คือจัดสอนวิธีการเกษตรที่ถูกหลักวิชาการ จัดหาวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนพันธุ์พืชและสัตว์ให้แก่สมาชิกในโครงการ และจัดการด้านการตลาดเพื่อนำผลผลิตจากโครงการไปขาย

ฝ่ายสุดท้ายคือเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ มีหน้าที่เป็นฝ่ายผลิตโดยไม่ต้องเสียเงินทุนเข้าร่วมโครงการสักบาทเดียว แต่จะต้องเอาแรงกายมาช่วยกันสร้างผลผลิตออกมา

เกษตรกรเหล่านี้จะต้องมีคุณสมบัติคือ ยากจนแต่ขยัน และมีความประพฤติดี

เกษตรกรในแต่ละโครงการจะได้เป็นเจ้าของที่ดินไม่ต่ำกว่า 15 ไร่ ซึ่งจะทำการโอนให้หลังจากหมดโครงการแล้ว ที่ดินที่รับผิดชอบนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกซึ่งเป็นที่ดินจำนวนมากของแต่ละครอบครัวจะมารวมกันเป็นที่ดินผืนใหญ่เพื่อทำการเพาะปลูกข้าวและข้าวโพด ซึ่งในส่วนนี้ทุกครอบครัวจะต้องมาช่วยกันลงแรงทำ

ส่วนที่เหลืออีกเล็กน้อยจะเป็นที่ส่วนตัวสำหรับปลูกบ้าน ขุดบ่อเลี้ยงปลาสวาย ทำโรงเลี้ยงสุกร และปลูกพืชผักต่างๆ เป็นรายได้เฉพาะครอบครัว

สำหรับเรื่องรายได้นั้นจะขึ้นอยู่กับความขยันของเกษตรกร มีการประกันรายได้ขั้นต่ำหลังจากหักเงินต้นและดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายแล้วเหลือครอบครัวละไม่ต่ำกว่า 2,500 บาท

รายได้เหล่านี้มาจากการขายสุกรและข้าวโพดที่เกษตรกรทุกครอบครัวช่วยกันผลิตขึ้นมา

นอกจากนี้ เกษตรกรแต่ละครอบครัวจะมีรายได้ส่วนตัวจากผลผลิตในที่ดินส่วนตัว ซึ่งเลี้ยงปลาสวายและปลูกพืชต่างๆ ซึ่งถ้าครอบครัวใดขยันไม่ปล่อยให้พื้นดินว่างโดยเปล่าประโยชน์เขาก็จะ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากรายได้ประจำอีกจำนวนหนึ่ง

ระยะแรกของการดำเนินงานนั้นจะเป็นการเร่งรัดการสอนเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านการเกษตรให้แก่เกษตรกรเพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น

หลังจากนั้นก็จะเริ่มสอดแทรกแนวความคิดในการเป็นเจ้าของความรู้ด้านธุรกิจการเกษตร ระบบการตลาด เรื่องต้นทุน ตลอดจนการตัดสินใจในปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เกษตรกรสามารถดำเนินการธุรกิจเกษตรได้เองภายหลังจากที่สามารถปลดหนี้สินของโครงการได้หมดแล้ว

สำหรับผลตอบแทนที่ทุกฝ่ายจะได้รับจากโครงการนี้ เริ่มต้นจากธนาคารกรุงเทพก็สามารถปล่อยสินเชื่อทางเกษตรออกไปได้ตามที่รัฐบาลกำหนด และก็ยังมีผลดีเพราะบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเจริญโภคภัณฑ์เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้นี้ จึงมั่นใจได้แน่นอนว่าจะได้เงินคืนเต็มเม็ดเต็มหน่วยทั้งต้นและดอก

สิ่งที่รัฐบาลจะได้ก็คือสามารถทำให้ประชาชนยากจนกลุ่มหนึ่งมีความเป็นอยู่ดีขึ้น มีผลทางอ้อมคือ ช่วยลดปัญหาอาชญากรรมลงด้วย

ด้านกลุ่มเกษตรกรนั้นก็จะได้เป็นเจ้าของที่ดินครอบครัวละไม่ต่ำกว่า 15 ไร่ (ขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการ) และคาดกันว่าเมื่อหมดจากโครงการนี้แล้ว ก็จะมีการจัดตั้งสหกรณ์หรือกลุ่มเกษตรกรขึ้นเพื่อปกครองดูแลผลประโยชน์ของโครงการแทนบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ และวังน้ำฝน

ส่วนบริษัทโภคภัณฑ์และบริษัทวังน้ำฝนนั้น ผลที่ได้ก็คือ สามารถขยายพันธุ์สัตว์และพืช อุปกรณ์การเลี้ยง อาหารสัตว์ หัวอาหาร และยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทให้แก่โครงการโดยได้รับเงินที่แน่นอนกว่าเกษตรกรธรรมดา เพราะบริษัทเป็นผู้ควบคุมการเงินของโครงการด้วย จึงตัดปัญหาการเบี้ยวเงินไปได้

ส่วนหลังจากหมดโครงการแล้วเกษตรกรของโครงการมีสิทธิที่จะเลือกทำธุรกิจกับ 2 บริษัทนี้อีกต่อไปหรือไม่ก็ได้ ซึ่งบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ก็มั่นใจว่าเกษตรกรเหล่านี้คงจะเลือกทำธุรกิจกับบริษัทของตนต่อไป

โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมเหล่านี้เป็นโครงการใหม่ และมีขนาดใหญ่ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนมากพอสมควร ดังนั้น การดำเนินการจึงต้องกับอุปสรรคนานาประการ

ปัญหาแรกที่ต้องพบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั้นคือ ปัญหาคน ซึ่งเป็นเกษตรกรที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาร่วมโครงการ เป็นการยากที่จะนำคนที่มีการศึกษาเพียงประถม 4 และมาจากพื้นเพครอบครัวต่างกัน ไม่เคยอยู่ในกฎระเบียบมาก่อน ให้มาอยู่ร่วมกันภายใต้กฎเกณฑ์ของสังคมใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย ซึ่งในแต่ละโครงการนั้นก็ได้รับความสำเร็จพอสมควร เกษตรกรทุกครอบครัวสามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ได้ ทุกคนรู้ว่าหน้าที่ของแต่ละคนนั้นมีอะไรบ้าง

แต่ก็ยังมีบางโครงการซึ่งมีปัญหาเกิดขึ้นนั่นคือโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมทรายขาว ซึ่งได้เริ่มโครงการขึ้นในปี 2523 เนื่องจากธนาคารกรุงเทพเห็นว่าเป็นปีคนพิการสากล จึงต้องการจะช่วยเหลือทหารผ่านศึกของไทยที่พิการเนื่องจากไปรบเพื่อชาติ แล้วต้องมาเป็นปัญหาต่อครอบครัวและสังคม ทหารผ่านศึกเหล่านี้จึงหันไปหาสุราและยาเสพติด

ทหารผ่านศึกที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการหมู่บ้านทรายขาว บางคนไม่ยอมทำมาหากินแต่กลับไปมั่วสุมอบายมุขกัน ทำให้ผลผลิตส่วนรวมลดน้อยลงไป จึงต้องมีการเจรจาตกลงกันใหม่ ซึ่งผลก็คือมีการเชิญบางครอบครัวที่ไม่สามารถปฏิบัติตามกฎออกไป

ปัญหาอีกประการหนึ่งคือความไม่แน่นอนของธรรมชาติ แม้จะมีการสำรวจหาแหล่งน้ำและนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเพาะปลูกแล้วก็ตาม แต่บางครั้งก็เกิดความแห้งแล้งขึ้นมาโดยคาดไม่ถึงเหมือนกัน เช่น หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าซึ่งแต่แรกได้มีการสำรวจพบตาน้ำ มีการเก็บกักน้ำได้เรียบร้อยแต่เกิดปัญหารถสิบล้อที่วิ่งเข้าหมู่บ้านประจำนั้นทำให้ดินแน่น เลยไปปิดทางเดินของน้ำ ทำให้ตาน้ำแห้งไม่มีน้ำใช้ในการเพาะปลูก

และปัญหาสำคัญที่สุดที่ทุกคนต้องการจะทราบ คือการจัดการด้านการตลาด

จุดประสงค์สำคัญในการจัดตั้งโครงการนี้เพื่อยกฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้ดีขึ้น ให้เกษตรกรของโครงการสามารถยืนด้วยลำแข้งของตนได้ ดังนั้น นอกจากจะมีการสอนด้านการผลิตแล้ว ยังมีการสอนธุรกิจด้านการตลาดไปด้วย แต่ผลปรากฏออกมาว่าบ้านหนองหว้าซึ่งครบกำหนดเวลาแล้ว แต่ยังไม่สามารถดำเนินธุรกิจด้านการตลาดเองได้

" มันเป็นการยากที่จะสอนชาวนาที่จบ ป.4 ให้รู้เรื่องการตลาด ระบบราคาเหล่านี้ เพราะตลาดพวกนี้เป็นตลาดของผู้ที่มีเงินทุนมหาศาลและต้องมีอิทธิพลด้วย เกษตรกรเหล่านี้ถ้าคิดแล้วก็เป็นผู้ผลิตรายย่อยเท่านั้น ไม่มีโอกาสเรียกร้องอะไรได้เลย แต่ก็พยายามสอนพวกเขาให้มากที่สุด แม้ว่าจะหมดโครงการแล้วก็ตาม เราก็ยังต้องเป็นพี่เลี้ยงพวกเขาต่อไป ซึ่ง พวกเขาก็รู้ปัญหานี้และยินดีจะร่วมงานกับเราต่อไปด้วย" เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งของโครงการเล่าให้ "ผู้จัดการฟัง"

อีกเรื่องหนึ่งที่ยังเป็นที่สงสัยสำหรับหลายท่านที่สนใจเรื่องนี้คือ ตอนนี้โครงการหมู่บ้านหนองหว้าครบกำหนดเวลา ตามสัญญาจะต้องมีการโอนที่ดินให้แก่เกษตรกร แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการโอน

สาเหตุของเรื่องนี้มีแหล่งข่าวผู้หนึ่งเล่าว่า "ที่ดินโครงการหนองหว้าอยู่ในเขตหลังแดง ซึ่งมีกฎหมายห้ามมีการจำหน่ายจ่ายโอน ในเวลา 10 ปี ตอนนี้ แม้จะครบสัญญาแล้ว ก็ยังไม่สามารถโอนให้แก่เกษตรกรได้ แต่เรามีการวิ่งเต้นกับทางราชการขอให้มีการลดหย่อนให้เราสามารถโอนที่ได้"

"ผู้จัดการ" ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโครงการ หมู่บ้านเกษตรกรรม กำแพงเพชร ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากบริษัทเจริญโภคภัณฑ์และเกษตรกร หลังการเลี้ยงอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นรถขนสุกรและพบปะพูดคุยกับชาวบ้านของโครงการ มีชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเดือนนี้มีเกษตรกรบางคนมีรายได้ถึงหมื่นกว่าบาท จากการสังเกตทั่วไปแล้วแต่ละครอบครัวดูมีความสุขดี ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส สภาพความเป็นอยู่นั้น แต่ละครอบครัวจะมีบ้านเป็นของตนเอง ภายในบริเวณพื้นที่ 5 ไร่ จะขุดบ่อเลี้ยงปลาสวายและปลูกพืชผักสวนครัว โรงเลี้ยงสุกรสร้างอย่างถูกสุขลักษณะ สุกรแต่ละตัวมีขนาดใหญ่มาก เพราะได้รับการเลี้ยงอย่างถูกหลักวิชาการและมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้าช่วย ภายในหมู่บ้านจะมีอาคารสำนักงาน สโมสรและร้านขายของสหกรณ์

อย่างไรก็ตาม แม้จะยังมีอีกหลายคนที่ยังมีข้อกังขาสงสัยต่อโครงการเหล่านี้ก็ตาม แต่ก็นับได้ว่าเป็นโครงการที่ให้ประโยชน์มากสำหรับเกษตรกร เพราะจากคนที่ไม่มีอะไรเลยก็สามารถสร้างหลักฐานได้ภายในระยะเวลาเพียง 10 ปี มีที่ดิน มีบ้าน ลูกหลานได้รับการศึกษา และมีรายได้ที่แน่นอน ดังนั้น ถ้าหากหน่วยงานทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลจะสนับสนุนให้เผยแพร่ไปยังพื้นที่เกษตรอื่นๆ ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยซึ่งเป็นกระดูกสันหลังที่ผุๆ ของชาติเหล่านี้ให้มีโอกาสลืมตาอ้าปากกับเขาได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะต้องพบกับอุปสรรคในการทำงานหลายต่อหลายอย่างก็ตาม แต่ถ้าทุกฝ่ายมีความบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจจริงๆ ที่จะทำงานเพื่อเกษตรกรตามหลักการที่ได้ตั้งไว้แล้ว เชื่อว่าความสำเร็จคงไม่หนีไปไหนแน่

เมื่อถึงเวลานั้น เราคงจะได้พบกับมาดใหม่ที่สดใสของเกษตรกรกัน!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us