ความจริงถ้าจะวัดกันว่า วิโรจน์ ภู่ตระกูล เป็น "ผู้จัดการ"
ที่เก่งหรือไม่ก็ต้องบอกว่า เก่ง !
เพราะถ้าไม่เก่งก็คงจะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคนไทยคนแรกที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทลีเวอร์บราเดอร์ส
ในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีขนาดใหญ่เอาการบริษัทหนึ่ง
แต่ถ้าว่ากันไปแล้ว ก็ต้องให้เครดิตบริษัทยูนิลีเวอร์ ที่มีนโยบายส่งเสริมให้คนแต่ละชาตินั้น
ได้ขึ้นไปสู่ตำแหน่งที่สูงที่สุดเท่าที่ความสามารถเขาจะมีได้
ถ้าจะวัดกันว่า วิโรจน์ ภู่ตระกูล เป็น "ผู้จัดการ" แห่งปีได้อย่างไร
ก็เห็นจะต้องพิจารณาดูอะไรหลายๆ อย่างประกอบกัน
วิโรจน์เป็นผู้จัดการ เพราะความสามารถ
การเป็นผู้จัดการมืออาชีพจริงๆ นั้น จะสังเกตได้อย่างว่า ส่วนใหญ่แล้วคนที่ประสบความสำเร็จในการเป็น
PROFESSIONAL MANAGER มักจะเป็นคนที่ไม่ได้มีชาติตระกูลเก่าแก่หรือมีครอบครัวที่เป็นเจ้าของกิจการ
จากการที่วิโรจน์ ภู่ตระกูลได้พิสูจน์ความเป็นมืออาชีพในบริษัทข้ามชาติ
และได้ขึ้นมาสู่ตำแหน่งประธานกรรมการในปัจจุบันนั้นแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า
วิโรจน์ ภู่ตระกูลได้ตำแหน่งนี้มาด้วยฝีมือ หรือที่เรียกกันว่า "HE
EARNS IT"หาใช่เพราะโชคช่วยหรือระบบ "เตี่ยอุปถัมป์"ไม่
วิโรจน์ ภู่ตระกูลเป็นคนลำปาง มีเชื้อสายไหหลำ บิดาเป็นเจ้าของโรงเลื่อย
เกิดเมื่อ พ.ศ. 2478
เมื่อเด็กๆ ย้ายไปหลายจังหวัด เพราะอยู่ในช่วงสงคราม แต่มาลงเอยตรงจบมัธยม
6 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ในสมัยที่บราเดอร์เทโอฟาน เป็นอธิการบดีอยู่
คงจะเป็นเพราะเมื่อเด็กๆ ค่อนข้างจะเฮี้ยวเอาการอยู่ หลังจากจบมัธยม 6
แล้ว วิโรจน์จึงไปเรียนต่อที่อังกฤษในปี พ.ศ. 2496
ใช้เวลา 3-4 ปี สอบGCE ได้ แล้วก็เริ่มเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์
(SHEFFIELD) ในสาขาเศรษศาสตร์ โดยใช้เวลาเรียน 3 ปี
พอจบปริญญาตรีใน พ.ศ. 2502 วิโรจน์ก็กลับมาบ้านทันที
ทางบ้านซึ่งฐานะดีก็อยากให้รับราชการ แต่สำหรับเด็กหนุ่มในวัยเพียง 24
ปี ขณะนั้นคิดว่าภาคเอกชนน่าจะดีกว่า อาจจะเป็นเพราะวิโรจน์ในขณะนั้นกำลังมีความรัก
และอยากจะแต่งงาน ก็เลยคิดว่ารับราชการจะไม่พอกิน
วิโรจน์เข้าไปทำงานบริษัทลีเวอร์ในปี 2502 เป็น MANAGEMENT TRAINEEหลังจากจบจากอังกฤษโดยสมัครงามตามประกาศแจ้งความในหน้าหนังสือพิมพ์
ในช่วงนั้นคนรับวิโรจน์คือ เสนาะ นิลกำแหง ซึ่งเป็นกรรมการ และเลขาของ BOARD
ลีเวอร์ ปัจจุบันเสนาะ นิลกำแหง เป็นกรรมการบริษัทเครือซิเมนต์ไทย จำกัด
หลังจากที่ต้องผ่านขั้นตอนของการเป็นเซลส์และการตลาด เป็นหนูทดลองในระบบของลีเวอร์เป็นเวลา
2 ปีแล้ว วิโรจน์ก็ได้เป็นผู้จัดการฝ่ายขายในเขตกรุงเทพฯ
ต่อมาในปี 2509 ก็ได้เป็นผู้จัดการฝ่ายขายทั่วไปแทนฝรั่งชื่อ TED DAVIS
และต่อมาก็เป็นผู้จัดการการตลาดของสินค้าสบู่และผงซักฟอก
ในช่วงอายุประมาณ 35-36 วิโรจน์ถูกเชิญเข้าเป็นกรรมการของ BOARD และเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายในสมัยที่
JARLOV เป็นประธานบริษัท
ในปี 2517 อีกสามปีต่อมา หลังจากที่ได้เข้าเป็นกรรมการ วิโรจน์ก็ถูกเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานดูแลการขายฝ่ายกฎหมายและ
CORPORATE AFFATRS
เรียกได้ว่าเป็นการเตรียมเนื้อเตรียมตัวกระโดดขึ้นไปเป็นประธานบริษัทนั่นแหละ!
เป็นรองประธานได้ 2 ปี ก็ถูกเรียกไปยังสำนักงานใหญ่ในอังกฤษ ให้ทำหน้าที่
OPERATIONS OFFICER ดูแลงานของเครือ UNI-LEVER ใน 10 ประเทศซึ่งมี นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, บังกลาเทศ, อินเดีย, ปากีสถาน, โรดีเซีย, มาลาวี, โคลอมเบีย และเวเนซุเอลา
จากการที่ได้เห็นงานใน 10 ประเทศนี้เป็นเวลาถึง 4 ปี วิโรจน์สรุปได้ว่า
"เป็นโชคและประสบการณ์อย่างมากๆ ที่ผมได้รับ เพราะผมได้มีโอกาสเห็นการประสบความสำเร็จในการทำงานที่เป็นแนวทางให้ผม
และเมื่อมันเกิดขึ้นกับผมทีหลังก็ทำให้ผมรู้สึกเฉยๆ ไม่หลงระเริงไปกับมัน
และผมได้เห็นความล้มเหลว ซึ่งถ้าเกิดขึ้นกับผมอีก ผมก็คงจะเตรียมตัวเตรียมใจรับกับมันได้
โดยไม่แตกตื่นหรือตกอกตกใจกับมันมากนัก และผมติดใจที่ได้เห็นประธานบริษัท
10 คนใน 10 ประเทศ ทำงานกัน ได้เห็นปัญหาการบริหารทั่วไป ได้เห็นปัญหาการตลาด ปัญหาการขาย
ฯลฯ"
และ 4 ปีช่วงนั้นคือ โรงเรียนการบริหารที่วิโรจน์ ภู่ตระกูลได้เรียนจากของจริง
ในที่สุดในปี 2522 วิโรจน์ ภู่ตระกูลก็ได้เป็นคนไทยคนแรกที่เป็นประธานกรรมการของบริษัทลีเวอร์
บราเดอร์ส (ประเทศไทย)
จะเห็นได้ว่าเส้นทางเดินของวิโรจน์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ถึง 2522 หรือ
20 ปี นั้นเป็นเส้นทางที่วิโรจน์ต้องผ่านขวากหนามอุปสรรค ตลอดจนต้องพัฒนาตัวเองมาสู่จุดที่ตัวเองเป็นทุกวันนี้
และทุกตำแหน่งที่ต้องสู้มานั้น ก็มีคู่แข่งกันมาตลอดในการแข่งขันกันโดยไม่มีใครมาอุปถัมภ์ค้ำชู
และเราจะเห็นได้ว่าจากการที่บริษัทลีเวอร์ฯ มีปมเด่นอยู่ที่เป็นบริษัทที่เน้นการตลาดและการขาย
ฉะนั้นสนามรบที่วิโรจน์ผ่านมาก็เป็นเรื่องของตลาดการขาย
คนที่รู้จักวิโรจน์ดีพูดว่า "คนนี้อย่านึกว่าเป็นประธานบริษัทลีเวอร์
มีเงินเดือนเป็นแสนๆ นั่งรถจากัวร์มีคนขับแล้ว เขาเท้าไม่ติดดิน วิโรจน์เป็นคนที่ลูกทุ่งที่สุด
และลุกทุ่งจนนึกไม่ออกว่าเขาเป็นแชร์แมนของลีเวอร์สได้อย่างไร"
ถึงแม้องค์กรที่วิโรจน์ทำอยู่จะเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมของอังกฤษอย่างสูง
แต่พฤติกรรมของผู้จัดการที่สามารถจะประสานวัฒนธรรมองค์กรให้เข้ากับวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อม
และคนท้องถิ่นนั้นคือความสำเร็จขององค์กร
และที่จริงก็คือความสามารถของวิโรจน์ ภู่ตระกูล นั่นเอง!
"ในความหมายของผู้จัดการแห่งปี"
ถ้าจะให้วิโรจน์ ภู่ตระกูล ได้เป็น “ผู้จัดการแห่งปี" เพียงเพราะเขาสามารถ
และได้ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นประธานกรรมการนั้น ก็อาจจะมีผู้จัดการแห่งปีแบบวิโรจน์อีกไม่น้อย
แต่ในความหมายของ "ผู้จัดการแห่งปี" นั้น ยังมีสิ่งอื่นที่เราใช้เป็นบรรทัดฐานในการวัดคนคน
นี้ด้วย
แน่นอนที่สุดบรรทัดฐานแรกที่หลายๆ คนมักจะมองอยู่ตลอดเวลาคือความเจริญเติบโตขององค์กรที่คนคนนั้นเป็นผู้จัดการ ว่าเจริญเติบโตแค่ไหน อย่างไร?
แต่บางครั้งการที่องค์กรนั้นไม่ได้เจริญเติบโต ก็ไม่ได้หมายความว่า "ผู้จัดการ"
คนนั้นจะไร้ความหมาย เพราะมีองค์กรอยู่หลายแห่งที่พร้อมจะหยุดความเจริญเติบโต
เพราะตนเองต้องการจะปรับปรุงคุณภาพขององค์กรและจัดโครงสร้างเสียใหม่
เพียงแค่คิดทำเช่นนั้น ก็น่าจะได้คะแนนแล้ว!
สำหรับวิโรจน์ ภู่ตระกูลนั้น นอกจากการทำความเติบโตให้กับองค์กรในรูปแบบของยอดขายที่ขยายจาก
1,303 ล้านบาท ใน พ.ศ. 2522 มาเป็นประมาณ 2,800 ล้านบาท ในปี 2527 โดยมีอัตราเฉลี่ยการเติบโตปีละประมาณ
23% แล้ว
ปัจจุบันลีเวอร์ กุมตลาดผงซักฟอกอยู่ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ ตลาดสบู่กว่า
50 % และสินค้าประเภท PERSONAL PRODUCTS เช่น แชมพู ฯลฯ ลีเวอร์เป็นผู้ผลิตขายมากที่สุด
สิ่งหนึ่งที่เรามอบตำแหน่ง "ผู้จัดการแห่งปี" ให้แก่วิโรจน์ ด้วยความเต็มใจ
คือ ความสามารถของวิโรจน์ที่
เป็นคนมองการณ์ไกล
ผู้จัดการที่แท้จริงควรจะเป็นคนที่มองอะไรไกลกว่าข้างหน้าตัวเองไปให้มากๆ
และวิโรจน์ก็เป็นเช่นนั้น
สิ่งแรกทีเขาเริ่มทำคือ การปรับปรุงระบบการผลิตสินค้าให้มีประสิทธิภาพเพื่อทำให้เป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำที่สุด
(LOW COST PRODUCERS)
วิโรจน์คิดว่าผู้ผลิตสินค้าไม่ควรเอาความไม่มีประสิทธิภาพของตัวเองไปเป็นต้นทุนแล้วตั้งราคาให้ผู้บริโภคต้องรับภาระไป
ลีเวอร์ในยุควิโรจน์จึงเน้น
- เทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยที่สุด
- การวางแบบโรงงานที่มีคุณภาพมากที่สุด และ
- การสร้างคุณภาพให้อยู่ใต้จิตสำนึกของพนักงานทุกคน
จากการที่ต้องเป็น LOW COST PRODUCERS วิโรจน์ตัดสินใจรวมโรงงานทั้งหมด
ให้อยู่บนเนื้อที่ร้อยกว่าไร่ที่อำเภอมีนบุรี ในราคาเกือบๆ พันห้าร้อยล้านบาท
โดยมีโรงงานที่เริ่มดำเนินงานแล้ว เช่น :-
1. โรงงานผลิตสบู่แบบครบวงจร
2. โรงงานผลิตปัจจัยการผลิตเชื้อผงซักฟอก
3. โรงงานผลิตวัตถุดิบในการทำยาสีฟัน ยาสระผม และการทำเภสัชกรรม
4. โรงงานผลิตหลอดยาสีฟัน (นี่ก็เป็นตัวอย่างของการมองการณ์ไกลที่วิโรจน์คิดพัฒนาการทำหลอดยาสีฟันแบบ
LAMINATED ซึ่งคิดและวางแผนเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว และในที่สุดก็ออกมาเป็นเป๊ปโซเด้นท์
ซึ่งผลของการพัฒนาหีบห่อรูปร่างทำให้เป๊ปโซเด้นท์ได้ก้าวเข้ามาในวงการยาสีฟันอย่างที่เจ้าเก่าต้องมองด้วยความเป็นห่วง
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะขั้นตอนการผลิตแบบ LAMINATED อยู่ในมือ LEVER แต่ผู้เดียว)
5. โรงงานการผลิตเนยขาวและเหลือง (INDUSTRIAL FAT)
6. โรงงานน้ำมันพืช ซึ่งในปีหน้าจะเริ่มดำเนินการได้แล้ว
จะเห็นได้ว่าในการที่จะสร้างโรงงานทั้งหมดให้อยู่ในที่เดียวกัน และต้องใช้เงินทุนพันกว่าล้านบาทนั้น
มันเป็นการทำงานที่ต้องใช้การมองการณ์ไกล และการพิจารณาสิ่งแวดล้อมในสังคม
และในที่สุดทำให้วิโรจน์ตัดสินใจดำเนินการไป
และการกระทำเช่นนั้นได้จริงๆ คือการต้องขายความคิดของตัวเองให้บริษัทแม่ยอมรับ
ซึ่งนั่นหมายถึงต้องเป็นโครงการที่มีเหตุผลด้วยแผนงานที่รอบคอบ รัดกุมประสานกับความสามารถส่วนตัวของผู้จัดการด้วย
นอกจากนั้นแล้ว เมื่อมองไปที่ประสิทธิภาพในการลดต้นทุนการผลิต LEVER ภายใต้การนำของวิโรจน์สามารถลดจำนวนคนทำงานลงจากประมาณ
2 พันกว่าคนในปีแรกที่วิโรจน์มาเป็นประธาน ลงเหลือเพียง 1,350 คนในปี 2527
หรือลดลงเกือบ 50 % นี่ย่อมแสดงให้เห็นประสิทธิภาพของ LOW COST PRODUCERS
ได้ชัด ว่าในขณะที่ยอดขายในปี 2522 มีเพียง 3,303 ล้านบาท LEVER ใช้คน 2 พันกว่าคน
แต่มาในปี 2527 ในขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่าปี 2522 ถึง 100 กว่า% เป็น 2,800
ล้านบาท แต่จำนวนคนที่ใช้กลับเหลือเพียง 1,350 คนเท่านั้นเอง
และการลดคนในจำนวนขนาดนั้น เป็นการลดอย่างสันติที่สุดที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างพอใจด้วยกัน
ในบรรดาผู้ผลิตในอุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน มีสหพัฒนพิบูลอีกเจ้าหนึ่งที่ได้ย้ายตัวเองไปตั้งสวนอุตสาหกรรมที่ศรีราชาลักษณะเดียวกับ
LEVER จะมีก็เพียงคอลเกตปาล์มโอลีฟเท่านั้นที่ออกเดินช้ากว่าทุกคน
และก็เผอิญคอลเกตเกิดเป็นบริษัทในอุตสาหกรรมประเภทนี้บริษัทเดียวที่ใช้ฝรั่งเป็นผู้บริหาร
ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจของคนไทยเชียวละ!
ความรับผิดชอบต่อสังคมในรูปการสร้างสรรค์โดยใช้ธุรกิจเป็นสื่อ
บริษัทห้างร้านทุกวันนี้ ถ้าได้บริจาคการกุศลหรือแจกทุนการศึกษาก็มักจะอ้างว่าตัวเองรับผิดชอบต่อสังคม
ทั้งๆ ที่สิ่งที่ตัวเองทำคือปรัชญาของ "การให้ปลาคนกิน" แทนที่จะ
"สอนคนให้รู้จักตกปลา"
วิโรจน์ ภู่ตระกูลได้ทำสิ่งหนึ่งลงไปที่ธุรกิจใหญ่ๆ หลายแห่งน่าที่จะทำตามดู
นั่นคือการที่วิโรจน์เป็นหนึ่งในทีมงานที่สามารถจะชักชวนให้บริษัทแม่ยอมเปลี่ยนใจหันมาทำกิจการสวนปาล์ม
การทำเช่นนั้นนอกจากเป็นการนำธุรกิจสวนปาล์มมารู้จักกับการบริหารงานที่ทันสมัยแล้ว
ยังเป็นการทำให้เกิดการสร้างงานและรายได้ในย่านที่เรียกว่าดงผู้ก่อการร้าย
จริงอยู่ในที่สุดแล้วลีเวอร์ก็คงจะได้ประโยชน์จากการทำสวนปาล์ม
ถ้าลีเวอร์จะเอาแต่ประโยชน์ คงไม่ต้องลงทุนลงแรงเข้าไปบุกเบิกงานที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
ลีเวอร์ก็คงจะทำประโยชน์ได้จากธุรกิจแขนงอื่นอีกมาก
แต่การที่ทำเช่นนี้ก็ส่อให้เห็นถึงการที่วิโรจน์ ภู่ตระกูลรู้จักใช้ธุรกิจเป็นสื่อสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรและในขณะเดียวกันก็รับผิดชอบในการสรรค์สร้างสังคมด้วย
โดย "สอนคนให้รู้จักตกปลา"
และในที่สุดลีเวอร์ก็เป็นผู้ผลิตสบู่เจ้าแรกที่เอาน้ำมันปาล์มมาทำแทนไขมันวัว
เป็น "ผู้จัดการ" ที่เปลี่ยนบทบาทตามสถานการณ์
เคยมีคนถามวิโรจน์ว่า เขาเป็นผู้จัดการประเภทไหน?
วิโรจน์ตอบว่า เขาสามารถจะเป็นผู้จัดการที่ให้ทีมงานได้ร่วมกันออกความคิดเห็นและรับผิดชอบอย่างเต็มที่
แต่ในขณะเดียวกันวิโรจน์จะเป็นเผด็จการทันทีที่มีเรื่องคุณภาพของสินค้า
และความปลอดภัยต่อผู้บริโภคเข้ามาเกี่ยวข้อง
วิโรจน์คิดว่าตัวเองเป็นผู้จัดการลักษณะ "WALKABOUT"
"ผมจะเดินคุยกับบรรดาผู้จัดการตามห้องทำงานทั้งหลายอยู่เสมอ แล้วผมพยายามจะ
INITIATY ความคิดให้เขา บางครั้งเขาไม่เห็นด้วย เขาก็จะโต้แย้งออกมาถ้าเหตุผลเขาดี
ผมก็จะยอมรับและเมื่อเรามาสู่โต๊ะประชุม เราก็จะไม่มีการโต้เถียงกันนอกจากตกลงจะดำเนินการตามแผนอย่างเป็นทางการ"
ในวัยเพียง 49 ปี วิโรจน์ ภู่ตระกูล จากคนที่ไม่มีชาติตระกูลผู้ดีเก่า หรือเตี่ยที่เป็นเจ้าสัว
เขาได้เดินมาแล้ว 25 ปี กับบริษัทลีเวอร์ บราแดอร์ส และจากวันแรกในปี 2522
ที่เขาเริ่มเข้ามาเป็นประธาน เขาได้ก่อให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นก็เริ่มมาเห็นผลในปีสองปีนี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของ
"ผู้จัดการ" คนนี้ ซึ่งเขาเองก็ได้รับการยอมรับโดยจุฬาลงกรณ์ฯ
ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพณิชยศาสตร์ให้เขาเมื่อปี 2525
และในปี 2527 รัฐบาลอังกฤษก็ได้มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น OBEW (OFFICER
OF THE ORDER OF THE BRITISH EMPIRE)
ถ้าจะถามคนชื่อวิโรจน์ ภู่ตระกูล ว่าตอนนี้คิดจะทำอะไร เขาก็จะตอบอย่างจริงจังว่า
"ตอนนี้ผมเจ็บใจที่สุดที่ยาสีฟันเป๊ปโซเด้นท์ผลิตไม่ทันขาย"
ขอแสดงความยินดีกับตำแหน่ง "ผู้จัดการแห่งปี"