Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา มกราคม 2554
Chinese Connection...ยุทธศาสตร์เชื่อมการท่องเที่ยว หาดใหญ่-มาเลเซีย-สิงคโปร์             
โดย ปิยะโชติ อินทรนิวาส
 


   
search resources

Tourism
The Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle




“นครหาดใหญ่” เปิดมิติใหม่ให้กับตลาดท่องเที่ยวหัวเมืองหลักในภาคใต้ โดยอาศัยวัฒนธรรมจีนและสายสัมพันธ์ใกล้ชิดของมาเลเซีย จัดโรดโชว์ต่อสายสยายปีกสู่เกาะสิงคโปร์ วาดหวังดึงนักท่องเที่ยวสายเลือดมังกรแดนลอดช่องให้เข้าสู่หาดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น

ระหว่างรถบัสนำคณะทัวร์ไทยข้ามสะพานจากแผ่นดินใหญ่ ในรัฐยะโฮร์ของมาเลเซียสู่เกาะสิงคโปร์ เจ้าของบริษัทนำเที่ยวจาก เมืองหาดใหญ่ได้ใช้ความพยายามชักชวนลูกทัวร์กรุ๊ปพิเศษของเขาเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อให้เข้าไปใช้บริการกาสิโนเปิดใหม่บนเกาะ เซนโตซาแห่งเมืองลอดช่อง

พร้อมกับย้ำถึงการการันตีด้วยว่า ในฐานะที่บริษัทนำเที่ยว ของเขาได้มีโอกาสบริการแขกพิเศษจากหาดใหญ่ในครั้งนี้ หากใครยอมควักเงินลงทุนเพียง 2,300 บาทเศษ แล้วทำตามคำแนะนำ ทุกคนจะได้กำไรกลับเป็นเงินกว่า 1,150 บาท พร้อมอาหารฟรี 1 มื้อใหญ่ ซึ่งไม่นับรวมความตื่นตาตื่นใจที่ได้สัมผัสกับบ่อนการพนันขนาดใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก

“ใช้เพียงแค่พาสปอร์ตที่เราถือกันอยู่แล้วก็เข้าได้เลย กาสิโน เขาเพิ่งเปิดใหม่ จึงมีโปรโมชั่นพิเศษมอบให้แก่นักท่องเที่ยวต่างประเทศ”

เจ้าของบริษัทนำเที่ยวจากหาดใหญ่บอกด้วยว่า แต่ถ้าใครไม่ประสงค์จะเข้ากาสิโนก็ไม่เป็นไร ด้านนอกมีสวนสนุกของยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ใหญ่กว่าต้นกำเนิดที่นคร ลอสแองเจลิสในสหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำ โดยบริษัทจะคืนเงินค่าอาหารกลางวันให้ไปหาทานกันเองคนละ 230 บาท แต่ก็จะเสียโอกาสทำรายได้ดังที่ว่าไว้และอดเก็บซับประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจด้วย

ต้องยอมรับว่า การเปิดตัวของ 2 เมกะโปรเจ็กต์กาสิโนรีสอร์ตในช่วงต้นปี 2553 ได้แก่ โครงการ รีสอร์ท เวิลด์ เซนโตซา มูลค่ากว่า 3,400 ล้านเหรียญ สหรัฐหรือกว่า 1 แสนล้านบาท ดำเนินการโดยบริษัท เก็นติ้ง มาเลเซีย จำกัด (Genting Malasia Berhad.) ของกลุ่มทุนจากมาเลเซียกับโครงการมารินา เบย์ แซนด์ส รีสอร์ท มูลค่ากว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.5 แสนล้านบาท ดำเนินการโดยบริษัทลาสเวกัส แซนด์ส จำกัด (Las Vegas Sands Corp.) ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากลาสเวกัสของสหรัฐอเมริกา คือจุดขายใหม่ที่ถูก นำไปเสริมศักยภาพทางการท่องเที่ยวให้กับสิงคโปร์

ตั้งแต่เปิดให้บริการกาสิโนในรีสอร์ท เวิลด์ เซนโตซา เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 ก็มีการทุ่มโปรโมชั่นพิเศษเพื่อใช้ดึงดูด ลูกค้ามาโดยตลอด ตัวอย่างก็เช่นที่บริษัทนำเที่ยวหาดใหญ่นำมาใช้ ล่อใจลูกทัวร์กรุ๊ปพิเศษของเขาว่าเข้าไปเล่นแล้วจะได้กำไรกลับเกิน กว่าครึ่งของเงินลงทุน เพราะเวลานั้นทางกาสิโนมีแคมเปญให้สิทธิ์ ชาวต่างชาติใช้เงิน 100 เหรียญสิงคโปร์ไปแลกชิปได้มูลค่าถึง 140 เหรียญ แถมด้วยคูปองอาหารอีกมูลค่า 10 เหรียญ รวมเป็นมูลค่า ที่แลกได้ทั้งสิ้น 150 เหรียญ

เพียงแต่ชิปที่แลกมานั้นยังเป็นชิปตายอยู่ ต้องนำไปผ่านการเล่นการพนัน โดยให้คน 2 คนยืนแทงกันคนละข้าง หากข้างหนึ่งเสียให้เจ้ามือ อีกข้างหนึ่งก็จะได้จากเจ้ามือ ซึ่งลูกทัวร์จะเล่นเอง หรือให้คนของบริษัทนำเที่ยวเล่นแทนให้ก็ได้ เพื่อให้ชิปตายได้ผ่าน เครื่องสแกนกลายเป็นชิปเป็นเสียก่อน แล้วชิปเหล่านั้นจึงจะนำไป แลกคืนเป็นเงินสดจากทางกาสิโนได้

คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนช่วงปลายเดือนตุลาคม 2553 ที่อยู่ระดับประมาณ 23 บาทเศษ ต่อ 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ ลูกทัวร์ จากหาดใหญ่ครั้งนั้นลงทุนคนละแค่ประมาณ 2,300 บาท ก็จะได้ ส่วนเกินกลับมาราว 920 บาท เมื่อรวมกับเงินคืนค่าอาหารกลางวัน 230 บาท โดยที่สามารถทานอาหารฟรีแบบมื้อใหญ่ในกาสิโนได้นั้น รวมแล้วจะได้คืนทั้งเงินต้นบวกกำไรประมาณ 3,450 บาทนั่นเอง

นั่นคือภาพที่ถูกนำมาใช้เป็นจุดขายสำหรับชักชวนคนไทยให้ไปท่องเที่ยวสิงคโปร์ช่วงปี 2553 โดยเฉพาะจากบริษัททัวร์ที่มีอยู่มากมายในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หัวเมืองหลักทางเศรษฐกิจของภาคใต้ ซึ่งในรอบปีที่แล้วก็มีคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองลอดช่องเพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตาทีเดียว

ขณะที่มีอีกภาพหนึ่งเกิดขึ้นในรอบปี 2553 เช่นกัน หน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าง “เทศบาลนครหาดใหญ่” ได้พยายามปลุกปั้นเมืองหาดใหญ่ให้มีจุดขายใหม่ๆ ทางด้านการ ท่องเที่ยว ด้วยโครงการพัฒนาที่หลากหลายพร้อม กับการสร้างแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมเสริมขึ้น มามากมาย

ที่สำคัญคือในปี 2553 ที่เพิ่งผ่านมานั้น นับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความพยายามอย่างยิ่งของเทศบาลนครหาดใหญ่ ในการต่อสายไปดึงนักท่องเที่ยวจากเกาะสิงคโปร์เพื่อให้เข้ามาเที่ยวหาดใหญ่เพิ่มจำนวนมากขึ้น

ความจริงแล้วสิงคโปร์คือ 1 ใน 3 ประเทศหลักที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายของตลาดท่องเที่ยวเมืองหาดใหญ่ รองลงมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย แต่ก็อยู่ในระดับไม่ทิ้งห่างกันนักกับ ชาวอินโดนีเซีย เพียงแต่ตลอดหลายปีมานี้ที่เทศบาลนครหาดใหญ่ จัดโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวขึ้นมา กลับมุ่งเน้นการดึงนักท่องเที่ยวเฉพาะแต่ชาวมาเลเซียเท่านั้น

อาจเป็นเพราะว่า หาดใหญ่คือเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยว ของภาคใต้ตอนล่าง และนับตั้งแต่ปี 2536 ได้กลายเป็นเหมือนเมืองหลวงของฝ่ายไทยที่ถูกนำเข้าร่วมพัฒนาในโครงการสามเหลี่ยม เศรษฐกิจอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) ซึ่งไม่มีสิงคโปร์รวมอยู่ด้วย การทำตลาดด้านการท่องเที่ยวจึงมักยื่นมือไปไม่ค่อยถึงแผ่นดินลอดช่อง

ทว่า พลันที่สิงคโปร์สร้างความสั่นไหวทางด้านการท่องเที่ยว ไปทั่วภูมิภาคเอเชียด้วยกาสิโนรีสอร์ต และส่งผลสะเทือนมาถึงหาดใหญ่ด้วยนั้น เทศบาลนครหาดใหญ่จึงอาจถือเอาโอกาสนี้ขอเชื่อมสายสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวเข้าไปหา แม้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ยังเป็นไปแบบไม่เป็นทางการก็ตาม

ปกติเทศบาลนครหาดใหญ่จะนำกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่และสื่อมวลชน เดินทางไปจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ปฏิทินกิจกรรมการท่องเที่ยว (Road Show & Table Top Sale) ในเมืองสำคัญๆ ของประเทศ มาเลเซียทุกๆ ช่วงปลายปี

ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้บริษัทนำเที่ยวทั้งในมาเลเซียและสิงคโปร์ได้นำกรุ๊ปทัวร์กลับมาท่องเที่ยวในหาดใหญ่ ส่วนสื่อมวลชน ก็ต้องการให้เกิดการสานสัมพันธ์เป็นเครือข่ายระหว่าง 2 ประเทศ ด้วย

ครั้งล่าสุดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-31 ตุลาคม 2553 ภายใต้ การนำของ 2 รองนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่คือ พฤกษ์ พัฒโน กับอดุลศักดิ์ มูเก็ม พร้อมด้วยสมาชิกสภาเทศบาล ผู้อำนวยการกองวิชาการ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์และเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง โดยการสนับสนุนอย่างแข็งขันของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภาคใต้ เขต 1 (สงขลา หาดใหญ่ สตูล) ที่แม้จะยังมุ่งเน้นตลาดมาเลเซียอย่างเป็นด้านหลัก แต่ก็เห็นถึงความ พยายามสานสายสัมพันธ์เพื่อเชื่อมต่อไปให้ถึงตลาดสิงคโปร์

“ถือเป็นครั้งแรกที่เราจัดโรดโชว์สู่มาเลเซีย แล้วเชื่อมต่อไปยังสิงคโปร์ด้วย” อดุลศักดิ์ มูเก็ม เปิดเผยกับผู้จัดการ 360 ํ

เมืองหลักที่คณะของเทศบาลนครหาดใหญ่พากันไปโรดโชว์ และเปิดตลาดด้านการท่องเที่ยวหนนี้ ได้แก่ อิโปห์ เมืองหลวงของรัฐเปรัคทางตอนเหนือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ทางตอนกลาง และยะโฮร์บาห์รู เมืองหลวงของรัฐยะโฮร์ทางตอนใต้ของมาเลเซีย ซึ่งในเมืองหลังนี้สามารถข้ามช่องแคบมะละกาไปเชื่อมต่อได้กับเกาะสิงคโปร์ได้สะดวก อีกทั้งเป็นแหล่งรวมของทั้งนักท่องเที่ยวและสื่อมวลชนจากสิงคโปร์อยู่แล้ว ขณะเดียวกันคณะก็ยังได้มีโอกาส ข้ามไปทัศนศึกษาในลักษณะของ City Tour และแวะทำกิจกรรมที่เกาะเซนโตซาอีกด้วย

“การไปโรดโชว์ที่มาเลเซียและสิงคโปร์เที่ยวล่าสุดนี้ มีกิจกรรมพิเศษสุดที่เทศบาลนครหาดใหญ่นำไปเสนอด้วย ได้แก่ Hatyai Ice Dome โฉมใหม่กับเทศกาลโคมไฟสีสันเมืองใต้” พฤกษ์ พัฒโน กล่าวก่อนที่จะเสริมว่า

สำหรับ Hatyai Ice Dome จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 เป็นการจัดแสดงโคมไฟมหัศจรรย์โลกน้ำแข็ง ส่วนที่ว่าโฉมใหม่เพราะเพิ่งสร้าง อาคารจัดแสดงหลังใหม่ขึ้นในปีนี้ มีพื้นที่รวมกว่า 1,000 ตารางเมตร ภายใต้อุณหภูมิที่ติดลบถึง 15 ํC มีการจัดแสดงโคมไฟน้ำแข็งที่แกะสลักโดยช่างฝีมือจากเมืองฮาร์บิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นที่กล่าวขานและได้รับการยอมรับในระดับโลก

เหตุที่เมืองฮาร์บินที่เป็นแหล่งบ่มเพาะช่างแกะสลักน้ำแข็งจนมีชื่อก้องก็เพราะว่าเป็นเมืองเอกของมณฑลเหยหลงเจียงที่ตั้งอยู่ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน มีสมญานามว่าเป็น “ไข่มุกบนคอหงส์” เนื่องจากภูมิศาสตร์อันเป็นสัณฐานที่ตั้งของมณฑลมีลักษณะคล้ายหงส์ ส่วนสมญานามอื่นๆ ก็เช่น “มอสโกแห่งตะวัน ออก” หรือ “ปารีสแห่งตะวันออก” เนื่องจากสถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนในเมืองคล้ายกับ 2 เมืองดังกล่าว นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักในชื่อ “เมืองแห่งน้ำแข็ง” เพราะแต่ละปีมีฤดูหนาวที่หนาวเหน็บและยาวนานมาก

รูปแบบโคมไฟน้ำแข็งที่จัดแสดงส่วนใหญ่จะเป็นสถาปัตยกรรมมีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ ศาลาทรงไทย หอฟ้าเทียนถานในจีน เจดีย์ 5 ชั้นที่ญี่ปุ่น ทัชมาฮาลที่อินเดีย รูปปั้นสิงโตทะเลในสิงคโปร์ ตึกแฝดเปโตรนาสในมาเลเซีย อาคารรัฐสภาอังกฤษ หอเอนเมืองปิซาจากอิตาลี โรงอุปรากรซิดนีย์ของออสเตรเลีย เมืองกรีกโบราณ จัตุรัสแดงแห่งรัสเซีย ประตูชัยฝรั่งเศส มหาวิหารเมืองโคโลญจน์ของเยอรมนี ทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกา สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ สไลเดอร์น้ำแข็งและบาร์น้ำแข็ง เป็นต้น

นอกจากนี้แล้ว ภายในบริเวณยังมีการนำเอาพืชพรรณม้ดอก ไม้ประดับ และสัตว์เมืองหนาวจากทั่วโลกหมุนเวียนกันมาจัดแสดงด้วย เช่น นกเพนกวิน ดอกทิวลิปหลากสีสันรับเทศกาล แห่งความสุขเดือนมกราคม ดอกเหมยต้อนรับบรรยากาศแห่งความรักเดือนกุมภาพันธ์ ดอกซากุระชมพูสะพรั่งท่ามกลางบรรยากาศหนาวเหน็บเดือนเมษายน ดอกลิลลี่เจ้าหญิงเมืองหนาว แห่งเอเชีย เป็นต้น

ในส่วนของเทศกาลโคมไฟสีสันเมืองใต้จัดขึ้น เป็นครั้งที่ 5 ประกอบด้วยโคมไฟเฉลิมพระเกียรติฯ โคมไฟเทพมหามงคล โคมไฟ 4 ภาคของไทย โคมไฟจำลองงานเทศกาลต่างๆ ของไทย โคมไฟ 14 จังหวัดสีสันเมืองใต้ โคมไฟเมืองหาดใหญ่ โคมไฟจินตนาการโลกของเด็ก โคมไฟโลกของสัตว์ โคมไฟ นานาชาติรูปแบบตุ๊กตาเครื่องแต่งกายประจำชาติ 20 ประเทศ และโคมไฟแบรนด์สินค้าต่างๆ รวมถึงประติมากรรมร่วมสมัย

ทั้งนี้ เทศบาลนครหาดใหญ่กำหนดจัด Hatyai Ice Dome กับเทศกาลโคมไฟสีสันเมืองใต้ในลักษณะควบคู่ไป ณ สวนสาธารณะของเทศบาล ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553-30 เมษายน 2554 รวมระยะเวลา 6 เดือนพอดิบพอดี

สำหรับสวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ ตั้งอยู่ตีนเขาคอหงส์ ริมถนนกาญจนวนิช บนเส้นทาง สายหลักเชื่อมระหว่างหาดใหญ่-สงขลา ห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่ประมาณ 6 กิโลเมตร ซึ่งบริเวณนั้นนอกจากจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและถูกใช้จัดกิจกรรมที่สำคัญของเมืองหาดใหญ่บ่อยๆ แล้ว ยังประกอบด้วยแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย และในอนาคตอันใกล้ก็จะมีกระเช้าลอยฟ้าขึ้นเขาคอหงส์ในลักษณะเดียวกับบนเกาะเซนโตซาของสิงคโปร์เกิดขึ้น โดยเวลานี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนประดิษฐานอยู่ทั่วบริเวณ ได้แก่ พระพุทธมงคลมหาราช ท้าวมหาพรหม พระโพธิสัตว์ กวนอิม และพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปเปิดตลาดท่องเที่ยวแต่ละครั้ง เทศบาลนครหาดใหญ่ยังเน้นเชิญชวน ให้กรุ๊ปทัวร์จากทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ ได้เข้ามาท่องเที่ยวเมืองหาดใหญ่ตามวาระของการจัดกิจกรรม ที่ถือเป็นไฮไลต์ในแต่ละเดือน ซึ่งก็มีการจัดขึ้นเกือบตลอดทั้งปี ประกอบด้วย

เดือนมกราคมมีประเพณีทำบุญตักบาตรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่, กุมภาพันธ์จัดงานเทศกาลตรุษจีน, เมษายนจัดงานประเพณีสงกรานต์ในรูปแบบ Hatyai Midnight Songkran, มิถุนายน-สิงหาคมจัดงาน Amazing Thailand Grand Sale พร้อมแฟชั่นโชว์, สิงหาคมจัดงานตักบาตรพระ 10,000 รูปนานาชาติ, ตุลาคม จัดงานเทศกาลกินเจ, พฤศจิกายนจัดประเพณีลอยกระทง, พฤศจิกายน-เมษายนจัด Hatyai Ice Dome และเทศกาลโคมไฟ สีสันเมืองใต้ และธันวาคมจัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในรูปแบบ Hatyai Night Paradise เป็นต้น

ภายหลังกลับจากการโรดโชว์ที่มาเลเซียและสิงคโปร์ พฤกษ์ พัฒโนบอกว่าเฉพาะในส่วนของการแสดงโคมไฟมหัศจรรย์โลกน้ำแข็งและดอกไม้เมืองหนาว Hatyai Ice Dome โฉมใหม่ 2553-2554 ซึ่งมีการเก็บค่าบัตรผ่านประตูนั้น เทศบาลนครหาดใหญ่ตั้งเป้าว่า ตลอด 6 เดือนที่จัดแสดงน่าจะมียอดนักท่องเที่ยวเข้าชม ถึง 8 หมื่นคน คิดเป็นรายได้ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท

อันเป็นประมาณการที่เพิ่มขึ้นจากการจัดแสดงในรอบปีที่แล้ว ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2552-28 กุมภาพันธ์ 2553 รวมระยะเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งมียอดผู้เข้าชมอยู่ที่ประมาณ 2.5 หมื่นคน สร้างรายได้เป็นเงินประมาณ 25 ล้านบาท

ทว่า ยอดจำนวนผู้เข้าชมตามที่เทศบาลนครหาดใหญ่ตั้งเป้า ไว้ในรอบจัดแสดงนี้ อาจจะยังใช้เป็นดัชนีชี้วัดได้ไม่ดีนักต่อการไปโรดโชว์ที่มาเลเซียและสิงคโปร์ว่า ประสบผลสำเร็จหรือไม่??!!

เนื่องเพราะเป็นที่ทราบกันแล้วว่า ภายหลังที่คณะกลับจากโรดโชว์ได้เพียง 1 วัน คือคืนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2553 ก็เกิดเหตุ น้ำท่วมใหญ่ทั่วเมืองหาดใหญ่ แถมพิธีเปิดอย่างเป็นทางการและเตรียมไว้อย่างยิ่งใหญ่ที่กำหนดให้มีขึ้นในช่วงบ่ายของวันนั้น ก็ถูก ความโกลาหลอลหม่านของภาวะตื่นอุทกภัยทำให้ต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้จะยังไม่ถึงครึ่งทางของระยะเวลาจัดแสดงที่กำหนดไว้รวม 6 เดือน แต่จากการได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัส Hatyai Ice Dome ทำให้พบว่า โคมไฟรูปปั้นสิงโตทะเล อันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ และตึกแฝดเปโตรนาส สัญลักษณ์ของประเทศมาเลเซีย ทั้ง 2 สิ่งต่างได้รับความนิยมชมชอบและเก็บบันทึกภาพจากบรรดานักท่องเที่ยวแบบไม่แพ้กัน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ที่เป็นทีมงานจัดแสดง Hatyai Ice Dome ก็ยืนยันว่า เสียงพูดคุยด้วยภาษาจีนหรืออังกฤษระหว่างการชม การถ่ายภาพคู่กับสิงโตทะเลหรือกับตึกแฝดเปโตรนาส มีให้เห็นและได้ยินแทบทุกรอบที่นำชม ยิ่งถ้าเป็นกรุ๊ปทัวร์มาลงด้วยแล้ว เสียงเจี๊ยวจ๊าวด้วยภาษาที่ว่าจะดังลั่นเลยทีเดียว

นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการรุกเข้าไปทำตลาดท่องเที่ยวให้กับเมืองหาดใหญ่ โดยอาศัยจีนและมาเลเซียเป็นสะพานเพื่อเชื่อมต่อไปยังเกาะสิงคโปร์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us