สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทลาดพร้าวพลาซ่า
จำกัด เดินผ่านเศษกองอิฐกองไม้และพื้นปูนที่ยังไม่เรียบร้อยดี เพื่อตรวจตรางานก่อสร้าง
"ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์" อย่างละเอียด โดยคาดหวังว่า โครงการแห่งนี้จะเปิดให้บริการได้ในเดือนเมษายน
2538
นอกเหนือจากความยิ่งใหญ่บนพื้นที่ 38 ไร่ และใช้เงินลงทุนถึง 8 พันล้านบาทแล้ว
ศูนย์การค้าแห่งนี้เปรียบเสมือนผลงานชิ้นเอกของตระกูล "กิจเลิศไพโรจน์"
เพราะนับเป็นการผสมผสานมุมมอง การบริหารและการสร้างพันธมิตรจำนวนมากในความหมายใหม่ที่พลิกภาพพจน์เดิมๆ
ของห้างอิมพีเรียลที่ถูกมองว่าเป็นห้างสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับกลางลงไป
สงครามกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า ตัวเขารวมไปถึงผู้บริหารศูนย์การค้าแห่งอื่นๆ
มีภารกิจที่เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนคือ นอกเหนือจากสร้างตัวศูนย์การค้า บริหารห้างสรรพสินค้า
ขายพื้นที่และบริหารส่วนร้านค้าย่อยแล้วภารกิจที่เพิ่มขึ้นอีกคือ การสร้าง
"แม่เหล็ก" เพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งนับวันจะวิจิตรพิสดารเพิ่มขึ้นทุกที
แต่ที่น่าสนใจคือรายได้จาก "แม่เหล็ก" ซึ่งสงครามกล่าวว่าแม้เงินลงทุนจะสูงก็จริง
แต่เงินสะพัดทุกวัน อีกทั้งคืนทุนเร็วมาก ภายใน 2-3 ปี แต่หลังจากนั้นอาจต้องลงทุนเพิ่มเติมเพื่อสร้างความแปลกใหม่
ขณะที่ตัวห้างนั้นเป็นรายได้แบบเรื่อยๆ ส่วนร้านค้าย่อยนั้น เจ้าของศูนย์จะได้เป็นเงินค่าเช่าเซ้งก้อนโตซึ่งเป็นกำไรขั้นต้นและช่วยลดต้นทุนค่าก่อสร้าง
"แม่เหล็ก" ที่ว่านี้หมายถึงบรรดาสวนสนุก-สวนน้ำ และศูนย์บันเทิงต่างๆ
ที่สร้างขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้าซึ่งในอดีต "แม่เหล็ก" มีความหมายเพียงแค่เป็นส่วนเสริม
แต่ส่วนเสริมที่ว่านี้กลายเป็นธุรกิจทำเงินที่ต้องลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ไปแล้ว
"แม่เหล็ก" ในอิมพีเรียลเวิลด์น่าสนใจเพิ่มขึ้นเมื่อสงครามจริงจังกับธุรกิจนี้มาก
โดยร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่ต่างประเทศ และใช้พื้นที่ขนาดมหาศาลหลายชั้น
ตระกูล "กิจเลิศไพโรจน์" มีสายสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่น "วิชัย
กิจเลิศไพโรจน์" น้องชายคนเล็กเป็นนักเรียนญี่ปุ่นและใช้ชีวิตในญี่ปุ่นมากกว่า
20 ปี เขานำธุรกิจผลิตของเด็กเล่น ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของตระกูลร่วมทุนกับยักษ์ใหญ่ของเล่นในญี่ปุ่น
"บันได" ผลิตของเด็กเล่นส่งออกปีละกว่า 1 พันล้านบาท
การเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในโอกาสต่อมาจึงไม่ใช่เรื่องยาก
สงครามจับมือกับ "อิโตชู" ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจบันเทิงที่หลากหลายของญี่ปุ่นเพื่อสร้างลานไอซ์สเกตฮอลล์
รับกับความบันเทิงประเภทนี้ที่ความนิยมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
อิโตชูซึ่งมาปักหลักอยู่สำนักงานย่านสาทรเหนือเคยร่วมทุนกับกลุ่มสหวิริยาเพื่อทำธุรกิจบันเทิงครบวงจรมาก่อน
การมาร่วมกับอิมพีเรียลเวิลด์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจของพวกเขาเท่านั้น
ฝ่ายสงครามในนามบริษัทลาดพร้าวจะถือหุ้นในโครงการนี้ 51% ฝ่ายอิโตชู 30%
ซึ่งนำพันธมิตรมาด้วยอีก 2 รายคือ สหกรุ๊ปและบริษัทสิ่งทอรายหนึ่งมาถือหุ้นด้วยอีก
รวม 19%
อีก "แม่เหล็ก" หนึ่งคือ "สวนสนุกไฮเทค" ซึ่งสงครามจับมือกับยักษ์ใหญ่โลกแห่งเกมนั่นคือนั่นคือ
"เซก้า"
ในเมืองไทยเซก้ามีชื่อเสียงด้านตู้เกมหยอดเหรียญซึ่งแม้จะถูกกล่าวหาว่าผิดกฎหมายแต่ก็เห็นเกลื่อนเมือง
การมาครั้งนี้ของเซก้า มาอย่างไฮเทคกว่านั้น
สงครามกล่าวว่าในญี่ปุ่นเซก้ามีศูนย์บันเทิงไฮเทคโดยเฉพาะ ซึ่งไม่มีตู้เกม
แต่เป็นเกมที่คล้ายคลึงกับโรงภาพยนตร์แบบ "ซีมูเลเตอร์" คือเคลื่อนไหวเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริง
แต่มีขนาดสำหรับผู้เล่นจำนวนน้อย จนถึงจำนวน 50 คน
"สวนสนุกแบบเดิมจะเหมาะสำหรับเด็กเล็กๆ เท่านั้น และบางส่วนดูล้าสมัยไปแล้ว
ในอนาคตสวนสนุกที่จะประสบความสำเร็จคือสวนสนุกที่ใช้เทคโนโลยีนำ" สงครามกล่าวอย่างเชื่อมั่น
เฉพาะเครื่องเล่นสงครามกล่าวว่าต้องใช้ถึง 300 ล้านบาท และรวมภาษีด้วยก็อาจสูงถึง
500 ยังไม่รวมค่าตกแต่ง ติดตั้ง พื้นที่อีกไม่ต่ำกว่า 300 ล้าน รวมแล้วสวนสนุกแห่งนี้จะใช้งสูงถึง
800 ล้านบาท
แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ บริษัทร่วมทุนที่บริหารสวนสนุกแห่งนี้ นอกจากฝ่ายอิมพีเรียลและเซก้ายังมีพันธมิตรคนไทยที่จะเป็นแกนหลักในการบริหารอีกรายคือ
"กาแล็กซี่"
กลุ่มนี้มีชื่อเสียงทางด้านภัตตาคารและบริการบันเทิงอื่นๆ เคยเป็นผู้นำเข้าตู้เกมรายใหญ่
แต่ถึงเวลาที่กลุ่มนี้จะเข้าสู่ธุรกิจที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับอย่างเปิดเผยแล้ว
พันธมิตรอีกกลุ่มที่ดูจะหลากหลายกว่าเพื่อนคือกลุ่มของ "แฟชั่น แกลลอรี่"
ซึ่งสงครามอธิบายว่า เป็นการรวมกลุ่มของดีไซเนอร์ชั้นนำของเมืองไทยมาจัดแสดง
โดยมีบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่เป็นผู้บริหารซึ่งคาดว่าผู้บริโภคย่านลาดพร้าวจะเป็นลูกค้าประจำ
แต่พันธมิตรที่สำคัญที่สุดและเป็นรากฐานของโครงการคือ กลุ่มสินธานี ซึ่งเป็นกลุ่มพัฒนที่ดินรายใหญ่ของตระกูล
"ภาณุพัฒนพงศ์" ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ขายให้บริษัทลาดพร้าว
และร่วมทุนในบริษัทแห่งนี้ด้วย
"อิมพีเรียลเวิลด์" นอกเหนือจากจะเป็นฉากใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของตระกูล
"กิจเลิศไพโรจน์" แล้ว สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้เพิ่มขึ้นคือการสร้างพันธมิตรต่างชาติที่ซับซ้อนและหลากหลาย
และอาจเปนก้าวกระโดดที่สำคัญยิ่งอีกครั้งสำหรับพวกเขาในระยะอันใกล้