แม้ว่าหลายฝ่ายจะมีความกังวลว่าตลาดคอนโดมิเนียมอาจจะก้าวเข้าสู่ภาวะโอเวอร์ ซัปพลาย เพราะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนมาก ทั้งคอนโดมิเนียมระดับล่าง ระดับกลาง และระดับบน เฉลี่ยที่ตารางเมตรละ 30,000 บาทขึ้นไป จนถึงมากกว่า 120,000 บาท จนทำให้พื้นที่เกือบทุกแห่งในเขตกรุงเทพฯ โดยเฉพาะบริเวณแนวรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน บนดิน รวมถึงส่วนต่อขยาย และในย่านชุมชนล้วนมีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนใหญ่จะมียอดขายในเกณฑ์ดี แต่จากการประเมินสถานการณ์ในเบื้องต้น พบว่า ในอนาคตตลาดคอนโดมิเนียมอาจจะประสบปัญหาโอเวอร์ ซัปพลายได้ หากยังไม่มีมาตรการออกมาควบคุม แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่ กลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2554
เริ่มจากบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ที่ประกาศว่าในปีหน้า แสนสิริจะเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อย่างน้อย 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 18,000-19,000 ล้านบาท ซึ่งจะลงทุนโครงการเกรด A และ B รวม7โครงการ ราคาตารางเมตรละ 80,000 บาทขึ้นไป ส่วนอีก 4 โครงการจะเป็นโครงการเกรด C และD ราคาตารางเมตรละ 30,000บาทขึ้นไป ขณะนี้มีที่ดินพร้อมลงทุนแล้ว 5 แปลง ตั้งอยู่เกาะแนวรถไฟฟ้าแนวเดิม ได้แก่ บริเวณพหลโยธิน สุขุมวิท สาทร-ตากสิน และแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง พื้นที่กว่า 10 ไร่ ขณะเดียวกัน ยังอยู่ระหว่างหาซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อลงทุนโครงการใหม่
“แม้ว่าแบงก์ชาติจะออกมาตรการมาสกัดภาวะฟองสบู่ ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการขายคอนโดมิเนียม แต่เชื่อว่า กำลังซื้อยังมีอีกมาก อีกทั้งความเข้มงวดของสถาบันการเงินที่เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อผู้ประกอบการ จะส่งผลให้มีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลง ทำให้บริษัทมั่นใจว่า ตลาดคอนโดมิเนียมยังมีแนวโน้มที่ดี”อุทัยกล่าว
ทั้งนี้บริษัทเชื่อว่าภาวะตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2554 จะยังเติบโตได้ดีตามอัตราการเติบโตของ GDP ที่คาดว่าจะเติบโตที่ประมาณ 4-5% ในปี 2554 หรือใกล้เคียงกับปี 2553 โดยสัดส่วนการลงทุนของผู้ประกอบการจะเน้นไปในระดับ A-B หรือราคาตารางเมตรละ 80,000 บาทขึ้นไปเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังพบว่า ตัวเลขตลาดรวมในปี 2553 สัดส่วนสินค้าระดับราคาตารางเมตรละ 80,000 บาทขึ้นไปมีจำนวน 30% ของสินค้าในตลาดแต่กลับมีมูลค่าสูงถึง 2.2 แสนล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด 3.1 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมเกรด C-D หรือสินค้าราคาตารางเมตรละต่ำกว่า 80,000 บาทลงมา มีสัดส่วนสูงถึง 70% ขณะที่มีมูลค่าเพียง 90,000 ล้านบาท เท่านั้น จากตัวเลขดังกล่าว ทำให้บริษัทเชื่อว่าตลาดคอนโดฯในระดับราคาตารางเมตร 80,000 บาท ขึ้นไปยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีในปี 2554 เพราะกลุ่มลูกค้าในระดับนี้มีกำลังซื้อสูง และได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบน้อยกว่ากลุ่มอื่น
อุทัย กล่าวว่า นับจากนี้ไปการแข่งขันในตลาดคอนโดมิเนียมจะกดดันให้ผู้ประกอบการรายเล็กจะหายไปจากตลาดและเหลือแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ที่มีศักยภาพในการลงทุนและการแข่งขัน โดยปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการรายเล็ก คือ การเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ข้อกำหนดในการพัฒนาและสัดส่วนในการขายที่ธนาคารกำหนดไว้จึงจะปล่อยสินเชื่อให้ รวมถึงต้นทุนการเงินจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่สามารถระดมเงินทุนต้นทุนต่ำจากตลาดทุนอื่นๆได้ อีกทั้งธนาคารยังให้สินเชื่อในอัตราที่ต่ำกว่าลูกค้ารายเล็ก รวมถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้าและตัวผู้ประกอบการของผู้บริโภค
สำหรับปัญหาสำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต คือ ทำเลในการพัฒนาโครงการที่นับวันหายากขึ้น ที่ดินมีจำนวนและราคาปรับขึ้นสูงมาก จากสถิติในรอบ 25 ปีราคาที่ดินในเขตกรุงเทพฯ ปรับขึ้นถึง 40 เท่า โดยเฉพาะราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าเฉลี่ยปรับขึ้นถึง 200% ในช่วงปี 52-53 เพียงปีเดียวปรับขึ้นเฉลี่ย 25% ขณะที่ในเขตชาญเมืองปรับขึ้นเพียง 3-4% เท่านั้น
ส่วนยอดขายคอนโดมิเนียมของกลุ่มแสนสิริ ในปี 2553คาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 14,000-15,000 ล้านบาท หรือประมาณ 4,000-5,000 ยูนิต ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่จำนวน 10,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2554 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 14,000 ล้านบาท เท่ากับปีนี้
ขณะที่บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมหรู 2 สไตล์ ใจกลางกรุง ได้แก่ โครงการเดอะ เครสท์ พหลโยธิน 11คอนโดมิเนียมสไตล์ Tuscany สูง 30 ชั้น 163 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 3.79 ล้านบาท และโครงการเซ็นทริค รัชดา-สุทธิสาร คอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นสมาร์ท สูง 26 ชั้น 270 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท
ส่วนอนุพล ลิขิตพฤกษ์ไพศาล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีเคเคแกรนด์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า หลังจากบริษัทเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการแรกคือThe Coast Bangkok สูง 39 ชั้น จำนวน2 อาคารบริเวณแยกบางนา ติดรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีบางนา มีผลตอบรับดีมากบริษัทตัดสินใจลงทุนโครงการที่ 2 ต่อเนื่องแบรนด์ใหม่ คือบีคอนโด ทำเลถนนบางนาตราด ก.ม. 5 (ซอยศรหิรัญ) บนที่ดิน 3 ไร่เศษ เป็นคอนโดมิเนยียม โลว์ไรส์ 8 ชั้น 2 อาคาร404 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 450 ล้านบาท
สำหรับพื้นที่ขาย แบ่งเป็น ร้านค้า พื้นที่ใช้สอย 30-40 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.22 ล้านบาท ห้องชุด 2 แบบ คือสตูดิโอ พื้นที่ใช้สอย 29-34 ตารางเมตร ราคาตารางเมตรละ 32,000 บาท หรือ 1 ล้านต้น ๆ ต่อยูนิต และ ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 41-42 ตารางเมตร ราคาตารางเมตร42,000 บาท ราคา 1.69 ล้านบาทขึ้นไป
|