Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายวัน22 ธันวาคม 2553
ส่งออกฝ่าบาทแข็งโตอีก 28.5% หวังปี 54 กำลังซื้อโลกพุ่งรับ QE2             
 


   
search resources

Import-Export




ส่งออก พ.ย.ฝ่าวิกฤตบาทแข็ง โตไม่หยุด มูลค่า 1.77 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 28.5% คาดยอดรวมทั้งปีโตกระฉูด 26-28% ส่วนปีหน้าตั้งเป้าโตแค่ 10% มูลค่าทะลุ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือน พ.ย.2553 มีมูลค่า 17,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 28.5% เป็นการเพิ่มขึ้นทั้งๆ ที่ไทยยังคงมีปัญหาเงินบาทแข็งค่า หรือคิดในรูปของเงินบาทมีมูลค่า 5.24 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8 % ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 17,292 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 35.3% ทำให้เดือนพ.ย. ไทยยังคงเกินดุลการค้า 408 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ส่วนยอดส่งออกรวม 11 เดือนปี 2553 (ม.ค.-พ.ย.) มีมูลค่ารวม 177,977 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 29.15% หรือคิดเป็นมูลค่าเงินบาทรวม 5.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.12% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่ารวม 166,101 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 39.3 % ส่งผลให้เกินดุลการค้ารวม 11,875.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญเดือน พ.ย.กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้น 25.7% ได้แก่ ข้าวเพิ่มขึ้น 53.1% หลังจากรัฐบาลเริ่มทยอยระบายสต๊อก ทำให้การส่งออกสูงถึง 9 แสนตัน และคาดว่า ทั้งปีจะส่งออกได้ตามเป้าหมาย 8.5 ล้านตัน ยางพารา เพิ่ม 49.2% อาหาร 21.5% มันสำปะหลัง 7.5% แต่น้ำตาลลดลง 67.8% เนื่องจากผลผลิตในประเทศลดลงและความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น

ส่วนกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 27.9% ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ 8.2% เครื่องใช้ไฟฟ้า 28.8% ยานยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 35.9% อัญมณีและเครื่องประดับ 89.7% เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก 42.8% สิ่งทอ 27.9% แต่วัสดุก่อสร้างลดลง 1.4% เนื่องจากการส่งออกโครงก่อสร้างทำด้วยเหล็กและเหล็กกล้าไปออสเตรเลียลดลงถึง 84.8%

ทางด้านตลาดส่งออกยังขยายตัวทุกตลาด กลุ่มตลาดหลักเพิ่มขึ้น 22.5% ได้แก่ สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น19.9% สหภาพยุโรป 22.6% ญี่ปุ่น 25.1% ตลาดศักยภาพสูง เพิ่มขึ้น 30.3% ได้แก่ อาเซียน เพิ่มขึ้น 25.9% จีน 20.9% ฮ่องกง 55.8% เอเชียใต้ 26.5% ไต้หวัน 70.3% และเกาหลีใต้ 41.8% ตลาดศักยภาพระดับรอง เพิ่มขึ้น 24.1% ได้แก่ รัสเซีย และกลุ่มสหภาพโซเวียตเดิม (ซีไอเอส) เพิ่มขึ้น 122.9% ลาตินอเมริกา 74.1% และแอฟริกา 46.3%มีเพียงทวีปออสเตรเลียหดตัว 0.3% ขณะที่ตลาดอื่นๆ เพิ่มขึ้น 169.7% เช่น สวิตเซอร์แลนด์ เพิ่มขึ้น 226.3%

ด้านการนำเข้าเดือน พ.ย.มีการขยายตัวทุกกลุ่ม ยกเว้นอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ ลด 45.7% โดยสินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 61.1% สินค้าทุน 23.6% ทุน วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป 34.1% อุปโภคบริโภคเพิ่ม 23.4% ยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 41.5%

สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) 7 ฉบับ ไปยังอาเซียน ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ เกาหลีใต้ มีมูลค่า 9,363 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 44.9% หรือ 3,312 ล้านเหรียญสหรัฐ มีการนำเข้า 10,046 ล้านเหรียญสหรัฐ ขาดดุล 683 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยประเทศที่ใช้สิทธิส่งออกสูงสุด คือ จีน รองลงมาเป็นออสเตรเลีย ขณะที่ประเทศขาดดุลสูงสุด คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ส่วนการค้าชายแดน มีการค้ารวม 63,299 ล้านบาท ขยายตัว 6.2% แยกเป็นส่งออก 39,197 ล้านบาท ขยายตัว 8.2% นำเข้า 24,102 ล้านบาท ได้ดุลการค้า 151,095 ล้านบาท

นางพรทิวา กล่าวว่า การส่งออกทั้งปี 2553 จะทำได้เกินเป้าหมายแน่นอน โดยตอนนี้ ยอดรวม 11 เดือนทำได้ 28.5% และเดือนธ.ค.เชื่อว่าจะส่งออกไม่ต่ำกว่า 14,000-17,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ทั้งปีขยายตัว 26-28% ขณะที่รูปของเงินบาทจะขยายตัว 19-20% ส่วนการส่งออกปีหน้าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% มีมูลค่าเกิน 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

ปัจจัยเสี่ยงปีหน้า ยังคงเป็นเรื่องของค่าเงินบาทที่มีความผันผวน ซึ่งผู้ส่งออกยังคงเรียกร้องให้มีการแทรกแซงไม่ให้มีการแข็งค่าเร็ว ส่วนปัจจัยบวกมาจากแนวโน้มความต้องการนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกที่สูงขึ้น หลังประเทศยักษ์ใหญ่ อย่างสหรัฐฯ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง (คิวอี2) อีก 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงอังกฤษ 2 แสนล้านปอนด์ และญี่ปุ่น 5 ล้านล้านเยน ซึ่งจะช่วยให้กำลังซื้อประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ ก็ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us