2 บริษัทวัสดุก่อสร้างจ่อคิวเข้าตลาดหลักทรัพย์ "ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี
(CCP) -ไทยคูนฯ" โดย CPP เตรียมขายหุ้นไอพีโอ 22 ล้านหุ้น กลาง พ.ย.นี้ มั่นใจจ่ายปันผล
40% ของ กำไรสุทธิทันที หลังล้างขาดทุน สะสมหมดในปีนี้ ส่วนหุ้นแบงก์กรุงไทย (KTB)
วานนี้ปรับตัวลดลง 20สตางค์ หลังหุ้นเพิ่มทุน 3 พันล้านหุ้นเริ่มซื้อขายวันแรก
ปิดตลาด 8.80 บาท เหนือราคาจองซื้อ 8.50 บาทเล็กน้อย ผลจากการเทขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ
โบรกฯ ชี้เหมาะลงทุนระยะยาว
แนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้าง
เติบโตขึ้นอย่างเด่น ชัดกว่าปีที่ผ่านมาราว 20-70% ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สร้างความมั่นใจให้บริษัทวัสดุก่อสร้างในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ล่าสุดมี 2 บริษัทที่อยู่ระหว่างดำเนินการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
คือ บริษัท ไทยคูน เวิลด์ไวด์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี
จำกัด(มหาชน)
นายประทีป ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด
(มหาชน)(CCP) ผู้นำในการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตและคอนกรีตเสริมเหล็ก
ในภาคตะวันออก กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมเสนอขาย หุ้นสามัญเพิ่มทุนให้นักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป(IPO)
จำนวน 22 ล้านหุ้น ราคามูลค่าที่ตราไว้ 5 บาท ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน
โดยบริษัทฯจะเข้าไปจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง
หลังจากแต่งตั้งให้ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไป ใช้ในการขยายธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้อง
การตลาดใช้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่เพิ่มสูงขึ้นตามการ ขยายตัวของธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างและเครื่องตกแต่ง
บ้านที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
โดยบริษัทฯจะร่วมลงทุนในโครงการอิฐมวลเบาขนาดกำลังผลิต 750 ลูกบาศก์เมตร มูลค่า
600 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไป ได้ของโครงการ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการสั่งซื้อเครื่องจักรและก่อสร้างโรงงานได้ภายในปี
2547 และผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2548
นอกจากนี้ บริษัทฯซื้อหรือเช่ารถขนส่งผลิตภัณฑ์เพิ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า
ให้กับผู้รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรถขนส่งเกือบ 200 คัน ซึ่งถือเป็นจุดได้เปรียบคู่แข่ง
และลงทุนในโรงงานคอนกรีตผสมเสร็จจากปัจจุบันที่มีอยู่ 14 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิต
5 หมื่นคิวต่อเดือน โดยจะขยายเพิ่มอีก 20% ของกำลังการผลิตหรือ 6.2 หมื่นคิวต่อเดือน
คาดว่าจะเริ่มในปีหน้า
รวมทั้งขยายสาขาร้านกันยงโฮมสโตร์เพิ่ม 1 สาขาที่พัทยา ภายในปี 2547 เพื่อเพิ่มยอดขายธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างและเครื่องตกแต่งบ้าน
นายประทีป กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนในโครงการผลิตอิฐมวลเบา เนื่องจากเล็งเห็นความต้องการใช้ในประเทศยังมีอยู่
และราคาอิฐมวลเบาอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเมื่อเทียบกับอิฐมอญ โดยปัจจุบันมีผู้ผลิตเพียง
2 ราย คือ คิวคอน ในเครือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และซุปเปอร์บล็อก ในเครือซิเมนต์ไทย
คาดครึ่งปีหลังโต 20-30%
ส่วนผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก บริษัทฯมีรายได้ประมาณ 543 ล้านบาท และกำไรสุทธิ
62 ล้าน บาท คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าครึ่งปีแรก 20-30% เนื่องจากในช่วง
6 เดือนแรก เกิดปัญหาน้ำท่วมทำให้การดำเนินธุรกิจชะลอตัวลง แต่ ช่วงครึ่งปีหลังธุรกิจวัสดุก่อสร้างเริ่มขยายตัวตามการ
เติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ส่วนผลประกอบการในปี 2547 คาดว่ารายได้จะโตประมาณ 20% และจะสามารถล้างขาดทุนสะสมจำนวน
101 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิ.ย.ได้หมด ภายในปีนี้ โดยจะนำส่วนล้ำมูลค่าหุ้นมาล้างขาดทุนสะสม
ทำให้บริษัทฯสามารถจ่ายปันผลงวดการดำเนิน งานปี 2546 โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผล
40% ของกำไรสุทธิ
คาดนักลงทุนสนใจหุ้น CCP
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จุดเด่นของ CCP เป็นผู้ผลิต ภัณฑ์คอนกรีตที่ครบวงจร ทั้งผลิตและจัดจำหน่ายเอง
มีรถขนส่งเป็นของตนเองจำนวนมาก สามารถขนส่งผลิตภัณฑ์ได้ทั่วประเทศอย่างตรงตามเวลา
ซึ่งถือเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจ
อีกทั้ง ภาคตะวันออกถือเป็นภาคที่มีการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้างโรงงานหรือโครงการใหม่ๆเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
เช่น โครงการ สนามบินสุวรรณภูมิ, โครงการท่าเรือน้ำลึกทางฝั่งตะวันออก ล้วนจำเป็นต้องใช้วัสดุก่อสร้างทั้งสิ้น
ล่าสุด หากโครงการปรับปรุงระบบการขนส่งภาครัฐมูลค่า 9 แสนล้านบาทเกิดขึ้นจริงจะทำให้รายได้เข้ามาบริษัทฯเพิ่มขึ้น
จากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยเกื้อหนุน CCP เชื่อว่านักลงทุนจะให้ความสนใจในหุ้นตัวนี้
นอกเหนือจาก CCP แล้ว บล.กิมเอ็ง ยังเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้บริษัท ไทยคูน
เวิลด์ไวด์ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กลวดรายใหญ่ที่สุดของไทย
โดยจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเร็วๆนี้ด้วย
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี มีทุนจดทะเบียน 310 ล้านบาท ราคามูลค่าตามบัญชีหุ้นละ
5 บาท โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 22 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 35%ของทุนจดทะเบียน
โดยมีตระกูลทีปกรสุขเกษม เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 85% หลังจากระดมทุนครั้งนี้ สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่
2 เท่า จากปัจจุบันสูงถึง 3 เท่า
KTB เหมาะลงทุนระยะยาว
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็กซ์
จำกัด กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นของธนาคารกรุงไทยปรับขึ้นจากราคาจองซื้อที่ 8.50
บาท เพียงเล็กน้อย อาจเป็นผลจากการเทขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ
รวมถึงการทำกำไรจากอัตราค่าเงินบาท ซึ่งการทำกำไรจากปริวรรตเงินตราได้เกิดขึ้นรอบหนึ่งแล้ว
ตั้งแต่ก่อนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท
เพื่อ นำกำไรออกไปขาย จึงมีแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์ออกมา แต่เชื่อนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์อีกในระยะเวลาไม่นาน
โดยเฉพาะภาย หลังหุ้นกรุงไทย ได้รับการเพิ่มน้ำหนักในดัชนี MSCI หุ้นกรุงไทยจะเป็นหุ้นที่มีความต้องการซื้อจากนักลงทุนต่างชาติสูง
สำหรับจำนวนหุ้นที่มีจำนวนมาก อาจมีผลกับราคาหุ้นบ้าง แต่สัดส่วนหุ้น 3,000 ล้านหุ้น
เป็นสัดส่วนของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศและในประเทศ 40-60% สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยเพียงเล็กน้อย
ดังนั้น เชื่อว่าหุ้นกรุงไทยเหมาะสมกับการลงทุนในระยะยาว เพราะโดยปัจจัยพื้นฐานราคาหุ้นปี
47 น่าจะอยู่ในระดับ 13-14 บาทได้ ในปีนี้คาดว่าราคาหุ้นจะไม่ต่ำ 11-12 บาท
"นักลงทุนควรจะมองการลงทุนระยะยาว หุ้นกรุงไทยช่วงที่ผ่านมานั้นมีผลกระทบเรื่องของการเพิ่ม
ทุน การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการ ที่ภาวะตลาดถดถอยทำให้ราคาหุ้นปรับลดลง"
สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นวานนี้ (15 ต.ค.) ราคาหุ้น KTB ได้ปรับตัวลดลงรับข่าวหุ้นสามัญที่เข้ามาซื้อขายเป็นวันแรก
โดยราคาสูงสุดที่ 8.90 บาท ต่ำสุดที่ 8.65 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 8.80 บาท
ลดลงจากวันก่อน 0.20 บาท หรือลดลง 2.22% ปริมาณการซื้อขาย 149,129,100 หุ้น คิดเป็น
มูลค่ารวม 1,309.40 ล้านบาท