ท่ามกลางกระแสความไม่พอใจของประชาชนผู้ฝากเงิน ที่มีต่ออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมาเป็นประวัติการณ์
โดยอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ล่าสุดเหลืออยู่เพียง 1.75% ต่อปี ดูเหมือนจะมีธนาคารดีบีเอส
ไทยทนุเพียงแห่งเดียวที่สวนกระแส โดยการประกาศโครงการเพิ่มอัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ให้กับผู้สูงอายุขึ้นมาอีก
0.25%
ตามโครงการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคาร
ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี และมีเงินอยู่ในบัญชีไม่ถึง 1 ล้านบาท จะได้รับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาเป็น
2% จากปกติที่แบงก์จ่ายให้ 1.75%
ธนาคารดีบีเอสไทยทนุได้ประกาศโครงการนี้ออกมาเพียง 2 สัปดาห์ หลังจากธนาคารเอเชียได้เป็นผู้นำร่องประกาศลดอัตรา
ดอกเบี้ยลงมาเป็นรายแรกเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งส่งผลให้ธนาคาร อื่นๆ
ต้องลดดอกเบี้ยตามลงมา รวมทั้งดีบีเอสไทยทนุด้วย
"โครงการนี้ เราทำเพื่อสังคม" พรสนอง ตู้จินดา กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารดีบีเอสไทยทนุกล่าว
โดยเขาให้เหตุผลว่า สาเหตุ ที่ต้องเลือกเพิ่มดอกเบี้ยให้กับบัญชีของผู้ที่มีอายุมากกว่า
55 ปี เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เกษียณตัวเองออกจากงานประจำแล้ว
และดำรงชีวิตอยู่โดยอาศัยเงินที่ได้รับจากอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก
มีการวิเคราะห์กันว่า โครงการนี้ของธนาคารดีบีเอสไทยทนุ หวังผลเชิงภาพลักษณ์มากกว่าการแย่งส่วนแบ่งตลาดเงินฝาก
เพราะ อัตราดอกเบี้ยที่ให้ 2% ต่อปี ไม่ได้สูงกว่าเรตที่ธนาคารพาณิชย์ขนาด
ใหญ่ให้กับผู้ฝาก และเมื่อวิเคราะห์จากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมาเพียง
0.25% สำหรับบัญชีเงินฝากที่ไม่ถึง 1 ล้านบาท ผู้ฝากเงินก็จะได้รับ เม็ดเงินเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ในทางตรงข้าม ก็ไม่เป็นภาระที่หนักสำหรับ ดีบีเอสไทยทนุด้วยเช่นกัน
ดังนั้น การที่ดีบีเอสไทยทนุประกาศโครงการนี้ออกมา น่าจะหวังผลให้ช่วยลดกระแสสังคมที่กำลังมองว่าธนาคารต่างชาติกำลังเอาเปรียบผู้บริโภค
เพราะเป็นผู้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากนำร่องออกมาก่อน และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารต่างชาติให้กับผู้ฝากเงินในปัจจุบัน
ก็น้อยกว่าธนาคารพาณิชย์ของไทยอยู่ถึง 0.25%
โครงการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากให้กับผู้สูงอายุของธนาคาร ดีบีเอสไทยทนุ
อาจจะเป็นโครงการนำร่อง สำหรับธนาคารที่มีสถาบันการเงินที่มีต่างชาติถือหุ้นใหญ่
ที่จะต้องเริ่มมองการทำโครงการเพื่อสังคมเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์
และแก้ภาพลักษณ์ขององค์กร ซึ่งกำลังถูกมองในเชิงลบจากกระแสสังคมของคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ