|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
“ราโด” เชือดเอเยนต์นอกรีตกว่า 90 ราย โทษฐานขายของปลอม บริษัทแม่ชูไทยตลาดสำคัญ ประเดิมโครงการ คู่ค้าเอกสิทธิ์ ในไทยแห่งแรกในโลก ดันเอเย่นต์ที่เหลืออีก 70 ราย เป็นเอ็กซ์คลูซีฟเอเยนต์
นายโอลิวิเอร์ โคซานดิเอร์ ประธานกรรมการฝ่ายขาย บริษัท ราโด สวิตเซอร์แลนด์ ผู้ผลิตและทำตลาดนาฬิกา ราโด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้สั่งยกเลิกการเป็นเอเยนต์ หรือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายนาฬิการาโดในไทยไปแล้วกว่า 90 ราย จากทั้งหมด 160 กว่าราย ทำให้เหลือเพียง 70 รายที่เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เนื่องจากพบว่ามีการจำหน่ายนาฬิการาโดปลอม หรือลอกเลียนแบบในร้านของเอเยนต์ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าที่ตั้งอยู่ตามชายแดนของประเทศเป็นหลัก โดยนาฬิกาเหล่านั้นจะนำเข้ามาจากเมืองจีนทำทุกอย่างเหมือนราโดแต่ใส่ชื่อแบรนด์อื่น
ทั้งนี้ ตัวแทนจำหน่ายที่เหลือทั้งหมด บริษัทจะแต่งตั้งให้เป็นเอ็กซ์คลูซีฟเอเยนต์ ตามโครงการ “คู่ค้าเอกสิทธิ์” ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือก จะได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายนาฬิการาโดของแท้ คอลเลกชันพิเศษ และสิทธิพิเศษต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่าเดิมด้วย โดยบริษัทแม่ของราโดสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มใช้กลยุทธ์นี้ในประเทศไทยเป็นแห่งแรกของโลก
โดยให้สิทธิพิเศษต่างๆ เช่น การปรับให้ผลตอบแทนการขายเป็นรายไตรมาสเป็น 1-3% และการให้ผลตอบแทนอีก 3-5% กับเอเยนต์ที่ได้รัลบการคัดลือกให้เป็น เอ็กซ์คลูซีฟเอเยนต์ และการเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ต่อเนื่องโดยเน้นนวัตกรรมใหม่ๆแต่ความทนทานของวัสดุในการผลิต ซึ่งเชื่อ่มั่นว่าเอ็กซ์คลูซีฟเอเยนต์จะพอใจกับแผนการตลาดและแผนการปรับผลตอบแทนในครั้งนี้ของราโด
บริษัทแม่ของราโดให้ความสำคัญกับตลาดในไทยอย่างมาก เพราะยอดขายนาฬิการาโดในไทยเติบโตติด 1 ใน 10 ของเอเชีย และคาดว่า ยอดขายในไทยปีนี้จะเติบโตขึ้นเป็นอัตราสองหลักจากนี้ไป หลังจากที่มีการปรับแผนการดำเนินงานใหม่ ขณะที่ตลาดยุโรปและอเมริกาเริ่มอิ่มตัวแล้ว ดังนั้นเอเซียจึงเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญมากขึ้น
นายโอลิวิเอร์ กล่าวต่อว่า ยอดขายรวมในช่วง 10 เดือนแรกปี 2553 พบว่า เติบโตสองหลัก แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อ โดยพบว่ายอดขายในห้างสรรพสินค้าเติบโต 20% ระดับราคาที่ขายดีจะอยู่ที่ 30,000- 60,000 บาท ขณะที่ยอดขายรวมในต่างจังหวัดเติบโต 30-40% ราคาที่ขายดีอยู่ที่ 25,000- 100,000 บาท
|
|
|
|
|