Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์16 ธันวาคม 2553
แบไต๋ “รถเล็ก” พลิกตลาดยานยนต์ไทย             
 


   
search resources

Automotive




รถไซส์เล็กร้อนแรงสุดๆ หลายแบรนด์ทั้งค่ายยุโรป-ญี่ปุ่น ส่งเก๋งตัวจี๊ดยึดพื้นที่งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2010 ตอบพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชอบทั้งประหยัดน้ำมัน และตังค์ในกระเป๋า งานนี้ทั้งคอมแพกคาร์ ยันปิกอัพได้รับแรงสั่นสะเทือนกันถ้วนหน้า ตลาดรถกำลังจะเปลี่ยนโฉม

การประกาศเดินหน้าโครงการรถประหยัดพลังงาน หรืออีโคคาร์ ของฮอนด้า พร้อมโชว์รถรุ่นจริงที่ผลิตจำหน่ายในประเทศไทยในชื่อ บริโอ กำลังทำให้ตลาดรถยนต์นั่งขนาดซิตี้คาร์ หรือบีเซกเมนต์มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด หนำซ้ำค่ายเกิดใหม่อย่างซูซูกิ และหน้าเก่าอย่างมิตซูบิชิ พร้อมเดินหน้าโครงการเพื่อสร้างตลาดเซกเมนต์ใหม่ให้แข็งแกร่ง

ผลสำเร็จของรถยนต์โครงการอีโคคาร์ ของค่ายนิสสัน มอเตอร์ ด้วยรถยนต์รุ่นมาร์ช ทำให้ค่ายรถยนต์อื่นๆ ที่ได้รับอนุมัติการลงทุนผลิตในประเทศจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ มั่นใจได้มากขึ้น จะว่าไปแล้วนิสสันอาจเป็นเหมือนหนูลองยาให้กับค่ายรถอื่นๆ ในทางกลับกัน การบุกตลาดก่อน น่าจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้มากกว่า และที่สำคัญสร้างสร้างส่วนแบ่งตลาดได้ก่อน

ปัจจุบันรถยนต์อีโคคาร์ของนิสสัน มียอดจำหน่ายอยู่ราวเดือนละกว่า 2,000 คัน แต่ข้อเท็จจริงนั้น มีความต้องการมากกว่านี้ แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดในด้านศักยภาพการผลิต ทำให้มีลูกค้าจำนวนมากที่รอการส่งมอบรถจากนิสสันอยู่ราวๆ 3-4 เดือน

ดังนั้น การประกาศตัวอย่างชัดเจนของค่ายฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ที่จะคลอดรถยนต์อีโคคาร์ในชื่อรุ่น ฮอนด้า บริโอ ราวไตรมาสแรกของปี 2554 พร้อมข่มคู่แข่งด้วยราคาอย่างไม่เป็นทางการคันละ 400,000 บาท กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เนื่องจากฮอนด้าถือเป็นแบรนด์รถยนต์นั่งอันดับ 2 ของเมืองไทย มีผลิตภัณฑ์ในทุกเซกเมนต์ของรถยนต์นั่ง การเดินหน้าสู่ตลาดอีโคคาร์ย่อมทำให้คู่แข่งมีความกังวลอยู่พอสมควร

ไม่เพียงการเปิดเผยถึงแผนการผลิต แต่ฮอนด้าฯ ได้นำรถยนต์อีโคคาร์ รูปโฉมจริงที่จะผลิตขายในปีหน้าออกมาแสดงในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 27 อีกด้วย ส่งผลให้มีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก มีผู้บริโภคหลายรายตกลงใจจะจองฮอนด้า บริโอ ตั้งแต่ยังไม่ออกจากสายการผลิตอีกด้วย

ทากาโนบุ อิโต้ ประธานและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบินมาเปิดแถลงข่าวถึงโครงการรถอีโคคาร์ด้วยตนเองในประเทศไทย ระบุว่า รถยนต์ที่นำมาแสดงคือ รถยนต์ต้นแบบ (Prototype) ขนาดเล็ก ฮอนด้า บริโอ (Honda Brio) และเป็นการเปิดตัวสู่สายตาทั่วโลกเป็นครั้งแรก เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กสำหรับทำตลาดในภูมิภาคเอเชีย ที่มีขนาดเล็กรองลงมาจากรุ่นซิตี้และแจ๊ซ และจะเริ่มทำตลาดในประเทศไทยเป็นทางการประมาณเดือนมีนาคม ปี 2554 มีราคาประมาณ 4 แสนบาท

ฮอนด้า บริโอ ที่ว่านี้จะทำการผลิตขึ้นในโรงงานประเทศไทยและอินเดีย โดยติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร และมีอัตราสิ้นเปลืองตามกรอบของอีโคคาร์ไม่ต่ำกว่า 20 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับคันที่นำมาเผยตัวในครั้งนี้ เป็นการออกแบบเฉพาะสำหรับประเทศไทย และถือว่าใกล้เคียงกับรุ่นที่ผลิตขายจริง ซึ่งฮอนด้าประกาศแล้วว่า บริโอจะมีความแตกต่างจากอีโคคาร์ของคู่แข่งในเวลานี้คือ นิสสัน มาร์ช ทั้งในด้านจุดเด่นต่างๆ และเรื่องของสมรรถนะ ยังรวมถึงแผนการสื่อสารทางการตลาดด้วย

ในช่วงเวลาเดียวกัน ซูซูกิ ค่ายรถยนต์หน้าใหม่ของเมืองไทย ก็ประกาศถึงความพร้อมของแผนการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ออกมาจำหน่ายด้วยเช่นกัน ซูซูกิ ระบุว่า แผนการผลิตอีโคคาร์จากโรงงานที่ได้ลงทุนไปกว่า 7,500 ล้านบาท ที่จังหวัดระยอง มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% และคาดกันว่ารถยนต์คันแรกจะออกจากสายการผลิตได้ราวต้นปี 2555 หรืออีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า

ปัจจุบัน ซูซูกิ เริ่มหันมาขยายตลาดรถยนต์นั่งอย่างจริงจังอีกครั้ง หลังจากเริ่มทำตลาดรถยนต์ในเซกเมนต์รถยนต์นั่งขนาดซับคอมแพกต์ในรุ่นสวิฟท์ ได้พอสมควร และในงาน มหกรรมยานยนต์ ซูซูกิก็ส่งรถยนต์นั่งอีก 1 รุ่นเข้าสู่ตลาด ในชื่อ เอสเอ็กซ์เอ็กซ์-โอเวอร์ ซึ่งเป็นรถครอสโอเวอร์ พร้อมกับการตั้งเป้าหมายเพิ่มโชว์รูมและศูนย์บริการ จาก 41 แห่งในปัจจุบัน เป็น 100 แห่งในอีก 5 ปีข้างหน้า

ขณะที่ค่ายมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย เอง ก็เตรียมประกาศถึงความพร้อมในการดำเนินโครงการผลิตรถอีโคคาร์ออกมาด้วยเช่นกัน ข้อมูลจากบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนหลายๆ รายระบุว่า มิตซูบิชิ อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับรถยนต์อีโคคาร์ของมิตซูบิชิ นั่นหมายถึง ความพร้อมด้านการผลิต รวมถึงโมเดลที่จะนำมาผลิตแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการจากมิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย

ด้านผลการสำรวจของ รางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม หรือ TAQA ในปี 2010 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เผยถึงพฤติกรรมผู้บริโภครถยนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์นั่งกลุ่มบีเซกเมนต์ และอีโคคาร์ การสำรวจสรุปได้ว่า รถยนต์ขนาดเล็กในปัจจุบันสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หมด และทำให้ตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึงรถอีโคคาร์มีการเติบโต และมีการแข่งขันที่สูง

ทั้งนี้ รางวัล TAQA ในปี 2010 นั้นสำรวจโดย บริษัท คัสต้อมเอเซีย จำกัด ร่วมกับองค์กรภาครัฐ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ และกลุ่มสื่อสากล เป็นการสำรวจข้อมูลและความคิดเห็นจากผู้ใช้รถที่มีต่อบริษัทรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ทั่วประเทศใน 76 จังหวัด ตัวอย่างสำรวจกว่า 7,000 ราย ซึ่งเป็นรางวัลที่สะท้อนถึงดัชนีความพึงพอใจในสินค้าและบริการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง

ข้อมูลดังกล่าว สนับสนุนถึงทิศทางการเติบโตของตลาดรถยนต์นั่งในกลุ่มบีเซกเมนต์ได้เป็นอย่างดี โดยระบุว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการซื้อรถยนต์ประเภทนี้สูงขึ้นจากอดีต เพราะผู้ผลิตให้ความสำคัญกับรถยนต์ขนาดเล็ก และอีโคคาร์มากขึ้น ทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกและถือเป็นโอกาสของผู้ซื้อ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาแม้จะมีความต้องการ แต่ก็ไม่สามารถหาซื้อมาได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องราคา

ทำให้ต้องหันไปซื้อรถปิกอัพที่สามารถใช้งานได้ทั้งบรรทุกสัมภาระ และโดยสาร ซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้กับรถยนต์นั่งในราคาที่ถูกกว่า

นอกจากนี้จากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการรณรงค์ในเรื่องประหยัดพลังงาน ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่ตามเทรนด์ตลอดเวลา รวมถึงกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง หรือมีรถหรูราคาแพงอยู่แล้ว ตัดสินใจหันมาบริโภครถยนต์นั่งขนาดเล็ก และที่สำคัญคือ คุณสมบัติของรถยนต์นั่งเล็ก และอีโคคาร์นั้นให้ความประหยัดสูงกว่า หาที่จอดได้งาน และราคาไม่แพง

ขณะที่ เจ.ดี.พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิค เผยผลการศึกษาในปี 2553 ว่า นอกจากรูปลักษณ์ความสวยโดยรวม ภายนอกตัวรถ ภายในตัวรถ และสิ่งอำนวยความสะดวก ประเภทพื้นที่เก็บของและพื้นที่ว่าง, เครื่องเสียง ความบันเทิงและระบบนำทาง รวมทั้งสมรรถนะในการขับขี่ เครื่องยนต์ระบบเกียร์ทัศนวิสัยและความปลอดภัยในการขับขี่ แล้ว ความประหยัดน้ำมันซึ่งผลวิจัยพบว่ามีผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภค ซึ่งรถยนต์นั่งในกลุ่มบีเซกเมนต์ และรถยนต์อีโคคาร์สามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้เกือบทั้งหมด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us