2526 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เปิดให้เอกชนเสนอเงื่อนไขเพื่อทำประโยชน์ในที่ดินของทรัพย์สินฯ
เนื้อที่ 75 ไร่ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งแต่เดิมเป็นของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
เจ้าฟ้าจุฑานุชธวาดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย
บริษัทวังเพชรบูรณ์เป็นบริษัทในเครือของเตชะไพบูลย์เป็นผู้ประมูลได้ โดยบริษัทจะทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวเพื่อก่อสร้างศูนย์การค้าและศูนย์พาณิชยกรรมเป็นเวลา
30 ปี นับจากวันที่ก่อสร้างเสร็จสิ้นลง และจะต้องก่อสร้างให้เสร็จสิ้นภายในเวลา
5 ปีนับจากวันที่ระบุในสัญญา (คือวันที่ 22 สิงหาคม 2526) บริษัทจะต้องจ่ายค่าตอบแทนจำนวน
390 ล้านบาท และเมื่อครบกำหนด 5 ปีนับแต่วันทำสัญญา บริษัทจะต้องจ่ายค่าเช่ารายปีให้แก่ทรัพย์สินฯ
อีกดังนี้ ปีที่ 1-10 ค่าเช่าปีละ 240 ล้านบาท ปีที่ 11-20 ค่าเช่าปีละ 600
ล้านบาท ปีที่ 21-30 ค่าเช่าปีละ 1,500 ล้านบาท เมื่ออายุสัญญาเช่าสิ้นสุดลง
บริษัทมีสิทธิ์ที่จะต่อสัญญาได้อีก 2 ครั้งๆ ละ 10 ปี
บริษัทวังเพชรบูรณ์มีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ บริษัทนพกิจรวมทุน
ธนาคารศรีนคร บริษัทไทยรวมทุน ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจของเตชะไพบูลย์ทั้งสิ้น
ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในนามส่วนบุคคลที่สำคัญคือ วิรุฬ เตชะไพบูลย์
โครงการเวิลด์เทรดเป็นโครงการที่บริษัทวังเพชรบูรณ์จะดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ดังกล่าว
โดยถือเป็นเวิลด์เทรดสาขาที่ 108 จากสมาชิกบริษัทซึ่งมีอยู่ 203 แห่งทั่วโลก
โครงการเวิลด์เทรดจะประกอบด้วยอาคารสำนักงานสูง 63 ชั้น โรงแรมชั้นหนึ่งขนาด
800 ห้อง อาคารพาณิชย์สำหรับห้างสรรพสินค้า 2 ห้าง นอกจากนั้นยังมี ภัตตาคารจำหน่ายอาหารนานาชาติ
อาคารเอนกประสงค์สำหรับประชุมระดับนานาชาติ ศูนย์พฤษชาติ ศูนย์กีฬา พร้อมด้วยลานจอดรถจุถึง
5,000 คัน
แต่ ณ วันนี้ สิ้นเดือนมิถุนายน 2533 ล่วงเลยมาเกือบ 7 ปี เวิลด์เทรดเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปได้เพียงเฟสที่หนึ่งคืออาคารห้างสรรพสินค้าเพียง
1 ห้าง คือห้างเซ็นทรัลเท่านั้น จัดได้ว่าเป็นโครงการแรกๆ ที่เกิดขึ้นในระยะต้นๆ
แต่ล่าช้ากว่าคนอื่นแบบหายห่วง!
สาเหตุแห่งความล่าช้านั้นเกิดขึ้นสองประการคือ เรื่องเงินกับเรื่องของตัววิรุฬเอง
เรื่องเงินนั้น แม้เวิลด์เทรดจะมีธนาคารศรีนครหนุน แต่เมื่อสภาวะทางเศรษฐกิจไม่ดีนัก
ผนวกกับปัญหาเรื่อง บงล.มหานครทรัสต์ และผลประกอบการของธนาคารที่ตกต่ำ ประกอบกับในช่วงปี
2526-2529 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เฟื่องฟูขนาดนี้ การขายพื้นที่จึงเป็นไปได้เชื่องช้า
เวิลด์เทรดจึงขาดสภาพคล่องพอสมควร
ครั้งหนึ่งไจก้าทำการศึกษาเรื่องเวิลด์เทรด เกี่ยวกับเงื่อนไขที่จะให้เวิลด์เทรดกู้
ข้อเสนอของไจก้าคือ หากเวิลด์เทรดจะต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินญี่ปุ่น โครงการเวิลด์เทรดจะต้อง
หนึ่ง-ลดบทบาทในการบริหารงานของคนในตระกูลเตชะไพบูลย์ลง สอง-จะไม่ปล่อยกู้โดยตรง
จะให้กู้ผ่านสถาบันการเงินแห่งอื่นที่น่าเชื่อถือในประเทศไทย
ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย เวิลด์เทรดจึงมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
ค่อยๆ ก่อสร้างไปเรื่อยๆ
วิเชียรกล่าวยืนยันกับ "ผู้จัดการ" ว่า แม้โครงการเวิลด์เทรดจะโฆษณาตัวเองว่าลงทุนหมื่นล้าน
แต่ก็คงไม่มีโครงการที่ไหนลงทุนรวดเดียวขนาดนั้น วิเชียรให้ตัวเลขเงินกู้ที่เวิลด์เทรดเอาไปจากศรีนครว่าอยู่ในระดับไม่กี่ร้อยล้าน
เมื่อเฟสแรกก่อสร้างเสร็จสิ้น หลังจากใช้เวลาถึง 7 ปี เฟสนี้ก็สามารถขายได้หมด
ลูกค้ารายใหญ่คือเซ็นทรัล ประจวบกับภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คึกคักเป็นอย่างมาก
จนไม่มีใครเป็นห่วงว่า เวิลด์เทรดจะมีปัญหาในเรื่องการขายอีกต่อไป เพียงแต่ว่าจะทำกำไรเท่าไรเท่านั้น
"ตอนนี้ในส่วนอาคารสูง 63 ชั้นนั้น เขายังไม่ขาย มันก็กำไรแน่ๆ เพียงแต่เขายังไม่กล้ากำหนดราคาขายที่ชัดเจน
เพราะวัสดุก่อสร้างมันขึ้นไปสูงมาก" แหล่งข่าวยืนยัน
ที่คนเป็นห่วงก็คือยิ่งช้า อายุสัญญาเช่ามันก็หดสั้นลงซึ่งจะทำให้กำไรลดน้อยลงไป
ก็เท่านั้นเอง
นอกจากเรื่องเงิน ซึ่งดูจะบรรเทาเบาบางลงไป ปัญหาที่หลายคนเห็นพ้องต้องกัน
วิธีการทำงานแบบธุรกิจครอบครัวที่เป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตของเวิลด์เทรด ซึ่งก็หนีไม่พ้นคนในตระกูลเตชะไพบูลย์!
อุเทนนั่งเป็นประธานคณะกรรมการบริษัท ส่วนอำนาจการจัดการส่วนใหญ่อยู่ที่วิรุฬ
ในฐานะกรรมการผู้จัดการ หลายคนที่เคยทำงานกับวิรุฬต้องลาออกจากไปในเวลาอันสั้น
เพราะทำงานกับวิรุฬไม่ได้!!!
คนที่มาทำงานร่วมกับวิรุฬเริ่มตั้งแต่ ผศ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่เป็นกุนซือด้านการวางแผนช่วงชิงที่ดินตรงนี้มาจนได้และเป็นสถาปนิกออกแบบโครงการ
แต่ทำกันได้ไม่นาน วิรุฬก็เปลี่ยนใจไม่เอารังสรรค์ ไปเอาบริษัทยามาซากิจากญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นผู้ออกแบบเวิลด์เทรดที่นิวยอร์ค แล้วให้รังสรรค์เป็นซับคอนแทรค รังสรรค์ไม่ยอมและกลายเป็นการจุดประเด็นต่อต้านสถาปนิกต่างชาติมาหากินในเมืองไทยพักหนึ่ง
และที่สุดรังสรรค์ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายบริษัทวังเพ็ชรบูรณ์เป็นเงิน 210
ล้านบาท ฐานผิดสัญญาว่าจ้าง คดีนี้ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2528 ปัจจุบันยังอยู่ในชั้นศาล
ต่อมาวิมล ผู้น้องมาช่วยด้านการตลาดให้กับพี่ชาย ปรากฏว่าทำได้พักเดียว
วิมลก็ออกไปอีก
"วิรุฬต้องการให้เปิดตัวเร็วเพราะมาบุญครองกำลังจะขึ้นมาแล้ว แต่วิมลไม่เห็นด้วยเพราะอาคารโดยส่วนใหญ่ยังไม่เสร็จ
และทั้งคู่ออกจะใจน้อยไปหน่อย เมื่อไม่เชื่อกัน วิมลก็เลยออก" แหล่งข่าวกล่าว
วิรุฬไปได้วีระชัย วรรณึกกุลมาเป็นที่ปรึกษา และสุเทพ ชวนะวิรัช นักการตลาดมือดีมาช่วย
แต่ในที่สุดวีระชัยก็ไปเป็นที่ปรึกษาให้วิเชียรที่ศรีนคร สุเทพลาไปอยู่บางปูคันทรีคลับกับจิตรา
ซึ่งก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องระเห็จไปอยู่ซาฟารีเวิลด์อีก
ทวีศักดิ์ ปานะนนท์ เป็นนักการตลาดจากโอเรียลเต็ลพลาซ่า เป็นอีกคนที่มาแทน
และวิเชียรก็ส่งสมบูรณ์ วรปัญญาสกุล น้องภรรยามาเป็นผู้จัดการทั่วไปคู่กับทวีศักดิ์
แต่พักเดียวทวีศักดิ์ก็ออก กลับไปอยู่ที่เดิม สมบูรณ์กลับไปทำด้านพัฒนาที่ดินให้กับวิเชียร
ดร.จิราวุธ วรรณศุภ ฉายา "ดร.เจ" รองผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมการก่อสร้าง
เพื่อนร่วมรุ่นสมัยโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนกับวิรุฬก็ประกาศลาออก
"ผมอยู่มา 3 ปีครึ่ง โบนัสไม่เคยมี ความดีไม่ปรากฏ ขืนอยู่ต่อมันก็นานเกินไป
ที่ผมจะอุทิศมันสมองและแรงกายให้ สี่สิบคนมาแล้วที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันออกไปตั้งแต่เปิดโครงการมา
ไม่ว่าจะเป็นเสมียนหรือคนทำงานระดับสู" ดร.เจ เคยกล่าวกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์"
แหล่งข่าวกล่าวว่า สาเหตุที่ดร.เจ ไม่พอใจเรื่องหนึ่งคืออัตราเงินเดือน
ทั้งที่ดร.เจ ต้องรับผิดชอบโครงการมูลค่าหมื่นล้าน แต่เงินเดือนไม่ถึงแสนบาท
"ความเป็นเพื่อนมันกินกันไม่ได้หรอก" เขากล่าว
นอกจากนั้นวิเชียรยังมีมือไฟแนนซ์ที่ชื่อวงศ์ภูมิ วนาสิน มาร่วมทีมด้วย
แต่ก็อยู่ไม่นานนัก และในที่สุดวิรุฬก็ไปได้สัตยาพร ตันเต็มทรัพย์ ซึ่งอยู่ฝ่ายต่างประเทศที่ศรีนครมาทำด้านต่างประเทศให้เวิลด์เทรด
ซึ่งต่อมาสัตยาพรก็เลื่อนขึ้นมาเป็นผู้จัดการทั่วไป ซึ่งล่าสุดสัตยาพรก็ลาออกไปอยู่กับวงศ์ภูมิที่บริษัทราชธานีบ้านและที่ดินไปแล้ว
เรียกได้ว่า เวิลด์เทรดแห่งนี้เป็นสนามปราบเซียนจริงๆ!
"วิรุฬเป็นคนโผงผาง ตัดสินใจเร็ว แต่ก็ขี้ลืม บางทีสั่งลูกน้องแล้วลูกน้องไปทำตามแล้วมันเสียหาย
แกกลับบอกว่าไม่ได้สั่ง" แหล่งข่าวกล่าว
"เขาก็ทำงานตามใจเขา บางทีนัดประชุมกรรมการ ทุกคนก็งานแยะแต่ก็มาคอยแก
แล้วแกก็โทรมาบอกว่าไม่มาเฉยๆ แบบนี้บ่อย และตอนเปิดโครงการเฟสแรก เชิญนายกฯ
ชาติชายมาเปิด ก็เกี่ยงกันเรื่องทำสไลด์มัลติวิชั่นราคา 3 แสน 5 หมื่นบาท
คุณวิรุฬต่อเหลือ 3 แสน ตกลงกันไม่ได้ ก็เลยไม่มี" แหล่งข่าวอีกคนกล่าว
ความผันผวนของเวิลด์เทรดเกิดจากการตัดสินใจที่ไม่แน่นอนของวิรุฬ วิรุฬไม่ค่อยยอมรับเงื่อนไขของคนอื่นง่ายๆ
ทั้งเรื่องสถาบันการเงินที่จะมาร่วมทุนก็ไม่ชัดเจนแน่นอนว่าจะเป็นใคร บริษัทผู้รับเหมาในหลายๆ
ส่วนก็เปลี่ยนไปแล้วหลายเจ้า โรงแรมต่างประเทศที่จะมาลงที่เวิลด์เทรดก็เปลี่ยนได้เสมอ
เช่น สวิสโฮเต็ลก็เพิ่งโบกมือลาไปหมาดๆ
"การตัดสินใจเพื่อลงทุนเพิ่มเติมล่าช้ามาก บางเรื่องที่คุณอุเทนต้องตัดสินใจก็ปล่อยไปก่อน
ไม่ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรแน่ แกคงคิดแบบนายแบงก์ว่ายิ่งช้ายิ่งได้ดอกเบี้ย
ท่านคงลืมไปว่าเป็นเงินของธนาคารท่านเอง" แหล่งข่าวคนหนึ่งหยอก
"เรื่องเวิลด์เทรดก็เป็นเรื่องของคนอีกนั่นแหละ ความล่าช้ามีหลายปัจจัยและมีไอเดียหลายอย่าง
คุณก็อยากจะทำให้มันดีที่สุด ถ้าทำแบบเผด็จการมันก็ง่ายแต่ประชาธิปไตยมันก็หลายความคิด
สไตล์การบริหารแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน" วิเชียรพยายามให้เหตุผลของความล่าช้า
บทเรียนจากนิคมอุตสาหกรรมบางปูที่ว่า "ยิ่งช้ายิ่งได้กำไร" อาจจะยังเป็นคำปลอบใจของคนในเตชะไพบูลย์ก็ได้
เพียงแต่ว่าครั้งนี้พวกเขาอาจจะลืมไปว่า สินค้าที่จะขายนั้นมันต่างกันและสาเหตุของความล่าช้านั้นก็ไม่เหมือนกัน
บางทีเผลอๆ ที่ว่ายิ่งช้ายิ่งได้กำไร อาจจะเป็น "กำไร" ที่อยู่บนก้อนเมฆเหนืออาคาร
63 ชั้นที่ไม่รู้จะสร้างเสร็จเมื่อไร!!!