Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2533








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2533
ซิโน-ไทย ไม่โตก็ตาย             
 


   
search resources

ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น, บมจ.
ชวรัตน์ ชาญวีรกูล
Construction




"ผมกล้าพูดได้เลยว่าต่อไปนี้ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะตกต่ำอย่างไร ซิโน-ไทยจะยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง" ชวรัตน์ ชาญวีรกูล กรรมการผู้จัดการของกลุ่มซิโน-ไทยพูดอย่างมั่นอกมั่นใจถึงความแข็งแรงของตัวเอง

สี่ห้าปีก่อนชวรัตน์ยอมรับว่าตัวเองก็มืดมนหาทางออกใหักับซิโน-ไทยไม่เจอเหมือนกัน สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือประคับประคองค้ำยันพอให้ทรงอยู่ได้ รอวันที่ฝนจะซา ฟ้าเริ่มจะใสเท่านั้น

ในวงการก่อสร้าง ชวรัตน์นับได้ว่าเป็นนักสู้คนหนึ่งที่สามารถปั้นซิโน-ไทยขึ้นมาเป็นบริษัทชั้นแนวหน้าที่มีความชำนาญเป็นพิเศษในด้านโครงสร้างโลหะ จากจุดเริ่มต้นเมื่อยี่สิบแปดปีที่แล้ว

ชวรัตน์เป็นลูกจีนกวางตุ้ง ครอบครัวเคยทำธุรกิจโรงสีมาก่อนที่จะเปลี่ยนมาเปิดร้านขายเครื่องเหล็กที่บางรัก และมีโรงงานเล็กๆ อยู่แถวสาธุประดิษฐ์ เขาจบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนอัสสัมชัญบางรักเมื่อปี 2499 ต่อด้วยการศึกษาในคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างปี 2500-2504

วิถีชีวิตในครอบครัวคนจีนที่บ่มเพาะลูกหลานให้รู้จักทำมาหากินตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นเบ้าที่หล่อหลอมความช่ำชองในเรื่องงานก่อสร้างโครงสร้างเหล็กให้กับชวรัตน์ เวลาที่ว่างจากการเรียนหมดไปกับการช่วยงานของครอบครัว แม้ขณะที่เรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ ก็ยังถือเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญ สิ่งนี้ได้สร้างความรู้ทักษะในงานก่อสร้างให้กับชวรัตน์ โดยไม่ต้องไปนั่งเรียนจากตำราเหมือนนักเรียนวิศวะ

"สมัยเรียนธรรมศาสตร์มีเวลาว่างมาก ตอนบ่ายๆ ก็ไปเดินดูหนังสือที่แผงสนามหลวง ไปเปิดแม็กกาซีนดูเห็นบริษัทต่างประเทศที่ทำพวกอุตสาหกรรมหนักอย่างมิตซูบิชิ โตชิบา ก็เลยคิดว่าสักวันหนึ่งเราคงจะทำพวกนี้บ้าง" ชวรัตน์เล่าถึงแรงบันดาลใจของตัวเอง

ปี 2505 หลังจากจบธรรมศาสตร์แล้วชวรัตน์เปิดกิจการของตัวเองขึ้นมาชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง ด้วยทุนจดทะเบียนห้าแสนบาท รับทำโครงเหล็ก โครงสร้างโลหะเล็กๆ

ระหว่างปี 2506-2511 ในยุคที่สงครามเวียดนามกำลังร้อนระอุถือว่าเป็นยุคทองของซิโน-ไทยเมื่อได้เป็นผู้รับเหมางานก่อสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวกับการก่อสร้างของกองทัพเรือสหรัฐฯ โดยได้งานประมูลสร้างรั้วตาข่ายเหล็กที่เรียกว่า SECURITY FENCE ส่งไปใช้ที่ดานังในเวียดนาม และงานก่อสร้างตามฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยแถบนครพนม อุบลราชธานี อุดรธานี ตาคลี สัตหีบ ขอนแก่น

หลังจากปี 2511 สงครามเวียดนามมีแนวโน้มเริ่มสงบลง ทำให้ชวรัตน์ต้องมองหาช่องทางทำมาหากินใหม่ เขาเริ่มหันมาจับงานด้านก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมตามแนวโน้มการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม

ปี 2510 ห้างหุ้นส่วนจำกัดซิโน-ไทยเอ็นจิเนียริ่ง แปรสถานะเป็นบริษัทจำกัดด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาทเพื่อรองรับทิศทางใหม่ของธุรกิจ ซึ่งในช่วงนั้นมีการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ ซัมมิท งานด้าน INFRASTRUCTURE ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมในภาคเอกชนเป็นจำนวนมาก

ปี 2518 ซิโน-ไทยขยายตัวอีกครั้งหนึ่งด้วยการตั้งบริษัทใหม่ชื่อซิโน-ไทยเพรสเชอร์ เวสเซิ้ล เป็นกิจการทำหม้อน้ำสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม หลังจากนั้นในปี 2520 ก็ตั้งบริษัทซิโน-ไทยคอนสตรัคชั่นเซอร์วิสขึ้นมาเป็นกิจการให้เช่าเครื่องมือก่อสร้าง

ส่วนตัวบริษัทแม่คือซิโน-ไทยเอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่นเองนั้นก็ได้เพิ่มทุนขึ้นมาเป็นลำดับจาก 2 ล้านบาทเป็น 8 ล้านบาทในปี 2527 จนถึง 16 และ 30 ล้านบาทในปี 2522 และ 2526 ตามลำดับ

การขยายตัวของซิโน-ไทยนั้นกล่าวได้ว่าเป็นผลโดยตรงจากการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจโดยรวมที่มีการลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมาก และการลงทุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานในภาครัฐบาล เป็นการขยายตัวโดยธรรมชาติเฉกเช่นการเติบใหญ่ของธุรกิจทั่วๆ ไป

เช่นเดียวกับการตกต่ำ ที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจเป็นเงื่อนไขใหญ่โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ยามเศรษฐกิจรุ่งเรืองก็เรืองรองตามไปด้วย แต่ในยามเศรษฐกิจตกต่ำอุตสาหกรรมนี้ก็จะเจ็บตัวมากที่สุดเช่นเดียวกัน

ซิโน-ไทยในระยะปี 2525-2526 เกรียงไกรถึงขีดสุด ช่วงนั้นมีงานก่อสร้างและวางท่อแก๊สธรรมชาติของปตท. งานขยายโรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ที่มีมูลค่านับเป็นร้อยๆ ล้านบาทขึ้นไปอยู่ในมือ

เป็นความยิ่งใหญ่ที่สะสมมาถึงยี่สิบปี แต่เมื่อจะถึงคราวตกต่ำก็ดิ่งลงเหวได้ภายในเวลาเพียงสองสามปีเท่านั้น

แรงกระทบประการแรกที่ส่งผลสะเทือนต่อสถานะของซิโน-ไทยคือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เริ่มต้นในปี 2527 ซึ่งสร้างปัญหาให้กับทุกๆ ธุรกิจไม่เฉพาะซิโน-ไทยเท่านั้น เมื่อเศรษฐกิจไม่ลื่นไหลทุกๆ ฝ่ายก็ต้องรัดเข็มขัด ตัดรายจ่ายเพื่อความอยู่รอด โครงการลงทุนต่างๆ จำเป็นต้องระงับเอาไว้ก่อนส่งผลโดยตรงและรุนแรงต่อธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างอย่างซิโน-ไทยแบบเลี่ยงไม่พ้น

"เราเคยทำงานปีละพันกว่าล้าน ลดลงเหลือแค่สี่ร้อยกว่าล้านบาทเท่านั้น" ชวรัตน์พูดถึงความย่ำแย่ในช่วงนั้น และงานก่อสร้างมูลค่าสี่ร้อยกว่าล้านบาทนั้น ล้วนแต่เป็นงานที่รับมาแล้วรู้อยู่ว่าขาดทุนแน่ๆ ไม่ต้องไปนั่งคิดว่าจะได้กำไรเท่าไร เพราะเป็นงานที่ได้มาด้วยการ "ฟัน" ตัดราคาคู่แข่งเพื่อให้ได้งานมาก

ชวรัตน์บอกว่าถึงแม้จะรู้ว่าขาดทุนแต่ก็จำเป็นต้องรับงานมาเพื่อไม่ให้ขาดทุนมากไปกว่านี้จากค่าใช้จ่าย ค่าจ้างเงินเดือนที่ต้องจ่ายให้พนักงานโดยไม่มีงานทำ ซิโน-ไทยเป็นบริษัทก่อสร้างที่ชำนาญงานทางด้านโครงสร้างโลหะ โดยเฉพาะบุคลากรที่มีอยู่จัดได้ว่าเป็นผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะทางที่ไม่อาจหาได้อย่างง่ายๆ ดังนั้นแม้จะเป็นช่วงที่งานน้อยซิโน-ไทยก็จำเป็นที่จะต้องรักษาคนเผื่อเอาไว้ในยามที่เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นมา

มาตรการลดค่าใช้จ่ายทางด้านพนักงานช่วงนั้นจึงมีเป้าหมายที่พนักงานส่วนที่ไม่ใช่บุคลากรที่มีฝีมือทางฝ่ายช่างหรือวิศวกร คือพนักงานทางด้านธุรการ บัญชีหรือการเงินเป็นส่วนใหญ่

ทางออกเฉพาะหน้าของซิโน-ไทยในตอนนั้นจึงเป็นการหางานเข้ามาให้มากที่สุด เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนสำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่อาจลดลงได้แล้วเท่านั้น โดยไม่ต้องพะวงถึงงานที่ได้มาว่าจะคุ้มหรือไม่

ยิ่งรับงานเข้ามามากเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มตัวเลขขาดทุนในบัญชีของซิโน-ไทยมากขึ้นเป็นเงาตามตัว!!

เหตุการณ์จลาจลเผาโรงงานไทยแลนด์แทนทาลัมที่ภูเก็ตเมื่อเดือนมิถุนายน 2529 นั้นเป็นประวัติศาสตร์บทสำคัญของสังคมไทย สำหรับซิโน-ไทยแล้วกรณีแทนทาลัมคือความทรงจำอันเลวร้ายที่มากระหน่ำซ้ำเติมสถานการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้ทรุดหนักลงไปอีก เพราะซิโน-ไทยคือผู้รับเหมาก่อสร้างโรงงานที่ถูกเผาไป เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว ไทยแลนด์แทนทาลัมต้องหยุดชะงักไปเป็นเวลาหลายปี ค่าก่อสร้างจำนวน 260 ล้านบาทไม่อาจจ่ายคืนให้กับซิโน-ไทยได้จนกระทั่งบัดนี้

"เฉพาะดอกเบี้ยที่ไม่ได้จ่ายให้เรามาสามสี่ปีนี้ก็ร่วมสามสิบสี่สิบล้านแล้ว" ชวรัตน์เปิดเผย

แรงกระทบประการที่สองที่เป็นตัวเร่งให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเลวร้ายมากขึ้นคือการลดค่าเงินบาทเมื่อปลายปี 2527 จาก 23 บาทเป็น 27 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ทำให้ต้นทุนงานก่อสร้างเพิ่มขึ้นมหาศาล

ช่วงนั้นซิโน-ไทยรับงานวางท่อแก๊สของปตท. โดยเป็นผู้รับเหมาช่วง (SUBCONTRACT) จากบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ก่อนลงมือวางท่อทางญี่ปุ่นให้เครดิตในการสั่งซื้อเครื่องจักรและวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในงานจากต่างประเทศ นอกจากนี้งานสร้างคลังเก็บน้ำมันที่ซิโน-ไทยรับจากเอสโซ่ก็มีการสั่งซื้อเหล็กเป็นจำนวนมาก สั่งซื้อเสร็จไม่นานก็ลดค่าเงินบาท

ซิโน-ไทย ขาดทุนทันทีจากอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ซึ่งว่ากันว่ายอดขาดทุนจากงานนี้สูงถึง 800 ล้านบาท

นอกจากการขาดทุนอันเนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการลดค่าเงินบาทแล้ว ซิโน-ไทยยังเจ็บตัวจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินกู้ต่างประเทศด้วย

"เพราะว่าดอกเบี้ยถูก" ชวรัตน์พูดถึงเหตุผลที่ต้องมีการกู้เงินนอก ซิโน-ไทยใช้เงินกู้ที่เป็นเงินดอลลาร์ในอัตราดอกเบี้ย 7% และเงินฟรังค์สวิสดอกเบี้ย 4.5% จากธนาคารคอนติเนนตัล อิลลินอยส์ของสหรัฐฯและจากลอยด์แบงก์ของอังกฤษ โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้ค้ำประกัน

ความเสียหายในส่วนนี้คิดเป็นเงินราวๆ 120 ล้านบาท หักลบกับดอกเบี้ยถูกๆของเงินสองสกุลนี้เมื่อเทียบกับ PRIME RATE 11% ของเงินกู้ในประเทศตอนนั้นแล้ว ซิโน-ไทย ยับเยินไปกับงานนี้ 60-70 ล้านบาท

ถ้าเรื่องของโชคชะตา พรหมลิขิตที่ขีดเส้นทางเดินของคนเราเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง จังหวะแห่งชีวิตของชวรัตน์ในช่วงปี 2527-2530 นั้นต้องถือว่าผิดพลาดไปหมด จะเรียกว่าดวงเป็นพิษก็คงไม่ผิด!

ก่อนจะถึงจุดเริ่มต้นของความเลวร้ายจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการลดค่าเงินบาทในปี 2527 ซิโน-ไทยซึ่งเคยทำแต่ธุรกิจก่อสร้างมาเป็นเวลานานถึง 27 ปีเริ่มต้นขยับขยายเข้าไปสู่ธุรกิจใหม่เป็นครั้งแรก นั่นคือธุรกิจเรียลเอสเตท ประเดิมด้วยโครงการตึกซิโน-ไทยทาวเวอร์ในซอยอโศก

โครงการนี้ไม่ได้เป็นของซิโน-ไทยตั้งแต่เริ่มแรก เดิมชื่อเอ็มพีดีออฟฟิศคอนโดมิเนียมเป็นของสมใจปัญจะในนามบริษัทปัญจะภัทรกิจ เริ่มต้นโครงการในปี 2526 ซิโน-ไทยเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะผู้รับเหมาก่อสร้างตึกเท่านั้น

หลังจากลงมือก่อสร้างไปได้ไม่นาน สมใจเจ้าของโครงการก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในเดือนมกราคมปี 2527 ทางญาติๆซึ่งเป็นหุ้นส่วนในโครงการนี้ไม่มีใครคิดจะรับช่วงต่อเพราะไม่มีความถนัดทางนี้ จึงบอกขายโครงการในราคาประมาณ 250 ล้านบาท

"เราคิดว่าเราเป็นผู้ก่อสร้าง ช่วงนั้นงานมันเริ่มน้อย ถ้าเรามีตึก งานน้อยก็มาทำตึกนี้แล้วอีกอย่างตึกนี้ผมเห็นแล้วชอบเป็นพิเศษ" ชวรัตน์พูดถึงแรงจูงใจของตนเองที่เข้ามาซื้อโครงการนี้

แต่สหายรักคนหนึ่งของชวรัตน์กลับอธิบายสาเหตุของการเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการนี้ว่าหลังการเสียชีวิตของสมใจ โครงการเอ็มพีดีมีปัญหาไม่สามารถชำระค่าก่อสร้างให้กับซิโน-ไทยได้ ชวรัตน์มีทางเลือกอยู่สองทางคือปล่อยให้หนี้สูญไปเลย กับเข้าไปซื้อโครงการนี้มาทำเอง ซึ่งเขาเลือกเอาข้อหลัง

กลางปี 2527 ชวรัตน์เข้าไปเทคโอเวอร์โครงการเอ็มพีดีอย่างเต็มตัว เปลี่ยนชื่อบริษัทเจ้าของโครงการเป็น ซิโน-ไทยเอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่นเป็นผู้ถือหุ้น 100 เปอร์เซ็นต์

ช่วงที่ซิโน-ไทยเข้าไปใหม่ๆนั้น สถานการณ์ก็ทำท่าว่าจะรุ่งเรือง มีโครงการ ออฟฟิศคอนโดมิเนียมหลายๆแห่งเกิดขึ้นมา แต่ถัดมาไม่นานความสดใสเรืองรอง ที่เห็นกันอยู่รำไรก็หายวับไปกับตา จากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การลดค่าเงินบาท ที่ชวรัตน์บอกว่าทำให้ต้นทุนการสร้างตึกสูงขึ้นจากเดิมร้อยกว่าล้านบาทซ้ำเติมด้วยมาตรการจำกันสินเชื่อไม่เกิน 18 เปอร์เซ็นต์ในช่วงปี 2528 ที่ทำให้เงินหมุนเวียนในภาคเอกชนหกตัวลงอย่างกระทันหัน โครงการลงทุนขยับขยายหาสำนักงานใหม่ต้องหยุดชะงักลง ปริมาณพื้นที่ของออฟฟิศคอนโดมิเนียมในเวลานั้นมีมากเกินความต้องการของตลาดไปโดยปริยาย

"ผมสร้างไปก็หนาวไปเพราะไม่มีลูกค้าติดต่อเข้ามาเลย" ชวรัตน์ย้อนหลังไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้นที่แม้อนาคตจะค่อนข้างมืดมน แต่เมื่อกระโจนเข้าไปเต็มตัวแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปให้ถึงที่สุด

การก้าวเข้าไปสู่ธุรกิจเรียลเอสเตทของซิโน-ไทยเป็นครั้งแรกจึงเป็นจังหวะก้าวที่ไม่สดใสเอาเสียเลยนอกจากจะไม่สามารถสร้างรายได้เพิ่มตามที่หวังไว้แล้ว ยังเป็นภาระที่จะต้องหาเงินมาใส่เข้าไปเพื่อสร้างให้เสร็จในขณะที่สถานการณ์ด้านธุรกิจก่อสร้างกำลังอยู่ในอาการเพียบหนัก

"ผมต้องขายหุ้นผาแดงซึ่งมีอยู่สี่เปอร์เซ็นต์เพื่อหาเงินมาหมุน" ชวรัตน์ยกตัวอย่างของการดิ้นรนหาเงินเฉพาะหน้า นอกเหนือจากการพยายามหางานเข้ามามากๆโดยยอมขาดทุน

ซิโน-ไทยเป็นผู้ก่อสร้างโรงงานถลุงแร่สันกะสีของผาแดงอินดัสตรี้ที่จังหวัดตากโดยใช้เวลาถึง 12 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์ และได้เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นรายหนึ่งของผาแดงด้วย

ตัวอาคารซิโน-ไทยทาวเวอร์นั้นเมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วเกือบจะกลายเป็นอาคารร้างเพราะหาคนมาซื้อไม่ได้ จนต้องเปลี่ยนนโยบายการขายจากเดิมที่เป็นการขายกรรมสิทธิ์มาเป็นการให้เช่าพื้นที่แทน

สาเหตุหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงการขายนั้น ว่ากันว่าเป็นความต้องการของเจ้าหนี้รายใหญ่คือธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองตึกนี้ด้วย อัตราค่าเช่าของซิโน-ไทยทาวเวอร์นับว่าถูกเอามากๆคือเพียงร้อยกว่าบาทต่อตารางเมตรเท่านั้น เปรียบเทียบกับปัจจุบันที่ค่าเช่าในตลาดขึ้นไปถึงห้าร้อยกว่าบาทต่อตารางเมตรแล้ว ซิโน-ไทยทาวเวอร์ก็ยังยืนราคาเดิมอยู่เพราะสัญญาเช่าอายุสามปีนั้นยังมีผลจนถึงทุกวันนี้

"ผมเจ็บตัวก็เพราะตึกนี้ ได้ดีก็เพราะตึกนี้" ชวรัตน์มักจะพูดกับใครต่อใครเช่นนี้เสมอ ในวันนี้วันที่เขาลุกยืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่การกลับมาในครั้งนี้เขาต้องสูญเสียบางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน "เราต้องตัดเนื้อบางชิ้นออกไปเพื่อความอยู่รอด"

ปลายปี 2530 เจ้าหนี้ใหญ่คือธนาคารไทยพาณิชย์เริ่มให้ความสนใจกับสภาพหนี้สินของซิโน-ไทยอย่างจริงจัง ไทยพาณิชย์ทาบทามบุรินทร์ บริบูรณ์ ให้เข้าไปจัดการทางด้านการเงินและการปรับโครงสร้างของซิโน-ไทยเรียลเอสเตท

บุรินทร์มาจากบริษัทไทยบิสซิเนส คอนซัลแตนท์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการบริหารของโชติ โสภณพนิช ก่อนที่เขาตกลงใจเข้ามาทำงานในซิโน-ไทยเคยเข้าไปจัดการปรับโครงสร้างของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บางกอกโนมูระจนเสร็จเรียบร้อยและเปลี่ยนชื่อมาเป็นพัฒนสินในปัจจุบัน

ศุภเดช พูนพิพัฒน์แห่งบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติเป็นอีกคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการปรับโครงสร้าง

แนวความคิดหลักๆ ของการปรับโครงสร้างคือซิโน-ไทยเรียลเอสเตทจะต้องโตให้มากกว่านี้เพื่อความอยู่รอด วิธีการก็คือการเพิ่มทุน แต่ก่อนที่จะเพิ่มทุนนั้นต้องจัดการกับปัญหาการขาดทุนสะสมให้ได้เสียก่อน

ยอดขาดทุนสะสมของซิโน-ไทยเรียลเอสเตทเมื่อสิ้นปี 2530 คือ 64 ล้านบาท เดือนพฤศจิกายน 2530 ซิโน-ไทยเพิ่มทุนจาก 9 ล้านบาทเป็น 150 ล้านบาท และในเดือนกรกฎาคมปี 2531 ก็ทำการลดทุนจาก 150 ล้านบาทเหลือ 75 ล้านบาทด้วยการลดมูลค่าหุ้นจากหุ้นละ 20 บาทเป็นหุ้นละ 10 บาท โดยผ่านกระบวนการเพิ่มทุน ลดทุนนี้ยอดขาดทุนสะสมก็ลดเหลือเพียงสองล้านบาทเท่านั้น หลังจากนั้นเดือนตุลาคมซิโน-ไทยเรียลเอสเตทเพิ่มทุนครั้งใหญ่อีก 925 ล้านบาท แต่เรียกชำระก่อนเพียง 425 ล้านบาท เพื่อให้มีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท

การเพิ่มทุนครั้งนี้ได้มีการทาบทามกลุ่มธุรกิจจากต่างประเทศให้เข้ามาร่วมทุนด้วย โดยทางธนชาติได้ชักชวนกลุ่มฮังลุง ดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่ดินหนึ่งในห้ายักษ์ใหญ่ของฮ่องกงเข้ามาถือหุ้น ส่วนชวรัตน์ก็ดึงบริษัทพรูเดนเชี่ยล แอสเสท แมนเนจเมนท์ซึ่งอยู่ในเครือของพรูเดนเชี่ยล ยักษ์ใหญ่ทางด้านประกันภัยจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาด้วย

ฮังลุงถือหุ้นอยู่ 35% พรูเดนเชี่ยล 14% ทางฝ่ายไทยนั้นธนชาติมีหุ้น 23% อีก 28% ที่เหลือเป็นของซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง และขณะนี้กำลังเตรียมยื่นขออนุญาตเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ชวรัตน์ยังคงเป็นประธานบริษัทอยู่ แต่อำนาจในการบริหารที่แท้จริงนั้นเป็นการตัดสินใจร่วมกันทั้งสี่ฝ่ายแทนการตัดสินใจของชวรัตน์คนเดียวดังแต่ก่อนที่บริษัทนี้ยังเป็นของซิโน-ไทยแต่เพียงผู้เดียว ส่วนกรรมการผู้จัดการเป็นคนของฮังลุงชื่อ ฟรานซิส ยิป

"รู้สึกดีใจด้วย เราสามารถที่จะเอามันสมองของเขามาใช้ ไม่ต้องเหนื่อยคนเดียว" เป็นคำพูดของชวรัตน์ต่อความรู้สึกของตนเองที่ต้องลดสัดส่วนความเป็นเจ้าของในกิจการที่เขาสร้างมากับมือ

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใดที่ดีกว่านี้ก็เป็นเรื่องที่ชวรัตน์ต้องทำใจ แม้กระนั้นก็ไม่วายที่จะรู้สึกเจ็บปวดเมื่อมีการเปลี่ยนชื่อบริษัทซิโน-ไทยเรียลเอสเตทมาเป็นชื่อใหม่คือ เอช ที อาร์ คอร์ปอเรชั่น

"ความจริงแล้วทางฮ่องกงต้องการเปลี่ยนชื่อตึกจากซิโน-ไทยทาวเวอร์มาเป็นชื่อเดียวกับชื่อบริษัท แต่คงเกรงใจคุณชวรัตน์เลยยอมใช้ชื่อเดิม" แหล่งข่าวในซิโน-ไทยเปิดเผย

หลังจากปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นเรียบร้อยแล้ว เอช ที อาร์ คอร์ปอเรชั่น ได้เริ่มโครงการใหม่ชื่อโกลเด้น บีชไซด์ คอนโดมิเนียมที่พัทยาโดยร่วมทุนกับรจิต แสงรุจิ เจ้าที่ดินใหญ่รายหนึ่งแถบพัทยา ตั้งบริษัทอุดมวิจิตรขึ้นมาดำเนินโครงการนี้ และยังมีโครงการสร้างคอมเพล็กซ์บนเนื้อที่ 30 ไร่ที่พัทยากลาง ซึ่งกำลังให้บริษัทคาซ่าเขียนแบบอยู่

ตัวชวรัตน์เองนั้นยังตั้งบริษัทใหม่ขึ้นบริษัทหนึ่งชื่อ ซิโน-ไทยดีเวลลอปเม้นท์ เพื่อทำธุรกิจเรียลเอสเตทของซิโน-ไทยเพียงผู้เดียวเอง เป็นโครงการออฟฟิศคอนโดมิเนียมมูลค่า 400 ล้านบาทที่ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตร 4 ซึ่งเป็นที่ตั้งของซิโน-ไทยเพรสเชอร์ เวสเซิ้ลในขณะนี้

ในขณะเดียวกัน สถานการ์เศรษฐกิจที่เคยเป็นต้นเหตุแห่อาการซวนเซของซิโน-ไทยก็เริ่มคลี่คลายขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2530 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน การลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม การพัฒนาที่ดินทำให้ธุรกิจก่อสร้างฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปลายปี 2531

"ปีกลายนี้เราทำงานมูลค่าพันสามร้อยกว่าล้านบาท ปีนี้คงจะอยู่ราวๆ หนึ่งพันหกร้อยล้านบาท เรามี BACKLOG อยู่สองพันกว่าล้าน มีแต่เพิ่มไม่มีลด" ชวรัตน์เปิดเผย

แต่ความตกต่ำในช่วงห้าปีที่แล้วยังคงเป็นฝันร้ายที่ชวรัตน์จดจำไม่รู้ลืม และเป็นบทเรียนอันยิ่งใหญ่ที่เขาเก็บเกี่ยวมาใช้กำหนดทิศทางของซิโน-ไทยในปัจจุบัน

ซิโน-ไทยในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาพึ่งพิงรายได้หลักจากการก่อสร้างเพียงอย่างเดียว รายได้จากตัวบริษัทแม่คือซิโน-ไทยเอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่นนั้นเท่ากับ 80% ของธุรกิจทั้งหมด

ข้อดีของธุรกิจก่อสร้างคือไม่ต้องใช้เงินทุนมากงานมูลค่าพันล้านนั้นสามารถที่จะเดินไปได้ด้วยเงินทุนเพียง 50 ล้านบาทสำหรับการหมุนเวียนในตอนแรกส่วนที่เหลือจะมาจากผู้ว่าจ้างซึ่งจ่ายตามความคืบหน้าของงานและวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

เปรียบเทียบกับการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมที่ต้องลงทุนถึงห้าร้อยล้านบาทสำหรับการทำยอดขายให้ได้พันล้าน กำไรเมื่อเทียบกันทุนที่ลงไปการก่อสร้างจะดีกว่ามากๆ

แต่ข้อเสียของธุรกิจก่อสร้างคือมีความอ่อนไหวต่อความแปรปรวนของสภาพเศรษฐกิจสูงมาก เวลาขึ้นก็ขึ้นหมด แต่เวลาลงก็รูดลงมาทีเดียวเหมือนกัน และช่วงของการตกต่ำนั้นจะยาวนานมาก

แม้แต่ในเวลาที่เศรษฐกิจดีๆ มีงานมากๆ ยังต้องเสี่ยงกับภาวะความผันผวนของราคา เพราะระยะเวลาของโครงการก่อสร้างนั้นยาวนาน เวลาที่คิดคำนวณราคาต้นทุนกับเวลาที่ลงมือก่อสร้างกว่าจะสิ้นสุดโครงการกินเวลาเป็นปี ภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนค่าแรง วัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ความขาดแคลนวัตถุดิบ บุคลากร ทำให้ธุรกิจที่ทำยอดรายรับได้มากๆ โดยลงทุนต่ำอย่างธุรกิจก่อสร้างนี้เมื่อสิ้นสุดแต่ละโครงการแล้ว กำไรที่เป็นเม็ดเงินจริงๆ น้อยมาก

"ต้องคิดราคาให้สูงพอที่จะไม่ขาดทุน แต่ว่าต้องต่ำพอที่จะให้ได้งานมา (HIGH ENOUGH TO MAKE A PROFIT AND LOW ENOUGH TO GET THE JOB) นี่คือข้อสรุปของชวรัตน์ที่มีต่องานก่อสร้างซึ่งเขาบอกว่าเป็นอาชีพที่ยากที่สุด

ซิโน-ไทยจึงต้องโตให้มากกว่านี้ เพราะถ้าไม่โตก็ตาย นอกจากต้องโตแล้วยังต้องโตในหลายๆ ด้านเพื่อให้มีเสถียรภาพที่ดีด้วย

"ผมเพิ่งมาเจอสัจธรรมด้วยตัวเองว่าต้องมีขาเยอะๆ นั่นคือ DIVERSIFICATION" ชวรัตน์สรุปบทเรียนจากความตกต่ำของซิโน-ไทยเมื่อห้าปีที่แล้ว

ซิโน-ไทยในวันนี้จึงเริ่มต้นขยายตัวเข้าไปในธุรกิจอื่นๆ นอกจากการก่อสร้าง เพื่อกระจายฐานรายได้ให้มากขึ้น สำหรับจุนเจือตัวธุรกิจก่อสรางหากจะต้องพบกับผลกระทบจากเศรษฐกิจอีกครั้งหนึ่ง

ทิศทางของการขยายตัวเข้าไปในธุรกิจอื่นในประการแรกคือ การร่วมลงทุนและร่วมบริหารในธุรกิจนั้นด้วย นอกเหนือจากเอช ที อาร์ คอร์ปอเรชั่น แล้วก็มีบริษัทเร็กซ์ พลาสติกซึ่งเป็นการร่วมทุนกับบริษัทเร็กซ์ จากสิงคโปร์ผลิตถังพลาสติกเพื่อใส่สารเคมี บริษัทซีบีไอ/ซิโน-ไทย จ้อยท์เวนเจอร์ ร่วมทุนกับ CHICAGO BRIDGE & IRON COMPANY จากสหรัฐอเมริกาซึ่งมีประสบการณ์ถึง 100 ปีในงานโครงสร้างโลหะและการสร้างถังโลหะสำหรับเก็บน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติและสารเคมี

อีกทิศทางหนึ่งของการขยายตัวคือเข้าไปลงทุนถือหุ้นเพียงอย่างเดียวในกิจการต่างๆ และมีรายได้จากเงินปันผลของกิจการนั้นๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเข้าไปถือหุ้นในกิจการอุตสาหกรรมที่ซิโน-ไทยเข้าไปรับงานก่อสร้างด้วย เช่น บริษัท เฟอร์ร็อกซี่ไทย ไทยแทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมเหมราชของสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง หรือนิคมอุตสาหกรรมเอ็มไทยของกลุ่มเอ็มไทย ซึ่งซิโน-ไทยเคยมีหุ้นอยู่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่ได้ขายไปแล้ว

การเข้าไปถือหุ้นในธุรกิจอุตสาหกรรมของซิโน-ไทยนั้นเป็นบทเรียนของชวรัตน์จากการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทผาแดงอินดัสตรี้ว่า ฐานะของผู้ร่วมทุนในกิจการนั้นเป็นช่องทางที่จะเข้าไปรับงานก่อสร้างเวลาที่มีการลงทุน ขยายงาน เป็นหลักประกันในระยะยาวของซิโน-ไทยได้ระดับหนึ่ง อีกด้านหนึ่งนั้นซิโน-ไทยยังจะมีรายได้จากผลการดำเนินงานของกิจการนั้นๆ ด้วย

ซิโน-ไทยร่วมอยู่ในกลุ่มลาวาลินซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานในโครงการรถไฟฟ้าของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยจากการชักชวนของวีรวัฒน์ ชลวณิช กรรมการผู้จัดการบริษัทไออีซีของปูนซิเมนต์ไทยซึ่งร่วมอยู่ในกลุ่มลาวาลินด้วย แน่นอนว่างานก่อสร้างหลายๆ ส่วนของโครงการมูลค่านับสี่หมื่นล้านบาทนี้จะต้องตกเป็นของซิโน-ไทยรวมทั้งโอกาสที่จะเข้าไปลงพัฒนาที่ดินตามจุดที่เป็นสถานีรับส่งผู้โดยสารก็มีความเป็นไปได้มาก

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของซิโน-ไทยคือการร่วมทุนกับ DHL WORLDWIDE EXPRESS ซึ่งเป็นบริษัทบริการเมล์ด่วนทางอากาศตั้งบริษัท DHL THAILANDขึ้นทำธุรกิจในไทย DHL ขยายบริการเข้ามาในไทยเป็นครั้งแรกเมื่อ 17 ปีที่แล้วโดยผ่านบริษัทตัวแทนคือ GRIFFIN ASSOCIATES ซึ่งสัญญาระหว่างสองบริษัทนี้หมดอายุไปแล้วเมื่อเดือนมิถุนายน DHL จัดตั้งบริษัทสาขาขึ้นในไทยโดยตรง

ซิโน-ไทยถือหุ้นใน DHL THAILAND 5 เปอร์เซ็นต์ ของทุนจดทะเบียน 12.5 ล้านบาท

การขยายตัวเข้าไปในธุรกิจอื่นๆ ของซิโน-ไทย เพิ่งจะเริ่มต้นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้เอง ชวรัตน์บอกว่าเขาศึกษาจากกรณีของบริษัทก่อสร้างของญี่ปุ่นในไทยที่สามารถยืนอยู่ได้ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ เป็นเพราะว่าบริษัทเหล่านี้มีบริษัทแม่ที่มีกิจการหลากหลายมากประเภทมาคอยค้ำจุนเวลาที่บริษัทก่อสร้างมีปัญหา นอกจากนั้นบริษัทในเครือเดียวกันยังเป็นแหล่งที่จะป้อนงานให้กับบริษัทก่อสร้างด้วย

แต่บทเรียนที่มีคุณค่ามากที่สุดคือประสบการณ์ที่ซิโน-ไทยได้รับเมื่อห้าปีที่แล้ว ความตกต่ำในครั้งนั้นทำให้ชวรัตน์เชื่อว่า ซิโน-ไทยจะต้องโตในหลายๆ ด้าน มีขาหลายๆ ขาเพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกันในยามที่เศรษฐกิจแปรปรวน การขยายตัวของซิโน-ไทยที่เพิ่งจะเริ่มต้นในสองสามปีมานี้คือทิศทางที่ถูกผลักดันโดยแนวความคิดเช่นนี้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us