Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา ธันวาคม 2553
น้ำมันดีเซลกับรถแห่งอนาคต             
 


   
search resources

Automotive




น้ำมันดีเซลอาจกลายเป็นตัวช่วยให้รถพลังงานไฟฟ้าประสบความสำเร็จเร็วขึ้น

รถยนต์ที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้าแทนน้ำมัน อาจกลายเป็นรถที่ครองตลาดและอุตสาหกรรมรถยนต์ในโลกอนาคต และรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวรุ่นแรก ก็กำลังจะออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

แต่ด้วยราคาที่ยังคงแพงอยู่ บวกกับการวิ่งได้ระยะไม่ไกลต่อการชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้ง ทั้งยังไม่มีวิธีการเติมแบตเตอรี่ที่สะดวกและรวดเร็ว จึงคาดว่า รถ green car รุ่นใหม่ที่จะออกมาในอนาคตอันใกล้นี้ จะยังคงเป็นรถลูกครึ่งที่ใช้พลังงานผสมจากน้ำมันและไฟฟ้าต่อไปอีก โดยเฉพาะน้ำมันที่ได้ชื่อว่าไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างดีเซล

แม้จะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ในสหรัฐฯ ว่าทำให้รถเสียงดัง และมีกลิ่นเหม็น แต่น้ำมันดีเซลกลับเป็นที่นิยมในยุโรปมานานแล้ว และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ก็มีการออกรถพลังงานสะอาดรุ่นใหม่ออกมามากมาย

ส่วนในปีหน้า Peugeot กับ Mercedes จะเปิดตัวรถไฮบริดลูกครึ่งที่ใช้ดีเซลผสมกับไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ด้าน Volvo ก็มีแผนจะออกรถไฮบริดรุ่น plug-in ซึ่งสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟ ได้ในปี 2012 ตามมาด้วย Peugeot ซึ่งก็มีแผนจะออกรถไฮบริด แบบ plug-in บ้างในปี 2014

รถลูกครึ่งดีเซล-ไฟฟ้ารุ่นใหม่เหล่านี้ จะเป็นรถที่ทั้งสะอาด และประหยัดพลังงาน ไม่แพ้รถลูกครึ่งเบนซิน-ไฟฟ้ารุ่นพี่ ทั้งยังเป็นรถที่แรงกว่า การที่คาดกันว่า ยุโรปจะเพิ่มมาตรฐานการปล่อย ไอเสียที่เข้มงวดมากขึ้นอีก ในขณะที่ราคาแบตเตอรี่ แหล่งพลังงาน ของรถพลังไฟฟ้า คงจะยังไม่ลดลงมาง่ายๆ ในอนาคตอันใกล้ ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่า อนาคตของรถดีเซลสะอาดในยุโรปจะต้องสดใสอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าราคาของรถดีเซลสะอาดจะแพงกว่า เมื่อเทียบกับรถดีเซลรุ่นเก่าก็ตาม

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ดีเซลเป็นน้ำมันที่ช่วยให้รถประหยัด พลังงานได้มากกว่าเบนซิน แต่เมื่อใช้ไปนานๆ รถดีเซลจะปล่อยกำมะถันและไนตรัสออกไซด์ในปริมาณสูง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ข้อกำหนดด้านการปล่อย ไอเสียที่เข้มงวดมากขึ้นทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ทำให้บริษัทผู้ผลิต รถยนต์ต้องหาวิธีการต่างๆ ในการลดการปล่อยก๊าซอันตราย และปรับปรุงแก้ไขรถยนต์รุ่นเก่า เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานที่เข้มงวดดังกล่าว

ทุกวันนี้ รถยนต์ดีเซลสะอาดที่ดีที่สุดอย่าง Audi A3 TDI และ Volkswagen Jetta TDI จึงทั้งเงียบและปล่อยไอเสียต่ำ อัตราการใช้น้ำมันไมล์ต่อแกลลอนโดยเฉลี่ย ก็น้อยกว่ารถไฮบริด อย่าง Toyota Prius เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังสูงกว่ารถเครื่องยนต์เบนซิน

นิตยสาร Green Car Journal ซึ่งติดตามเรื่องรถประหยัด พลังงาน ยกย่องให้รถ Jetta TDP และ A3 TDI เป็นรถ "Green Car of the Year" ประจำปี 2009 และ 2010 ตามลำดับ และยังคาดว่า รถดีเซลสะอาดรุ่นใหม่จะมีอนาคตที่สดใส

รถดีเซลรุ่นใหม่ๆ จะยิ่งสะอาดมากขึ้นไปเรื่อยๆ ในปีหน้า Peugeot มีแผนจะเผยโฉมรถ crossover รุ่น 3008Hybrid4 ซึ่งจะเป็นไฮบริดดีเซลคันแรกในตลาด รถรุ่นนี้ใช้น้ำมันน้อยกว่ารถดีเซลธรรมดาถึง 35% ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 99 กรัมต่อกิโลเมตร หรือมากกว่ารถ Prius ซึ่งเป็นรถรุ่นเล็กกว่าเพียง 10 กรัมเท่านั้น แต่ Peugeot คันใหม่นี้ จะประหยัดน้ำมันมากกว่า ทั้งยังแรงกว่า Prius ควบคุมล้อหน้าด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลขนาด 2 ลิตร 163 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 37 แรงม้า ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ทำจากนิกเกิลเมททอลไฮไดรด์ จะควบคุมล้อหลัง

รถรุ่นนี้เรียกเสียงฮือฮามาแล้วคราอวดโฉมที่งาน 2010 Paris Motor Show และคาดว่าจะขายดีในตลาดรถยุโรป โดยเฉพาะในฝรั่งเศสและเยอรมนี สาเหตุเพราะยุโรปเก็บภาษีน้ำมันเบนซินสูงกว่าดีเซลมานานนับสิบปีแล้ว ซึ่งตรงข้ามกับในสหรัฐฯ ทำให้ 50% ของรถที่ขายในยุโรปตะวันตกเป็นรถดีเซล โดยเฉพาะในฝรั่งเศส ตัวเลขนี้เพิ่มเป็นกว่า 70%

การที่ยุโรปมีรถยนต์ดีเซลที่ทั้งราคาถูก แถมยังแรงกว่าคือ เหตุผลที่ทำให้รถไฮบริดเบนซิน มียอดขายเพียงไม่ถึง 1% เท่านั้นในตลาดรถยุโรป

อย่างไรก็ตาม รถไฮบริดดีเซลยังมีจุดอ่อนสำคัญที่สุดคือราคาแพง เครื่องยนต์ดีเซลทำให้ต้นทุนการผลิตรถเพิ่มขึ้น 2,000 ดอลลาร์ ยิ่งเทคโนโลยีไฮบริด ยิ่งทำให้ราคาบวกขึ้นไปอีก 5,000 ดอลลาร์ ราคาที่แพงขนาดนี้คือเหตุผลที่ทำให้ Toyota และ Volkswagen ยังขยาดที่จะเริ่มพัฒนารถไฮบริดดีเซล

และราคาที่แพงก็เป็นสาเหตุให้คนอเมริกันส่วนใหญ่ ยังคง ซื้อรถเครื่องยนต์เบนซินแบบดั้งเดิม จะมีข้อยกเว้นก็เพียงรถ Prius เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม Peugeot และค่ายรถอื่นๆ ยังหวังว่า รถไฮบริดดีเซลก็จะเป็นข้อยกเว้นด้วย โดยเฉพาะหวังว่านโยบายการคืนภาษีแก่ผู้ซื้อรถไฮบริดในยุโรป อย่างเช่นฝรั่งเศสที่เสนอคืน ภาษีให้ผู้ซื้อถึงเกือบ 3,000 ดอลลาร์ จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาลองซื้อรถที่ทั้งประหยัดพลังงานและแรงกว่าได้

ส่วนคนที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ Peugeot ก็มีแผนจะให้ลูกค้าเช่าซื้อรถ crossover ไฮบริดดีเซลได้ ในราคาผ่อนรายเดือนที่ต่ำกว่ารถรุ่นที่ไม่ใช่ ไฮบริด Peugeot มั่นใจว่า ต่อไปราคารถไฮบริด ดีเซลจะต้องลดลงในที่สุด เนื่องจากการประหยัดจากขนาด และจะสามารถทำยอดขายรถไฮบริดดีเซลและไฮบริด plug-in ของรุ่น 3008 ได้สูงถึง 100,000 คันภายในปี 2015

Toyota ใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าจะทำยอดขายรถ Prius ได้ถึงระดับดังกล่าว เพราะฉะนั้นหาก Peugeot สามารถทำได้จริง ก็จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน คาดกันว่ายุโรปจะเพิ่มการควบคุมการปล่อยไอเสียที่เข้มงวดมากขึ้นภายในปี 2014 ดังนั้น ความสำเร็จของ Peugeot และรถไฮบริดดีเซลอื่นๆ จึงอาจต้องตัดสินกันที่ความเร็วในการพัฒนารถพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ให้มีราคาที่ซื้อหาได้ และหากราคาแบตเตอรี่ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของรถพลังไฟฟ้า จะยังคงมีราคาแพงไปอีกนาน

รถไฮบริดดีเซลสะอาดจึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับรถพลังงานสะอาดในอนาคตอันใกล้นี้

แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง ไทม์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us