|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ญี่ปุ่นนับเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่สำคัญของไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นรองเพียงสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเท่านั้น แม้มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังญี่ปุ่นจะชะลอตัวลงบ้างในปี 2552 จากผลของวิกฤติเศรษฐกิจโลกช่วงปลายปี 2551
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังประเทศญี่ปุ่นมีการขยายตัวทุกเดือนเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวม 14.84 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 32.03 (YoY)
สินค้าส่งออกที่สำคัญ นอกจากจะได้แก่สินค้าประเภทอุปกรณ์และส่วนประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนยานยนต์แล้ว สินค้าอีกประเภทหนึ่งของไทยที่มีความสำคัญในการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น คือสินค้าประเภทอาหาร ซึ่งมีทั้งกลุ่มอาหารแปรรูปเบื้องต้น เช่น ข้าว มันสำปะหลัง กุ้งสดแช่เย็น แช่แข็ง และกลุ่มอาหารกระป๋องและแปรรูป เช่น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป น้ำตาลทราย ผักผลไม้กระป๋องและแปรรูป
โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 สินค้าประเภทอาหาร ที่ไทยส่งออกไปญี่ปุ่นมีมูลค่า 2.57 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น สัดส่วนประมาณร้อยละ 17.25 ของการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทยไปยังญี่ปุ่น ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกอาหารที่สำคัญของไทย เนื่องจากญี่ปุ่นผลิตอาหารได้ไม่เพียงพอกับความต้องการบริโภค
ในขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารที่สำคัญของโลก โดยในระหว่างปี 2551-2552 การส่งออกอาหารของไทย ไปยังญี่ปุ่นมีการเติบโตในเกณฑ์ดีเมื่อเทียบกับการส่งออกของไทย โดยรวมไปญี่ปุ่น ในปี 2551 การส่งออกอาหารจากไทยไปญี่ปุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37.35 (YoY) ซึ่งมากกว่าการเติบโตของ การส่งออกโดยรวมของไทยไปญี่ปุ่นซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 10.90 (YoY)
ส่วนในปี 2552 แม้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจจะทำให้การส่งออกอาหารจากไทยไปญี่ปุ่นหดตัวลงร้อยละ 1.96 (YoY) แต่ก็เป็นอัตราที่น้อยกว่าการหดตัวของการส่งออกโดยรวมจากไทยไปญี่ปุ่น ที่ติดลบร้อยละ 21.75 (YoY) ขณะที่ใน 9 เดือนแรกของปี 2553 มูลค่าการส่งออกอาหารจากไทยไปญี่ปุ่นเติบโตในอัตราสูง ร้อยละ 13.50 (YoY) เป็นอัตราการเติบโตที่ระดับเลข 2 หลัก แม้ว่าจะถูกกดดันจากความต้องการบริโภคในญี่ปุ่นที่ชะลอตัวก็ตาม โดยมูลค่าอยู่ที่ 2,559.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 15 ของการส่งออกอาหารของไทยทั้งหมด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สินค้าส่งออกของไทยไปยังญี่ปุ่นในประเภทอาหารยังมีแนวโน้มเติบโตต่อไปได้ในญี่ปุ่นในปีหน้า เนื่องจากอาหารจัดว่าเป็นสินค้าจำเป็น อีกทั้งสินค้าไทยได้รับการยอมรับด้านคุณภาพในตลาดญี่ปุ่น
สำหรับปี 2553 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การส่งออกสินค้าอาหารไปยังตลาดญี่ปุ่นน่าจะเติบโตประมาณร้อยละ 13 (YoY) และอาจจะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงเล็กน้อยในระดับร้อยละ 10-12 (YoY) ในปีหน้า ด้วยผลของฐานที่สูงในปีนี้ประกอบ กับผลของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ควรติดตามอย่างใกล้ชิด
ปัจจัยท้าทายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการเปลี่ยนแปลง ด้านประชากรในญี่ปุ่น ทำให้ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวเพื่อรับมือและหาช่องทางในการบริหารจัดการสถานการณ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจ โดยการให้ความสำคัญมากขึ้นกับคุณภาพ ของสินค้าเพื่อสร้างชื่อเสียงและภาพลักษณ์ที่ดี อันจะนำไปสู่ความสามารถในการครองใจผู้บริโภคในยามที่ต้องเลือกซื้อภายใต้ งบประมาณที่จำกัดมากขึ้น
ขณะเดียวกัน การที่รายได้ผู้บริโภคถูกกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ กลับสามารถมองได้ว่าเป็นโอกาสของไทยในการพัฒนาสินค้าในรูปแบบที่สะดวกในการเตรียมรวมไปถึงอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานมากขึ้น
นอกจากนั้น การที่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มประชากรลดลงและมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ก็อาจพลิกเป็นโอกาสของการส่งออกอาหารเพื่อสุขภาพมายังญี่ปุ่น ซึ่งในปัจจุบันยังมีสัดส่วนในตลาดไม่มากนักก็ได้ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยอาจจะต้องสร้างสรรค์รูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่ง่ายต่อการเปิด เพื่ออำนวยความสะดวกมากขึ้นด้วย
นอกจากด้านผลิตภัณฑ์แล้ว ในส่วนของวิธีการทำธุรกิจ กับผู้นำเข้าชาวญี่ปุ่นก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยชาวญี่ปุ่นนั้น ให้ความสำคัญกับความสม่ำเสมอและตรงต่อเวลาเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นยังมีธรรมเนียมปฏิบัติในการติดต่อธุรกิจที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวหลายประการ เช่น ระดับของการโค้งเพื่อแสดงความเคารพหรือทักทาย หรือความจำเป็นของการให้นามบัตร เป็นต้น ดังนั้น หากนักธุรกิจไทยสามารถปฏิบัติ ตัวได้ถูกต้องก็จะทำให้การติดต่อธุรกิจราบรื่น และช่วยในการรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
บางทีการให้ความสำคัญกับธรรมเนียมการติดต่อธุรกิจกับชาวญี่ปุ่น จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ส่งออกอาหารของไทยไปญี่ปุ่นสามารถทำการค้าได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
น่าจะเป็นผลดีต่อผู้ทำธุรกิจส่งออกอาหารไปญี่ปุ่นเองในท้ายที่สุด
|
|
|
|
|