|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มันใจปี 54 ปีทองเกษตรไทย คาดจีดีพี เกษตรโต 4-5% ระบุ ราคาน้ำมันโลกปีหน้าเฉียด 100 เหรียญสหรัฐ ฉุดราคาธัญพืชขึ้นทั้งแผง โดยเฉพาะ “มันสำปะหลัง-อ้อย” แนะรัฐอุดหนุนเกษตรรักษาสิ่งแวดล้อมรับมือมาตรฐานโลกที่จะเข้มข้นขึ้น ด้านศูนย์วิจับกสิกรไทย คาดปี 54 ราคาข้าวเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 1.15 หมื่นบาทต่อตัน จับตาอินเดียตัวแปลสำคัญจะส่งออกข้าวหรือไม่ ขณะที่ราคายางพาราจะสูงกว่า 100 บาทต่อกิโลกรัมทั้งปี รับอุตสาหกรรมรถยนต์ขยายตัวแรง ในขณะที่มันสำปะหลังต่างชาติ “อียู - จีน” แย่งซื้อ ดันราคาพุ่งเกิน 3 บาทต่อกิโลกรัม ห่วงภัยธรรมาชาติ ศัตรูพืช กดผลผลิตลดฮวบ
ภาคเอกชนมั่นใจปี54ปีทองเกษตรไทย
พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ประธานคณะกรรมการธุรกิจเกษตรและอาหาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาวะการค้าในกลุ่มสินค้าเกษตรในปี 2554 คาดว่าในภาพรวมราคาจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นับได้ว่าเป็นปีทองของเกษตรกรไทย โดยคาดว่าอัตรา จีดีพี ภาคการเกษตร จะขยายตัวประมาณ 4-5% และยังมีแนวโน้มที่ยังอยู่ในขึ้นต่อไปอีก 2-3 ปี เนื่องจากปัญจัยในการต้องการพลังงาน และราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจนคาดว่าในปี 2554 ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 80-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และจะขึ้นไปแตะ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในอนาคตอันใกล้ ก็จะทำให้อุตสาหกรรมพลังงานทดแทนทั่วโลกขยายตัวมากขึ้น ประกอบกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับพื้นที่เพาะปลูกทั่วโลก ทำให้ฉุดราคาธัญพืชทุกชนิดสูงขึ้นตามทั้งหมด
“มัน-อ้อย”ราคาพุ่งตามน้ำมัน
อย่างไรก็ตามในส่วนของสินค้าข้าวนั้น แม้ว่าหลายประเทศจะต้องการข้าวเพิ่มขึ้น แต่ไทยก็ยังมีคู่แข่งที่น่ากลัวคือเวียดนามที่ได้ก้าวขึ้นมาจนมีศักยภาพการส่งออกใกล้เคียงกับไทย แต่ก็ไม่น่ากังวงมากเท่าไร เพราะคู่แข่งประเทศอื่นๆล้วนแต่ชะลอการส่งออก โดยเฉพาะอินเดียที่คาดว่าในปีนี้คงไม่เปิดส่งออกในสินค้าข้าวขาว ในส่วนพืชหลักชนิดอื่นๆนั้นคาดว่าราคายังอยู่ในเกณฑ์ที่สูง เพราะเกี่ยวพันกับราคาน้ำมันแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะมันสำปะหลัง และอ้อย ที่ราคาจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่สูง เป็นห่วงแต่เรื่องของศัตรูพืชที่เข้ามาคุกคามจนทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอที่จะขาย
แนะรัฐอุดหนุนเกษตรรับมือมาตรฐานโลก
ทั้งนี้แม้ว่าสินค้าเกษตรไทยจะมีอนาคตที่สดใส แต่จากสภาวะสิ่งแวดล้อมโลกที่เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเฉพาะในยุโรปต่างตั้งกฎเกณฑ์ในเรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขอนามันสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่น การปล่อยก๊าซคาร์บอนใดออกไซด์ การใช้น้ำ การทำลายสิ่งแวดล้อม จะเป็นตัวกีดกันสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งถ้าประเทศคู่แข่งทำได้ตามมาตรฐานไทยก็จะเสียตลาดส่วนนี้ไป โดยการที่จะปรับปรุงการเกษตรของทั้งประเทศให้ได้มาตรฐานใหม่นี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเป็นตัวหลักในการชักจูงให้เกษตรกรหันมาเดินในแนวทางนี้ เช่นการปรับระบบให้เงินอุดหนุนเกษตรกรใหม่ แทนการชดเชยราคาให้ได้เงินมากเพียงอย่างเดียว เปลี่ยนเป็นการให้เงินอุดหนุนกับเกษตรกรที่ปลูกพืชตามมาตรฐาน จีเอ็มพี การให้เงินอุดหนุนกับเกษตรกรที่ปลูกพืชปลอดสารพิษ เป็นต้น เพราะในระยะแรกของการปลูกพืชแนวทางนี้ผลผลิตจะลดลง ซึ่งถ้ารัฐเข้ามาช่วยเหลือ เช่น เงินทุนในการซื้อเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ ก็จะทำให้เกษตรกรมีกำลังใจ และพัมนาการเพาะปลูกจนได้ผลผลิตที่ดีขึ้น ซึ่งถ้าหากมีแนวทางเช่นนี้ เกษตรกรทั้งประเทศ ก็จะค่อยๆหันมาเพาะปลูกในแนวทางอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการเกษตรของโลก แต่ถ้าหากรัฐบาลไม่เริ่มผลักดัน ความได้เปรียบในด้านการเกษตรของไทยจะลดลงเรื่อยๆ และตามไม่ทันประเทศคู่แข่ง
คาดจีดีพีเกษตรปี54โต3%
ในขณะที่ ภคอร ทิพยธนเดชา ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจจุลภาค ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวถึงแนวโน้มราคาผลผลิตภาคการเกษตรในปีหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ในปี 2554 จะเป็นปีหนึ่งที่เกษตรกรไทยจะลืมตาอ้าปากได้ โดยในภาพรวมของภาคการเกษตรคาดว่าจีดีพีเกษตรจะขยายตัวประมาณ 2%-3% สูงกว่าในปีนี้ที่ขยายตัว 0% เนื่องจากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั้งปี แต่อย่างไรก็ตาม การที่ภาคการเกษตรจะโตได้ตามที่คาด จะต้องอยู่บนพื้นฐานที่ไทยจะไม่ประสบกับภัยแล้ง และน้ำท่วมอย่างรุนแรง และไม่มีปัญหาสัตรูพืชระบาดอย่างหนักหน่วง ซึ่งถ้าเกิดเหตุดังกล่าวแล้วการขยายตัวอาจจะต่ำกว่า 2%
คาดราคาข้าวปี54ทะลุ1.15หมื่นบาท
ในส่วนของราคาข้าวนั้น แนวโน้มราคาข้าวในช่วงที่เหลือของปี 2553 นั้น คาดว่า ราคาในตลาดโลกยังคงมีแนวโน้มปรับขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการข้าวในตลาดโลก และผลจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการผลิตข้าวลดลง และส่งผลต่อเนื่องให้ราคาข้าวไทยมีแนวโน้มปรับขึ้นเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ข้าวในปี 2554 คาดการณ์ว่า ราคาข้าวของไทยยังขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึงช่วงไตรมาสแรกปี 2554 หลังจากนั้นต้องรอดูปริมาณผลผลิตข้าวนาปรัง ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเนื่องจากการปลูกชดเชยข้าวนาปีที่เสียหายจากภาวะน้ำท่วม โดยจะกระทบต่อราคาข้าวขาว แต่คาดว่าราคาข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียวยังอยู่ในเกณฑ์สูงต่อเนื่องทั้งปี 2554 โดยคาดว่าเกษตรกรจะขายข้าวได้ราคาเฉลี่ยทั้งปีที่ 11,000-11,500 บาทต่อตัน ขณะที่ราคาในปี 2553 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 10,500 บาทต่อตัน ส่วนราคาส่งออกในปีหน้าจะอยู่ที่ 14,500 - 15,000 บาทต่อตัน สูงกว่าในปีนี่ที่อยู่ในระดับ 14,000 บาทต่อตัน โดยปริมาณการส่งออกจะใกล้เคียงกับปีนี้คือประมาณ 8 ล้านตัน ส่วนราคาข้าวเหนียว และข้าวหอมมะลิ จะยังคงอยู่ในขาขึ้นต่อไปจนถึงไตรมาส 3 ปีหน้า
ส่วนปัจจัยที่ยังต้องจับตามอง คือ ผลผลิตข้าวของเวียดนามซึ่งจะกระทบภาวะการแข่งขันในการส่งออกข้าวในตลาดโลก ซึ่งสถาณการณ์ขณะนี้คาดว่าในปีหน้าปริมาณข้าวเวียดนามจะเพิ่มขึ้น เพราะพื้นที่ปลูกข้าวหลักในภาคใต้ไม่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยบริเวณที่ได้รับผลกระทบจะอยู่ในภาคเหนือและภาคกลางที่ปลูกข้าวไม่มาก ซึ่งเวียดนามจะเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับข้าวไทย
จับตาอินเดียมีโอกาสส่งออกแข่งไทย
นอกจากนี้ต้องติดตามาการตัดสินใจของอินเดียว่าจะกลับเข้ามาเป็นผู้ส่งออกข้าวหรือไม่ หลังจากที่อินเดียประกาศงดการส่งออกข้าวขาวมาตั้งแต่ปี 2551/52 ในกรณีที่อินเดียกลับเข้าตลาดจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวนึ่งของไทย และส่งผลกระทบให้ราคาข้าวในประเทศไทยมีความผันผวนมากขึ้น อย่างไรก็ตามจากการติดตามสต็อกข้าวของอินเดียพบว่ามีปริมาณสูงขึ้น คาดว่าแนวโน้มที่อินเดียจะส่งออกหรือไม่อยู่ที่ 50:50 ซึ่งถ้าหากอินเดียส่งออกอีกครั้งก็ไม่น่าจะเกิน 2 ล้านตัน ซึ่งจะกระทบกับตลาดข้างนึ่งของไทยในแอฟริกา และตะวันออกกลาง ส่วนผู้ส่งออกข้าวอย่างปากีสถานในปีหน้าก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะประสบภาวะน้ำท่วมอย่างหนัก
คาดราคายางปี54พุ่งได้อีก30%
ในส่วนของยางพารา ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 ราคายางน่าจะยังมีทิศทางเป็นขาขึ้น และคาดว่าราคายางเฉลี่ยทั้งปี 54 ไม่ต่ำกว่าระดับ 100 บาท/กก.แน่นอน จากปัจจัยการขยายการลงทุนของกลุ่มบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ เช่น มิชลิน กู๊ดเยียร์ ซึ่งมีการขยายโรงงานในแหล่งตลาดและแหล่งที่เป็นที่ผลิตยาง รวมถึงประเทศไทย อีกปัจจัยหนึ่งคือการที่ประเทศจีนต้องซื้อยางเพื่อเก็บเข้าสต็อก ซึ่งอาจจะทำให้ราคาเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าปี 2553 ประมาณ 20-30% แต่จะไม่สูงแบบก้าวกระโดดแบบในปีนี้
นอกจากนี้ในปัจจุบันราคายางธรรมชาติ ไม่ได้ถูกกดดันจากราคายางสังเคราะห์แบบในอดีต ที่เมื่อราคายางพาราจะมีขีดจำกันไม่เกินราคายางสังเคราะห์ แต่ในขณะนี้เทคโนโลยีการกลั่นน้ำมันก็เปลี่ยนไป ทำให้ผลิตวัตถุดิบของยางสัมเคราะห์น้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ราคายางสังเคราะห์แพงมาก ทำให้เพดานราคายางพาราสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้สัดส่วนต้นทุนของยางรถยนต์ 1 เส้น คิดเป็นราคายางธรรมชาติเพียง 10% ดังนั้นจึงยังยังมีช่องที่พอจะขึ้นราคาได้อีกแต่ทั้งนี้หากราคายางธรรมชาติเพิ่มขึ้นไปอีกถึง40% ก็จะทำให้ขายยางพาราได้ลดลง
“จีน-อียู”แย่งซื้อมันสำปะหลังดันราคาพุ่ง
สำหรับมันสำปะหลังนั้น ขณะนี้ไทยประสบปัญหามีตลาดแต่ไม่มีของจะขาย เนื่องจากในช่วงตั้งแต่ปี 2552 ไทยประสบปัญหาในการปลูกมันสำปะหลังมาโดยตลอด ซึ่งในปี 2552 เกษตรกรมันสำปะหลังเผชิญกับปัญหาเพลี้ยอย่างหนัก ทำให้ผลผลิตรวมทั้งประเทศลดลงได้ผลผลิตเพียง 21-22 ล้านตันจากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีผลผลิตสูงถึง 30 ล้านตัน พอมาปี 2553 ก็ประสบทั้งภัยแล้งในช่วงครึ่งปีแรก ครึ่งปีหลังก็ประสบภัยน้ำท่วม และยังมีโรคเพลี้ยระบาดอีกด้วย ทำให้คาดว่าผลผลิตปีนี้จะมีไม่ถึง 20 ล้านตัน ในขณะที่ตลาดมีความต้องการสูงถึง 30 ล้านตัน
ส่วนราคามันสำปะหลังนั้นขึ้นอยู่กับประเทศจีนว่าจะสู้ได้แค่ใหน เพราะปริมาณการส่งออกของไทยกว่า 70% ไปยังประเทศจีน และต้องดูด้วยว่าจีนมีสินค้าอื่นมาผลิตเอทานอลทดแทนมันสำปะหลังหรือไม่ แต่ทั้งนี้หลังจากวิกฤติอาหารในปี 2551 จีนได้ประกาศว่าโรงงานผลิตเอทานอลที่สร้างขึ้นมาใหม่จะต้องใช่มันสำปะหลัง หรือพืชที่ไม่ใช่พืชอาหารมนุษย์ เพื่อป้องกันผลกระทบจากการขาดแคลนอาหาร จึงเป็นโอกาสที่ดีของมันสำปะหลังไทย โดยในปีหน้าคาดว่าราคาธัญพืชทุกตัว โดยเฉพาะข้าวโพด และข้าวฟ้างแดงที่สามารถผลิตเอทานอลได้จะยังคงมีราคาสูงกว่ามันสำปะหลัง จึงทำให้ราคามันสำปะหลังทั้งปียังอยู่ในเกณฑ์ที่สูง แต่จะสูงได้ถึงเท่าไรขึ้นกับผู้ซื้อ แต่ถ้าราคาข้าวโพดยังสูงอยู่ราคามันสำปะหลังก็อาจขยับขึ้นได้อีก จากในปี 2553 ที่ทำลายสถิติสูงที่สุดกิโลกรัมละกว่า 3 บาท
ทั้งนี้คาดว่าในช่วงต้นปีหน้าโรงผลิตแป้งมันสำปะหลังจะเข้ามากว้านซื้อหัวมัน เพื่อผลิตแป้งมันส่งตามออเดอร์ที่รับไว้ ทำให้ราคามันสำปะหลังยังคงมีราคาที่ดีไปจนถึงช่วงกลางปี จากนั้นจะค่อยๆมีผลผลิตรอบใหม่เข้าสู่ตลาด ส่วนการส่งออกมันอัดเม็ดไปยังยุโรปก็คาดว่ายังคงมีราคาที่ดี เพราะในยุโรปหลายประเทศรวมทั้งรัสเซ้ยประสบกับปัญหาคลื่นความร้อนทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย จึงยังคงนำเข้ามันสำปะหลังของไทยในระดับสูงอยู่ แต่ปัญหาของไทยไม่สามารถให้ความแน่ใจกับผู้ซื้อในยุโรปได้ว่าจะมีปริมาณมันสำปะหลังอัดเม็ดส่งมอบได้ตามออเดอร์ ทำให้ต้องเสียตลาดบางส่วนไป
|
|
|
|
|