สินค้าแฟชั่นสำเร็จรูปดีไซน์ระดับสูงหลายชิ้นของปิแอร์ การ์แดง (PIERRE
CARDIN) ที่ขายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วกรุงเทพขณะนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ผลิตในไทยโดยซื้อลิขสิทธิ์การผลิตจากบริษัทปิแอร์
การ์แดงในฝรั่งเศส ในวันเปิดงานฟุตบอลโลก 8 มิถุนายนที่ผ่านมาก็ตรงกับวันเปิดงานการแสดงนิทรรศการผลิตภัณฑ์ปิแอร์
การ์แดงซึ่งได้รับลิขสิทธิ์ทางการผลิตและจำหน่ายจากต่างประเทศทั้งหมด 6 รายในไทย
คือบริษัท PICA INTER ซึ่งขายเสื้อผ้าสุภาพบุรุษ บริษัท BUSINESS (THAILAND)
ซึ่งผลิตและขายเครื่องหนังกระเป๋า รองเท้า บริษัท JASPAL & SON ซึ่งเป็นตัวแทนขายเครื่องนอนและผ้าขนหนู
บริษัท CHOC DE CARDIN MAXIM'S NIKI DE SAINT PHALLE บริษัท DANDY ขายเสื้อผ้าเด็ก
บริษัท MICHAEL TRADE จำหน่ายผ้าพันคอ ส่วนบริษัท HEGER MEYER เป็นผู้นำเข้าน้ำหอมปิแอร์
การ์แดงรุ่น BLUE MARINE
งานนี้บริษัท HEGER MEYER เป็นผู้จัดเป็นเวลา 20 วัน โดยผู้บริหารบริษัททั้งหกแห่งจะแชร์ค่าใช้จ่าย
นับตั้งแต่ค่าสถานที่ซึ่งจัดที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซา ยอดขายสินค้าที่ขายได้แต่ละชนิดจะนำไปหักเปอร์เซ็นต์ให้ห้างเซ็นทรัล
ส่วนการโฆษณาทางสื่อมวลชนก็ใช้งบมากโดยเฉพาะโฆษณาเต็มหน้าหนังสือพิมพ์ประมาณ
2 แสนบาท
ในการทำธุรกิจกับปิแอร์ การ์แดง ผู้ผลิตในไทยจำเป็นจะต้องเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมาตรฐานสินค้าระดับสูงเช่นบริษัท
PICA INTER ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัทบุญศิริเจ้าของคือตระกูล "บุญนำทรัพย์"
ที่มีกิจการโรงงานทอผ้าขนาดใหญ่ "ไทยรุ่งเท็กซ์ไทล์" และมีกิจการบริษัทในเครือหลายแห่งที่ติดต่อขอลิขสิทธิ์จากต่างประเทศเช่นบริษัท
JOHN LANGFORD INTERNATIONAL ซึ่งผลิตและขายเสื้อผ้าชื่อดังของโลก "JOHN
LANGFORD" แห่งลอนดอน
"เราได้ลิขสิทธิ์ที่จะผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าของปิแอร์ การ์แดงในไทย
โดยเขาจะดูว่าเราเป็นบริษัทที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐาน และสามารถจะทำตลาดหรือสร้างยอดขายและรักษาภาพพจน์ของปิแอร์
การ์แดงไว้ได้" กมล เขมะสุนันท์ ผู้จัดการใหญ่แห่งบริษัท PICA INTER
เล่าให้ฟัง
เป็นที่น่าสังเกตว่าในระยะ 2 ปีที่ผ่านมาตลาดเสื้อผ้าดีไซน์ระดับสูงที่มีชื่อเสียงของโลกได้ทยอยเข้ามาตอบสนองความต้องการคนไทยที่มีค่านิยมการแต่งตัวเสริมบุคลิกภาพที่ดีเพิ่มขึ้น
นอกจากเสื้อผ้ายี่ห้อปิแอร์ การ์แดงแล้ว ยังมียี่ห้อลาคลอส และมองตากูร์ของค่ายบริษัท
ICC บริษัทในเครือสหกรุ๊ป ดาเนียล แฮกเตอร์, คาชาเรล, โปโล, บอสส์, โกลด์
ลิออง และเคอรูติ 1881 ฯลฯ ซึ่งสินค้าเหล่านี้ได้แข่งขันกันรุนแรงในตลาดลูกค้าระดับบนมากๆ
ขณะเดียวกันบริษัท JASPAL & SON ก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์ในการผลิตเครื่องนอนและผ้าขนหนูเพราะ
JASPAL ประสบความสำเร็จในตลาดเครื่องนอนยี่ห้อ "SANTAS" ซึ่งเป็น
LOCAL BRAND ที่เจาะตลาดลูกค้าระดับปานกลางถึงระดับสูงได้มาก เป็นที่ยอมรับของตลาด
นอกจากนี้ JASPAL & SON ยังได้ลิขสิทธิ์ยี่ห้อ "SNOOPY" จากสหรัฐอเมริกาและยี่ห้อ
"ซุกกี้" ซึ่งเป็นของอิตาลี
"เราติดต่อกับปิแอร์ การ์แดงเมื่อ 3 ปีที่แล้วและเขาก็มาดูว่าเรามี
FACILITIES อะไรบ้างที่จะผลิตสินค้าเขาได้หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจให้เราทำ
ค่าลิขสิทธิ์ที่เราต้องเสียให้ปิแอร์ การ์แดงก็มากพอสมควรเป็นหลักล้าน และทางต่างประเทศจะส่งดีไซน์มาให้เราทุกๆ
3-4 เดือน จากนั้นเราก็จะดัดแปลงของลายและสีรวมทั้งขนาดให้เหมาะกับรสนิยมคนไทย
แต่ก็จะไม่ทิ้งเอกลักษณ์ปิแอร์ การ์แดงซึ่งมีสีประจำคือ สีแดง สีดำ และสีเงินบรอนซ์"
ศิริ ศิริภูมิตภาพ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์บริษัท JASPAL & SON เล่าให้ฟัง
ก่อนที่ศิริจะเข้ามาเป็นผู้จัดการผลิตภัณฑ์ที่ JASPAL & SON เขาเคยผ่านงานการตลาดสินค้าคอมพิวเตอร์หลังจากจบปริญญาตรี
สาขาบิซิเนสคอมพิวเตอร์ ที่วิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ (ABAC) และเมื่อจบหลักสูตรการตลาด
MIM จากคณะพาณิชยศาสตร์การบัญชี ธรรมศาสตร์ เขาก็ได้เข้าร่วมงานที่นี่เมื่อ
1-2 ปีที่แล้ว
"ช่วงที่ผมเข้ามาเป็นช่วงที่ยัสปาลกำลังขยายงานและจัดองค์กรใหม่ ก่อนหน้านี้ไม่ได้แยกความดูแลผลิตภัณฑ์สินค้าชัดเจน
แต่ตอนนี้ผมดูแลผลิตภัณฑ์อยู่ 3 ยี่ห้อคือ แซนตาส ปิแอร์ การ์แดง และซุกกี้ซึ่งเป็นดีไซเนอร์ของอิตาลีที่มีชื่อเสียง
แต่ดีไซน์ของเขาสีสันแรงมากจนคนไทยรับยากเหมือนกัน และมีปัญหาเล็กน้อยด้านการผลิตเพราะเทคโนโลยีบ้านเรายังไปไม่ถึงก็มี
และการซื้อลิขสิทธิ์ของซุกกี้เราจะทำสัญญาทุกๆ 5 ปี" ผู้จัดการผลิตภัณฑ์กล่าว
อย่างไรก็ตามยอดขายของเครื่องนอนปิแอร์ การ์แดงในช่วงแรกที่เปิดตัวเมื่อปีที่แล้วก็ยังไม่ดีมากเพราะดีไซน์ยังออกมาน้อยมากเพียง
7 ดีไซน์แต่ก็สามารถทำยอดขายได้ 30% ของตลาดเครื่องนอนระดับสูงและราคาสูงซึ่งมีมูลค่าประมาณ
20 ล้านบาท ในตลาดระดับบนนี้มีสินค้าคู่แข่งที่เจ้าตลาดในไทยคือยี่ห้อ "แคนนอน"
และสินค้าที่นำเข้าเช่นยี่ห้อ "มาเท็กซ์" ที่บริษัทไอซีซีนำเข้าและยี่ห้อ
"ฟิลด์เกรท" ซึ่งทางห้างเซ็นทรัลนำมาขาย
"การเจาะตลาดระดับสูงสำหรับปิแอร์ การ์แดงเราจะจัดพรีเมียมในช่วงปลายปี
แต่ถ้าลายไหนยังมีสต็อกเหลืออยู่ เราจะเก็บมาขายที่จุดเดียวให้เคลียร์หมดไป
ไม่เหมือน SANTAS ซึ่งมีสินค้าออกใหม่ถึง 20 ดีไซน์ในหนึ่งปี ถ้าหากดีไซน์เก่าขายได้ช้าลง
เราก็เก็บมาแพ็คเป็นชุดและถ้ามีการโปรโมชั่นเราจะเอามาขายลด แต่สำหรับปิแอร์
การ์แดงเราไม่ทำเพราะถือว่าเป็นสินค้าเกรดเอ" ศิริกล่าว
"ต่อไป JASPAL & SON จะมีลิขสิทธิ์อื่นๆ ของปิแอร์ การ์แดง ที่ครอบคลุมถึง
HOUSEHOLD PRODUCT อื่นๆ อีก เช่นเสื้อคลุมอาบน้ำ หรือแม้กระทั่งเครื่องใช้ในครัวบางอย่างเช่นผ้าปูโต๊ะ
ซึ่งในสัญญาเราก็มีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ด้วย" ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ปิแอร์
การ์แดงเปิดเผย
ผู้ซื้อลิขสิทธิ์ผลิตภัณฑ์ปิแอร์ การ์แดงอีกรายที่เก่าแก่ที่สุดคือ บริษัท
BUSINESS (THAILAND) หรือที่รู้จักกันในชื่อเรียกสั้นๆ ว่า "BIT"
มีกิจการค้าเครื่องหนังกระเป๋ารองเท้าของปิแอร์ การ์แดง 4 ปีกว่าแล้ว นอกจากนี้บริษัทยังเป็นเจ้าของนิตยสารธุรกิจภาษาอังกฤษรายเดือน
"BUSINESS IN THAILAND" อีกด้วย
เอกศักดิ์ อมรกุล ซึ่งเป็นผู้อำนวยการบริษัทได้เล่าให้ฟัง "เงื่อนไขการจ่ายค่าลิขสิทธิ์จะจ่ายเป็นปีละครั้ง
โดยบอกเป็นจำนวนเงินที่จะให้กันเลยว่าเท่าไหร่ๆ พอถึงปีเราก็จ่ายไปเลยไม่ว่ายอดขายจะถึงหรือไม่ก็ตาม
ส่วนการต่อสัญญาจะทำทุก 3 ปี"
เท่าที่เอกศักดิ์ทำมา 4 ปี ตลาดเครื่องหนังปิแอร์ การ์แดงเป็นสินค้าแฟชั่นที่บูมมาก
และด้วยราคาที่ถูกกว่าราคาสินค้าปิแอร์ การ์แดงในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 50%
ทำให้ลูกค้าชาวต่างประเทศเมื่อมาชอปปิ้งในเมืองไทยได้ซื้อกลับไปด้วย
"เรามีจุดขายที่ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ทุกแห่งในกรุงเทพ 38 จุด ในแต่ละห้างเราก็มีหลายจุดขาย
มีทั้งแผนกผู้ชายและแผนกผู้หญิง คู่แข่งที่อยู่ระดับเดียวกับของเราที่เพิ่งมีก็คือ
กีลาโรชของค่ายไอซีซี" เอกศักดิ์เล่าให้ฟัง "ยอดขายของเราในประเทศแค่
20% ส่วนอีก 80% เราส่งออกแต่ไม่ใช้ชื่อปิแอร์ การ์แดง เพราะตามเงื่อนไขเราไม่สามารถส่งออกสินค้าปิแอร์
การ์แดงไปประเทศอื่นได้"
ในปีหนึ่งๆ สินค้าแฟชั่นที่ขายดีไซน์ระดับสูงจากต่างประเทศอย่างปิแอร์
การ์แดง, ชาร์ล จูดอง, หลุยส์ วิตตอง, ริชชี่, อัลบาเนเซ่, บรูโนแม็กลี่จากอิตาลี
ฯลฯ เหล่านี้จะต้องมีการผลิตคอลเลคชั่นเครื่องหนัง กระเป๋า เข็มขัด รองเท้าใหม่ๆ
ออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เอกศักดิ์เล่าว่าในแต่ละปีทางบริษัทจะออกแบบและผลิตสินค้าให้ได้อย่างน้อย
15-18 แบบหรือประมาณ 3-4 คอลเลคชั่น
"ผมมองว่าตลาดเครื่องหนังในไทยเรายังไปได้อีกไกลสินค้าดีไซน์ระดับสูงคนไทยเราทำได้
และราคาสินค้าของเราถูกและคุณภาพดีกว่า เราจ้างดีไซเนอร์มาจากต่างประเทศเพื่อมาพัฒนาต้นแบบของปิแอร์
การ์แดงให้เข้ากับบรรยากาศในบ้านเรา การดีไซน์เราสามารถทำได้โดยอิสระ ทุกครั้งเรามีการส่งแบบไปขออนุมัติจากปิแอร์
การ์แดงฝรั่งเศสด้วย" ผู้อำนวยการบริษัท BIT เล่าให้ฟังถึงความพยายามในการพัฒนาด้านการออกแบบ
แนวโน้มในอนาคตของการเติบโตของบริษัทที่ขายสินค้าแฟชั่นโดยซื้อลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมาผลิตสินค้าระดับสูงในไทยก็ยังมีเพิ่มขึ้นอยู่เสมอ
ตราบใดที่สินค้าชั้นสูงเหล่านี้ยังตอบสนองความต้องการคนไทยที่มีค่านิยมเห่อของนอกกันอยู่มากๆ
เช่นนี้ก็ไม่มีที่ไหนที่น่าจะลงทุนมากเท่าประเทศไทย