Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์29 พฤศจิกายน 2553
อุตฯชิ้นส่วนรถยนต์แรงคาดปี54โตอีก15% หวั่นต่างชาติตบเท้าตั้งโรงงายยึดตลาดไทย             
 


   
search resources

Auto-parts
สมาคมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย




นายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไทยคาด ตลาดชิ้นส่วนรถยนต์จะโตได้อีก 4-5 ปี คาดสิ้นปีโต 80-90% ส่วนปีหน้าโตได้อีก 15% รับอานิสงค์ยอดขายอีโคคาร์ และปิคอัพพุ่ง หวั่นตลาดโตร้อนแรงดึงดูด เอสเอ็มอี ต่างชาติตบเท้าเข้าไทยผลิตชิ้นส่วนป้อนบริษัทค่ายรถ เบียดเอสเอ็มอีไทยแท้ตกขอบ ขณะที้การเปิดค้าเสรีฉุด เอสเอ็มอี ชิ้นส่วนฯย่ำแย่ เพราะบริษัทรถยนต์จะนำเข้าแทนผลิตในประเทศ จี้รัฐหนุนเปลี่ยนเครื่องจักรการผลิต ลดการใช้แรงงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ด้านทูตพาณิชย์แนะผู้ประกอบการชิ้นส่วนรวมตัวเข้าร่วมลงทุนกับจีน และสร้างแฟรนไชส์ดูแลรถยนต์ครบวงจร เป็นประตูขายอะไหล่ยานยนต์ไทย ชี้เพียงแค่ได้ส่วนแบ่งการตลาด 1% ก็จะโตพร้อมอุตสาหกรรมรถยนต์จีนปีละกว่า 20% ช่วยนำเงินเข้าประเทศหลายแสนล้านบาท

ประสาทศิลป์ อ่อนอรรถ นายกสมาคมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวว่า ภาวะการผลิตในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในปีนี้ล่าสุดโตขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึง 75% และคาดว่าอาจจะถึง 90% ในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้สาเหตุที่โตขึ้นมากเพราะยอดส่งออกในปี 52 ติดลงต่ำกว่าปกติเพราะวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าเทียบกับปี 2551 ก็นับได้ว่ายังโตในระดับสูงประมาณ 25% ส่วนในปีหน้าคาดว่ายอดส่งออกยังคงขยายตัวในระดับ 12-15% แบ่งเป็นตลาดภายในประเทศโตประมาณ 5% และต่างประเทศประมาณ 10% และจะโตในระดับนี้อีกประมาณ 4-5 ปี หากไม่พบกับวิกฤติเศรษฐกิจอีก โดยเฉพาะวิกฤติค่าเงินบาท ซึ่งในปีหน้าถ้ายังแข็งค่ามากกว่านี้ก็จะสู้คู่แข่งได้ยาก

โดยสาเหตุการเติบโตเนื่องจากต่างชาติได้ย้ายฐานการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น โดยเพาะในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก หรืออีโคคาร์ ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน และรถปิคอัพที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีหน้าค่ายรถยนต์ฮอนด้า และมิตซูบิชิ ก็จะผลิตรถอีโคคาร์อีกหลายแสนคัน ขณะที่รถมอเตอร์ไซด์ก็ยังเติบโตได้ดีสำหรับตลาดในประเทศ ส่วนต่างประเทศโดยฉพาะประเทศเพื่อนบ้านได้ถุกมอเตอร์ไซด์ราคาถูกจากจีนเข้ามาแยกตลาดไปได้มาก

หวั่นต่างชาติเข้ามาลงทุนแย่งตลาด

อย่างไรก็ตามอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่โตขึ้นอย่างสูงในขณะนี้ ก็เป็นเหมือนดาบ 2 คมที่ไม่ได้มีเพียงด้านบวกเพียงอย่างเดียว โดยด้านลบที่เห็นได้ชัดคือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศผู้ผลิตรถยนต์ จะทะยอยเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น เพื่อรองรับออเดอร์การผลิตที่หลั่งไหลเข้ามามาก โดยเฉพาะในปีหน้าจะเข้ามาลงทุน และจะเห็นผลกระทบอย่างชัดเจนในปี 2555 จนทำให้เอสเอ็มอีผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทยไม่สามารถสู้ได้

แม้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์จะเข้ามาปักฐานในไทยมาเป็นเวลานาน แต่ที่ผ่านมาบริษัทค่ายรถยนต์ต่างๆไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับผู้ประกอบการไทยเลย นับได้ว่าเป็นความล้มเหลวของนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่มุ่งหวังให้เกิดการถ่ายทอดการลงทุนจากบริษัทต่างชาติมาสู่ผู้ประกอบการในประเทศ ซึ่งเอสเอ็มอีที่ผลิตชิ้นส่วนป้อนบริษัทรถยนต์จะได้เพียงแต่เทคโนโลยีที่จำกัดเพียงพอต่อการผลิตเพียงเท่านั้น ทำให้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยยังคงจมปรักอยู่ในวงเวียนของอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานเป็นหลัก ผลกำไรจากอุตสาหกรรมรถยนต์ส่วนมากไหลออกนอกประเทศ คนไทยก็ได้แต่เพียงค่าแรงงานเท่านั้น โดยบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์กว่า 65% จะเป็นบริษัทที่ร่วมทุนกับต่างชาติ และอีก 45% เป็นบริษัทไทยแท้ๆ ซึ่งสัดส่วนของคนไทยจะลดลงเรื่อยๆหากปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยปราศจากมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการภายในประเทศ

เผยเปิดเสรีรง.ชิ้นส่วนไทยกระอัก

นอกจากนี้ การเปิดเสรีการค้าในกรอบต่างๆ ก็ยังเป็นผลร้ายกับอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของไทย เพราะถ้าข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับญี่ปุ่นเปิดเต็มที่ในปี 2555 ก็จะทำให้ค่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นนำเข้าชิ้นส่วนคุณภาพดีราคาถูกได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ทำให้ผู้ผลิตภายในประเทศย่ำแย่ลงเรื่อยๆ โดยยังไม่รวมการเปิดเสรีการค้ากับจีนเต็มรูปแบบ ซึ่งจะทำให้ชิ้นส่วน และรถยนต์ราคาถูกจากจีนทะลักเข้าไทยเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน คาดว่าภายในอีก 5 ปีหลังจากจีนผลิตรถยนต์ป้อนตลาดภายในประเทศเพียงพอแล้ว และสั่งสมประสบการณ์และเทคโนโลยีจนสู้บริษัทยักษ์ใหญ่ผลิตรถยนต์ได้ ก็จะทุ่มรถยนต์ราคาถูกเข้ามาแย่งตลาดของไทยและอาเซียน

จี้รัฐเร่งตั้งศูนย์ทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์

ดังนั้นหากจะให้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไทยก้าวผ่านวิกฤติในครั้งนี้ รัฐบาลจำเป็นจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การสนับสนุนเงินทุนให้ผู้ประกอบการไทยปรับเปลี่ยนเครื่องจักร และหันมาใช้เครื่องจักรเทคโนโลยีขั้นสูงแทนแรงงานคน รวมทั้งการช่วยเหลือในมาตรการทางภาษี เช่น การลดภาษีนิติบุคคลให้กับโรงงานที่ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเป็นต้น เพื่อให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงสู้กับสินค้านำเข้าได้

นอกจากนี้หัวใจสำคัญของการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการไทย ก็คือการตั้งศูนย์ทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ให้เกิดขึ้นจริง เพราะโครงการดังกล่าวค้างคามานับ 10 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นจริง แม้ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ 1 พันล้านบาท แต่สถาบันยานยนต์ที่เป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้กลับดำเนินการล้าช้าไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหากประเทศไทยมีศูนย์ทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ ก็จะทำให้ผู้ประกอบการภายในประเทศลดค่าใช้จ่ายในการทดสอบมาตรฐาน ลดระยะเวลาการดำเนินงาน และช่วยให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาสินค้าของตัวเองได้ดีขึ้น

ทูตพาณิชย์จี้ไทยเข้าร่วมลงทุนในจีน

ด้าน ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร กงสุลฝ่ายการพาณิชย์ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน กล่าวว่า ขณะนี้อัตราภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยก็ลดลงเรื่อยๆเหลือ 0.5% ในขณะนี้ และจะลดเป็น 0% อีกไม่กี่ปีข้างหน้า รวมทั้งมาตรการโลโคคอนเทนท์ก็ยกเลิกไปแล้ว ทำให้ไทยแทบจะไม่มีกำแพงในการปกป้องอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ภายในประเทศ ขณะที่อุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยรัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มอัตรารถยนต์บนท้องถนนจาก 64 ล้านคันในปีนี้ เป็น 140 ล้านคันในปี 2015 และ 217 ล้านคันในปี 2020 พร้อมทุ่มตลาดเข้ามายังอาเซียนเป็นจำนวนมาก ทั้งในเรื่องของการเข้ามาลงทุน การส่งชิ้นส่วน และรถยนต์ทั้งคันเข้ามายังประเทศไทย

ดังนั้นจึงเป็นการยากที่ไทยจะแข็งขันกับจีนในอุตสาหกรรมนี้ โดยเพาะผู้ผลิตชิ้นส่วนชาวไทยที่ต้องเปลี่ยนมุมมองจีนจากคู่แข่งให้เป็นคู่ค้า เพราะขนาดการผลิต ขนาดตลาด เทคโนโลยี ที่ใหญ่กว่าไทยเป็นอย่างมาก และรัฐบาลยังอุดหนุนต้นทุนการผลิต ดังนั้นการที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยจะยืนหยัดได้ในระยะยาวจะต้องใช้จุดเด่นของไทย คือ ความมีชื่อเสียงในเรื่องของคุณภาพ ประสบการณ์และเทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนที่เข้ากันได้ดีกับรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นที่มีอิทธิพลสูงในจีน เข้าไปร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในประเทศจีน พัฒนาสินค้าขายร่วมกัน ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน เพราะถ้าหากไทยมีส่วนแบ่งการตลาดเพียงแค่ 1% ก็มีมูลค่าสูงกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และจะมีอัตราเติบโตไปพร้อมกับจีนอีกปีละ 20% ก็จะมีมูลค่าหลายแสนล้านบาทภายในไม่กี่ปี

นอกจากนี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ของจีนจะกระจายไปสู่มือผู้ผลิตประมาณ 5 พันบริษัท ในจำนวนนี้ 20% เป็นของชาวต่างชาติ แต่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงกว่า 80% ดังนั้นจึงมีโอกาสอีกมากที่ไทยจะเข้าไปร่วมมือกับผู้ประกอบการท้องถิ่น และไทยยังได้รับสิทธิ์อุดหนุนต้นทุนการผลิต 30% จากรัฐบาลจีนด้วย ไม่เพียงแต่การผลิตชิ้นส่วนป้อนโรงงานประกอบรถยนต์เท่านั้น แต่ตลาดอะไหล่รถยนต์ยังมีโอกาสเติบโตมากในจีน เพราะขณะนี้รถยนต์ในจีนเป็นรถยนต์มือ 1 สูงถึงกว่า 80-90% ดังนั้นในปี 10 ปีข้างหน้าตลาดรถเก่าจะขยายตัวได้ถึง 30-40% นับว่ามีมูลค่าสูงมาก ซึ่งถ้าไทยเข้าไปร่วมทุนกับจีนผลิตสินค้าป้อนตลาดนี้ก็จะนำเงินตราเข้าประเทศได้อีกมาก

แนะสร้างแฟรนไชส์เปิดประตูขายสินค้าไทย

สำหรับแนวทางการบุกตลาดชิ้นส่วนรถยนต์ในจีนนั้น ผู้ประกอบการไทยควรจะรวมกลุ่มเข้าไปสร้างแบรนด์สินค้าสร้างความน่าเชื่อถือ และสร้างแฟรนไชส์ศูนย์จำหน่วยอะไหล่รถยนต์และการซ่อมบำรุง เหมือนกับประเทศไทยทีมีหลายแบรนด์ที่เป็นศูนย์ดูแลรถยนต์ครบวงจร ซึ่งจะเป็นการนำสินค้าไทยไปขายจนถึงมือลูกค้า ขยายโอกาสทางการตลาด และสามารถควบคุมการค้าได้ทั้งระบบ ซึ่งไทยเองก็มีจุดเด่นในเรื่องของงานบริการอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าไปบุกเบิกธุรกิจนี้กับผู้ประกอบการจีน

อย่างไรก็ตามหากผู้ประกอบการไทยไม่รวมตัวรับมือกับการค้ากับจีนที่รุนแรงขึ้น ภายใน 10 ปี อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศจะต้องเผชิญการแข่งขันที่หนักหน่วง ซึ่งถ้าอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ทำรายได้อันดับ 2 ของไทยไม่สามารถสู้ได้ ก็จะกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมทั้งประเทศ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงไม่ควรที่จะมองแค่ออเดอร์ที่มากมายในเวลานี้ แต่ต้องวางแผนระยะยาวขยายการเติบโตให้ยั้งยืน และรองรับการแข่งขันกับต่างชาติในอนาคต   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us