Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์29 พฤศจิกายน 2553
ส่องยุทธศาสตร์ 3 แบรนด์ขายตรงนู สกิน-แอมเวย์-กิฟฟารีน ลุยโค้งสุดท้าย             
 


   
search resources

แอมเวย์ (ประเทศไทย), บจก.
กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้, บจก.
นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส, บจก.
Direct sale




เมลิซ่า ทันโทะโกะ ประธาน นู สกิน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สงครามขายตรงร้อนระอุทุกตารางนิ้ว เมื่อ 3 ผู้เล่นหลักเปิดเกมรุกจนโค้งสุดท้ายหวังโกยยอด-ชิงคน ล่าสุด “นู สกิน” วาง 3 ยุทธศาสตร์ นวัตกรรม-ขยายเครือข่าย-การให้ผลตอบแทน เพื่อปิดยอดขายระดับริจินัล 10,000 ล้านบาท ใน 5 ปีนับจากนี้ และติด Top 5 ขายตรงทั้ง 6 ประเทศ ด้าน “กิฟฟารีน” มุ่งให้ความรู้ พร้อมชูสินค้าความงามและสินค้าเพื่อสุขภาพเป็นเรือธง เพื่อปิดโจทย์ 5 พันล้านในสิ้นปี ขณะที่ “แอมเวย์” เท 700 ล้านบาท อัดแคมเปญผลตอบแทน พร้อมเปิดแผนส่งเสริมการขายสะสมคะแนนมัดใจนักธุรกิจยาวถึงปี 2555

ศึกชิงคนในธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะระบบขายตรงแบบหลายชั้น (MLM) ร้อนแรงคึกคักจนโค้งสุดท้าย และอาจพูดได้ว่าครึกครื้นมากสุดปีหนึ่ง เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผู้เล่นทั้งรายเล็กรายใหญ่ต่างระดมกำลังออกมากระตุ้นนักขายหน้าเก่า พร้อมขยายฐานสร้างสมาชิกใหม่กันอย่างอุตลุด หลังอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นและผู้บริโภคต้องการหารายได้เสริมในยุคเศรษฐกิจเช่นนี้

แน่นอนว่า ยิ่งในช่วงโค้งสุดท้าย ที่ถือว่าเป็นไฮซีซันหรือฤดูกาลจับจ่ายใช้สอย บรรดาผู้เล่นทั้งหลายย่อมทุ่มสรรพกำลังอย่างเต็มที่เพื่อช่วงชิงทั้งกำลังซื้อและกำลังคนให้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้เล่นระดับแถวหน้าในวงการขายตรง ย่อมไม่พลาดโอกาสทองในช่วงนี้ ล่าสุด “นู สกิน” ผู้เล่นที่ติดอันดับ Top 5 ขายตรงบ้านเราก็ออกมาเผยยุทธศาสตร์การบุกชิงยอดขาย ที่ครั้งนี้กำหนดเป้าหมายระยะยาวถึง 5 ปี ภายใต้ 2 โจทย์สำคัญ คือ การดับเบิลยอดขาย นู สกิน ในไทย หรือปิดยอดขายกว่า 4 พันล้านบาท และการคว้าตัวเลขที่ 10,000 ล้านบาทในระดับริจินัล รวม 6 ประเทศ ประกอบด้วย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และไทย ที่ตอนนี้เหลืออยู่ 3 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ติดเพียง Top 10

สำหรับเกมรุกเพื่อบรรลุเป้าหมายใน 5 ปีนับจากนี้ “นู สกิน” ได้กำหนดออกมาเป็น 3 ยุทธศาสตร์หลัก ดังนี้ 1.นวัตกรรม จัดว่าเป็นจุดขายและจุดแข็งสำคัญของแบรนด์ขายตรง โดย “ผลิตภัณฑ์กลุ่มแอนไท เอจจิ้ง” เป็นสินค้าที่ผู้เล่นรายนี้ให้ความสำคัญ เรียกว่าวางเป็นสินค้าเรือธงในการบุกตลาด ล่าสุดได้เปิดตัว “เอจล็อค ทรานสฟอร์เมชั่น” นวัตกรรมเพื่อการลดเลือนริ้วรอยออกมาจับกลุ่มไฮเอนด์อายุ 25 ปีขึ้นไป ที่จัดว่าเป็นไฮไลต์ของ นู สกิน ปีนี้ เพราะหากดูจากผลงานที่เปิดตัวในสหรัฐอเมริกา 3 วันแรก ที่ทำยอดขายได้ถึง 600 ล้านบาท หรือการเปิดตัวที่เกาหลีทำได้สูงถึง 900 ล้านบาท ก็เป็นตัวการันตีได้ว่านวัตกรรมนี้จะเป็นทีเด็ดในการคว้าแชมป์สินค้ากลุ่มนี้

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ นู สกิน สนใจและมุ่งมั่นคว้าตำแหน่งผู้นำสินค้าหมวดนี้มาครองให้ได้ เนื่องจากตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อลดเลือนริ้วรอยเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และมีส่วนแบ่งทางการตลาดมูลค่ากว่า 1,100 ล้านบาท หรือ 14% ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่มีมูลค่าประมาณ 7,800 ล้านบาท เรียกได้ว่าถ้า นู สกิน สามารถคว้าแชมป์ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ได้ ย่อมทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนและตอกย้ำการเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์ความงามมากยิ่งขึ้น แม้ “แอมเวย์” เบอร์ 1 ขายตรงบ้านเราจะหันมารุกเข้มสินค้ากลุ่มนี้อย่างเต็มที่ โดยมีแบรนด์ “อาร์ทิสทรี” เป็นหัวหอกปักธงในสินค้ากลุ่มความงาม และถือเป็นผู้นำในสินค้ากลุ่มนี้ก็ตาม แต่ถ้าแยกย่อยลงไปยังเซกเมนต์แอนไท เอจจิ้งแล้ว จะเห็นว่าการแข่งขันระหว่าง 2 แบรนด์นี้ก็สูสีไม่น้อย

“จากการศึกษาตลาด และพฤติกรรมผู้บริโภคพบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพเห็นผลการใช้จริง จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยในระดับพรีเมียมยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงและต่อเนื่อง จากตัวเลขประชากรศาสตร์ในประเทศไทยกำลังบ่งชี้ว่าผู้บริโภคไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่วัยสูงอายุมากขึ้น คาดว่าในอีกแค่ 10 ปีข้างหน้าจะมีผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 7 ล้านคน หรือ 10% ของประชากรทั้งหมด จึงเป็นโอกาสทางการตลาดของ นู สกิน ในการเดินหน้าบุกตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่นู สกิน มีความเชี่ยวชาญ และเป็นจุดแข็งที่ได้รับการยอมรับจากตลาดและผู้บริโภคเสมอมา” ภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกินเอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเมื่อครั้งเปิดตัวนวัตกรรม เอจล็อค ทรานสฟอร์เมชั่น

2.การให้ผลตอบแทนนักธุรกิจ อีก 1 เครื่องมือสำคัญของธุรกิจขายตรงในการกระตุ้นสมาชิกและนักธุรกิจให้ทำยอดขายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีที่ผ่านมา นู สกิน มีการปรับโปรแกรมคำนวณสูตรใหม่เพื่อช่วยขยับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 1-2% ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่กลางปี 2552 โดย “เวลท์ แมกซิไมเออร์” เป็นสูตรคำนวณผลตอบแทนที่ใช้ร่วมกันทั่วโลก หลังจากที่ นู สกิน ให้ผลตอบแทนกับนักขายในสัดส่วน 43% จากยอดขาย 100% มาประมาณ 3 ปี นับเป็นค่าตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับผู้เล่นขายตรงแบรนด์อื่น ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวถือว่าสอดคล้องและเป็นไปตาม Message ที่ได้รับจากบริษัทแม่ นู สกิน คือ การเน้นเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อจูงใจให้คนมาทำธุรกิจขายตรงมากขึ้น

“เวลท์ แมกซิไมเออร์เป็นโปรแกรมที่เน้นดึงสมาชิกใหม่ควบคู่กับกระตุ้นสมาชิกเดิมให้สร้างยอดขาย ซึ่งผลจากการใช้มา 1 ปี พบว่าได้การตอบรับที่ดี และเป็นแผนคำนวณที่ดีที่สุดในตอนนี้ โดย 3 ปีนับจากนี้จะยังไม่มีการปรับแผนผลตอบแทน” เป็นคำกล่าวของ เมลิซ่า ทันโทโกะ ประธาน นู สกิน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้บริหารที่สร้างอัตราเติบโตให้กับ นู สกิน ได้เร็วที่สุด ที่ล่าสุดได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้บริหารชาวเอเชียยอดเยี่ยม (Best Asian Executive) จาก ดิ อินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส อวอร์ด

จากการออกโปรแกรมคำนวณผลตอบแทนของ นู สกิน ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่าส่งผลต่อคู่แข่งไม่มากก็น้อย เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เล่นอย่าง “แอมเวย์” ที่ปีนี้ไม่เพียงจะประกาศปิดตัวเลขยอดขายทะลุ 14,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่ผู้นำรายนี้ก็ยังประกาศเปิด “แผนส่งเสริมการขายพิเศษ” ภายใต้งบกว่า 700 ล้านบาทต่อปี เพื่อขอบคุณและกระตุ้นนักธุรกิจแอมเวย์ชนิดที่เรียกว่าเป็นแคมเปญลากยาวถึงปี 2555 ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการดักและสกัดความแรงจากฝั่ง นู สกิน อีกทางหนึ่งด้วย

กิจธวัช ฤทธีราวี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า แผนส่งเสริมการขายดังกล่าว จะเริ่มสะสมคะแนนตั้งแต่วันนี้ถึงกุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งแบ่งเป็น 3 รายการ ได้แก่ รายการที่ 1 การเพิ่มฟรี 20% สำหรับคะแนนสัมมนาท่องเที่ยว เพื่อช่วยให้นักธุรกิจแอมเวย์สามารถทำคุณสมบัติเพื่อให้ได้รับเชิญเข้าร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี กับการท่องโลกกว้างกับแอมเวย์ที่เมืองลาสเวกัส และแอมเวย์ สหรัฐอเมริกา ในปี 2555 ได้ง่ายยิ่งขึ้น รายการที่ 2 เป็นรายการแชมเปี้ยนโบนัส โดยโบนัสพิเศษที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยคำนวณตามการเติบโตและความทุ่มเทของนักธุรกิจแอมเวย์ และ รายการที่ 3 เป็นเงินรายได้พิเศษทวีคูณ โดยจะเพิ่มให้อีกเท่าตัวของ แชมเปี้ยนโบนัสที่ได้รับ เพียงนักธุรกิจแอมเวย์สามารถดำรงคุณสมบัติตามที่กำหนด และปฏิบัติตามระเบียบ โดยเป็นรายการที่ได้ทั้งเที่ยว เงินรางวัล ไม่แค่นั้น แอมเวย์ยังอัดยาแรงด้วยการต่อยอดรางวัล ด้วยการประกาศแผน 3 ปี “ท่องโลกกว้างกับแอมเวย์” กับ 11 การท่องเที่ยวทั่วโลก อาทิ กุ้ยหลิน สาธารณรัฐประชาชนจีน, ประเทศเกาหลีใต้, ลาสเวกัส-แอลเอ ประเทศสหรัฐอเมริกา, อียิปต์, เวียนนา ประเทศออสเตรีย, อิสตันบูล ประเทศตุรกี

3.การพัฒนาบุคลากรและการขยายเครือข่าย ยุทธศาสตร์ข้อสุดท้ายที่ นู สกิน ให้ความสำคัญและมองว่าเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต สำหรับเครื่องมือข้อนี้ ผู้บริหาร นู สกิน บอกว่า บริษัทจะเน้นการอบรมพัฒนาบุคลากร สมาชิกหรือตัวแทนจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพและความพร้อมมากที่สุด นอกเหนือจากการพัฒนาสินค้าหรือการทำตลาดให้ตัวแทนจำหน่ายเกิดความง่ายในการเข้าถึงและขายสินค้าให้กับผู้บริโภค เช่น การจัดโรดโชว์ทั่วประเทศต่อเนื่องทั้งปี

“นอกจากผลตอบแทน การสร้างทัศนคติที่ดีในการทำงาน การสร้างระบบเทรนนิ่งขึ้นมาเพื่อเพิ่มทักษะการทำงาน ที่ดำเนินการไปแล้ว 2 ปีก่อนหน้านี้ คือ Hug Program ที่เราทำกับตัวแทนจำหน่าย ผลก็คือ เรามีพนักงาน 80% ที่ทำงานอยู่กับองค์กรมานานเกิน 10 ปีขึ้นไป”

ไม่เพียงแต่ นู สกิน เท่านั้นที่ออกมาเปิดเกมรุกด้านนี้ เพราะ “กิฟฟารีน” ผู้เล่นที่รั้งเบอร์ 2 ก็เดินหน้าบุกอย่างเต็มที่เช่นกัน โดย พงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า แผนการตลาดของกิฟฟารีนยังคงมุ่งเน้นการให้ความรู้กับสมาชิกหรือนักธุรกิจอิสระเพื่อให้ความรู้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า ที่ในช่วงหลังกิฟฟารีนหันมาบุกสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพมากขึ้น ดูจากสัดส่วนยอดขายของสินค้ากลุ่มนี้ที่มีสูงถึง 30% ของยอดขาย เนื่องจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เช่น กลุ่มวิตามินหรือกลุ่มดูแลสุขภาพทั่วไปมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ซึ่งในปีนี้ทางกิฟฟารีนตั้งเป้าการเติบโตของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมไว้ราว 10% โดยสินค้าที่จำหน่ายนั้นแบ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพในกลุ่มวิตามิน70% และอื่นๆ อาทิ กลุ่มความงาม 30% นอกจากนี้ กิฟฟารีนยังเปิดตัวแบรนด์ “เทนชิ” แบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามที่พัฒนาร่วมกับบริษัทในประเทศญี่ปุ่น โดยหวังออกมาโกยยอดขายแข่งกับอาร์ทิสทรีของแอมเวย์ พร้อมช่วยปิดยอดขายรวมปีนี้ที่ 5,000 ล้านบาท

และนี่คือการวางแผนรบในช่วงโค้งสุดท้ายของ 3 ผู้นำขายตรงบ้านเรา แต่ที่เรียกว่าคิดการใหญ่ชวนให้ติดตาม คงต้องยกให้ “นู สกิน” ที่ครั้งนี้วางแผนรบเพื่อบรรลุเป้าหมายใหม่ ด้วยการสร้างยอดขายในระดับริจินัลให้แตะ 10,000 ล้านบาทให้ได้ภายใน 5 ปี รวมทั้งต้องติด Top 5 ในตลาดขายตรงทั้ง 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ติดตามกันต่อไปว่า นู สกิน จะพิชิตเป้าหมายได้หรือไม่ เชื่อว่าการเติบโตของ นู สกิน ในไทย ย่อมเป็นตัวชี้วัดได้ไม่มากก็น้อย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us