Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์29 พฤศจิกายน 2553
‘ธีซิซ’ เข็น ‘ดัลมาติเนอร์’ เสริมทัพบุกตลาดแฟชั่น             
 


   
search resources

Clothings
ธีซิซ อินเตอร์เนชั่นแนล, บจก.




พงศ์ศักดิ์ โชติธาดา ประธานกรรมการ บริษัท ธีซิซ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

ค่ายธีซิซ เดินเกมรุกโค้งสุดท้าย อัดฉีดงบ 4 ล้านบาท เปิดตัว “ดัลมาติเนอร์” จากเยอรมัน เสริมทัพลุยตลาดเสื้อผ้า เจาะตลาดสปอร์ต-แคชวล พร้อมชูแฟชั่นดีไซน์เป็นจุดขายดักคนรุ่นใหม่วัยทำงาน 25-35 ปี ระดับบีบวกขึ้นไป วางราคาเริ่มที่ 1,800-6,000 บาท สูงกว่า “เบเวอรี่ ฮิลส์ โปโล คลับ” ราว 20% ที่เน้นจับกลุ่มผู้ใหญ่เป็นหลัก ล่าสุดทุ่มงบกว่า 6 ล้านบาท ผุดชอปแห่งแรกที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Total” สะท้อนแบรนด์คาแรกเตอร์ พร้อมจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้ต่อเนื่อง ก่อนบุกตลาดเอเชียปลายปี 2554 สำหรับการบุกช่วง 2 เดือนสุดท้ายนี้ ค่ายธีซิซมั่นใจว่าแบรนด์น้องใหม่จะปิดยอดขายได้ 20 ล้านบาท

ตลาดเสื้อผ้าแฟชั่นบ้านเรา นับว่าเป็นสมรภูมิที่มีการแข่งขันดุเดือดตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้าย ที่กล่าวได้ว่าเป็นช่วงไฮซีซันในการจับจ่ายของผู้บริโภค จึงไม่แปลกที่ผู้เล่นหลายค่าย หลายแบรนด์จะออกสินค้าใหม่ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย หรือส่งแบรนด์ใหม่เข้าสู่ตลาดในช่วงนี้

ค่ายธีซิซฯ เป็นผู้เล่นอีกรายที่เข็น “ดัลมาติเนอร์” แบรนด์ใหม่สัญชาติเยอรมันออกมาเปิดตัวในช่วงนี้ หลังจากได้สิทธิ์การผลิตและจำหน่ายทั้งในเอเชียและยุโรปอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2550 โดย พงศ์ศักดิ์ โชติธาดา ประธานกรรมการ บริษัท ธีซิซ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวกับ ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ แม้บริษัทจะได้สิทธิ์ตั้งแต่ปี 2550 แต่เราต้องศึกษาเทรนด์ตลาดและแฟชั่นให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย พร้อมกับเตรียมกำลังการผลิตที่คาดว่าต้องเพิ่มเป็นเท่าตัวในปีหน้า ทั้งนี้เพื่อให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเป็นที่รู้จักภายใน 2 ปีนับจากนี้

สำหรับ “ดัลมาติเนอร์” จัดว่าเป็นแบรนด์ใหม่ในรอบหลายปีที่ค่ายธีซิซฯ นำเข้ามาเสริมทัพสร้างความแข็งแกร่งในการบุกตลาด จากเดิมที่มี “เบเวอรี่ ฮิลส์ โปโล คลับ” เพียงแบรนด์เดียวที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าคนทำงาน และกลุ่มผู้ใหญ่ระดับบีถึงเอเป็นหลัก แม้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาผู้เล่นรายนี้ปรับแผนการทำตลาดของแบรนด์เบเวอรี่ ฮิลส์ฯ ให้ขยายฐานไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่และขยายแนวรบไปจับลูกค้าระดับซีมากขึ้น เห็นได้ชัดเจนจากการเข้าไปจับมือกับเซเว่น-อีเลฟเว่นเมื่อ 2 ปีก่อน เพื่อเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้ากระเป๋าคอลเลกชั่นพิเศษ โดยเป็นสินค้ารุ่นลิมิเต็ดราคา 199 บาท จากราคาปรกติ 1,690 บาท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่แบรนด์นี้นำราคามาใช้ขยายฐานลูกค้าได้ชัดเจนสุด จากเดิมที่จะเป็นลักษณะการจัดโปรโมชั่นร่วมกับห้างสรรพสินค้าเท่านั้น หรือแม้แต่การจำหน่ายสินค้ากลุ่มกระเป๋าทางเบเวอรี่ ฮิลส์ฯ เคยนำมาจัดโปรโมชั่นแล้ว แต่เลือกจำหน่ายผ่านเคาน์เตอร์ในเซ็นทรัล และโรบินสันบางสาขาในระยะเวลาสั้นๆ ราว 10-15 วัน เช่น เซ็นทรัล ลาดพร้าว โรบินสัน สีลม แม้กลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยขยายตลาดแมสให้กับเบเวอรี่ ฮิลส์ฯ ได้เป็นอย่างดี ทว่าการรุกไปสู่ลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นยังไม่ชัดเจน ไม่แค่นั้นยังส่งผลให้ภาพลักษณ์แบรนด์และความภักดีจากลูกค้ากลุ่มบนลดลงไปด้วย

กลับมาที่ดัลมาติเนอร์ แบรนด์ที่ทางธีซิซฯ ซุ่มศึกษาตลาดนาน 3 ปี จะเห็นว่าค่ายนี้วางโพซิชันนิ่งให้แบรนด์น้องใหม่ตัวนี้เข้ามาจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบแฟชั่น โดยสินค้าถูกออกแบบมาให้สามารถตอบสนองได้ทุกไลฟ์สไตล์ ประกอบด้วย กลุ่มคลาสสิก ที่เน้นความเรียบหรูสง่างาม, กลุ่มสปอร์ต เน้นความคล่องแคล่วมีดีไซน์ และกลุ่มคัลเลอร์ ที่โดดเด่นด้วยแฟชั่นสีสันลวดลาย ทั้งนี้ ประธานกรรมการบริษัท ธีซิซฯ บอกว่า สินค้าทั้ง 3 กลุ่ม แบ่งสัดส่วนเป็น 30%, 40% และ 30% ตามลำดับ ซึ่งกลุ่มสปอร์ตจะเป็นคอลเลกชั่นที่ถูกให้ความสำคัญและมีสัดส่วนมากสุด เนื่องจากเสื้อผ้าแนวสปอร์ตเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมและมีการเติบโตมากถึง 30% สูงสุดเมื่อเทียบกับกลุ่มแคชวลที่เติบโตเพียง 10% ขณะที่กลุ่มเบสิกไม่มีการขยายตัว

อย่างไรก็ตาม แม้ตอนนี้ผู้บริโภคจะหันมาสนใจกีฬามากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเสื้อผ้ากลุ่มสปอร์ต ทว่า “แฟชั่น” ก็ยังมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ดังนั้น “แฟชั่น” จึงเป็นอีกหนึ่งจุดขายของดัลมาติเนอร์ในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย โดยแต่ละปีแบรนด์นี้จะมีการออกคอลเลกชั่นหลักตามฤดูกาลรวม 3 คอลเลกชั่น ซึ่งถือเป็นแฟชั่นธีมใหญ่ของแบรนด์ ขณะที่คอลเลกชั่นอื่นๆ ก็จะมีออกมาสร้างสีสันกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเทียบกับแบรนด์ในค่ายเดียวกันอย่างเบเวอรี่ ฮิลส์ฯ พูดได้ว่าดัลมาติเนอร์จะมีความเป็นแฟชั่นดูทันสมัย และสามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ได้มากกว่า เพื่อตอบโจทย์คนทำงานรุ่นใหม่อายุ 25-35 ปี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความแตกต่างที่ชัดเจนในการจับลูกค้า นอกเหนือจากเรื่องราคาที่แบรนด์ใหม่นี้กำหนดราคาเริ่มต้นที่ 1,800-6,000 บาท สูงกว่าเบเวอรี่ ฮิลส์ฯ ราว 20%

“แม้คนหันมาสนใจและเล่นกีฬากันเยอะขึ้น ทำให้มีผู้บริโภคหันมาแต่งตัวแนวสปอร์ตกันมากขึ้นด้วย แต่เราก็ยังให้ความสำคัญในเรื่องดีไซน์และแฟชั่น เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและกระชากการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค”

ขณะเดียวกันเพื่อสะท้อนคาแรกเตอร์ของแบรนด์ให้ชัดเจน ทางธีซิซฯ ได้ทุ่มงบประมาณ 6-7 ล้านบาท ผุดชอปที่เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน เป็นแห่งแรก ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Total” ซึ่งสะท้อนถึงการมีสินค้าครบทุกธีมที่สามารถตอบทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า โดย พงศ์ศักดิ์ บอกว่า การขยายชอปของดัลมาติเนอร์ต่อจากนี้ก็จะใช้คอนเซ็ปต์เดียวกัน โดยสิ้นปีเตรียมขยายสาขาเพิ่มที่สยามพารากอน ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะขยายเพิ่มให้ครบ 15 สาขา ไม่แค่นั้น เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว ผู้เล่นรายนี้ทุ่มงบกว่า 4 ล้านบาท สำหรับการทำตลาดในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ โดยมุ่งไปที่การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมทั้งการโฆษณาผ่านสื่ออย่างเต็มที่ ซึ่งผู้เล่นรายนี้มั่นใจว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายปีนี้ แบรนด์ดัลมาติเนอร์จะสามารถปิดรายได้ที่ 20 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 150 ล้านบาทในสิ้นปีหน้า

ทว่า นอกจากการโกยตัวเลขยอดขายในบ้านเราแล้ว เชื่อว่า เป้าหมายสำคัญที่ผู้บริหารค่ายธีซิซฯ หมายตาเอาไว้ นั่นคือ การดันแบรนด์ดัลมาติเนอร์ออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายสู่ตลาดเอเชียที่ตอนนี้เริ่มเจรจาที่สิงคโปร์กับฮ่องกง ก่อนจะเริ่มเปิดฉากบุกอย่างเป็นทางการในปลายปีหน้า ซึ่งเอเชียถือเป็นประตูสำคัญที่คาดว่าต้องใช้เวลาปูพรมราว 3-5 ปี เพื่อสร้างชื่อให้แข็งแกร่งก่อนบุกตลาดยุโรปต่อไป   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us