Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2531
เต็กเฮงหยูโอสถานุเคราะห์ขอผูกขาดเพียงผู้เดียว             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท โอสถสภา จำกัด

   
search resources

โอสถสภา, บจก.
สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์
Pharmaceuticals & Cosmetics




เต๊กเฮงหยู เปิดหน้าประวัติศาสตร์บทใหม่ ด้วยความลักลั่นที่น่ากลัวของชนรุ่นที่ 4 อย่างเต็มตัวแล้วในวันนี้ 88 ปีที่ผ่านมาระบุชัดแล้วว่า เต๊กเฮงหยู จะต้องเป็นโอสถานุเคราห์เพียงคนเดียวกับคำพยากรณ์ที่ว่า ธุรกิจครอบครัวจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในห้องหนึ่งทศวรรษหน้านี้ สภาพหินลองทองดังกล่าวนี้เต๊กเฮงหยูไม่พ้นแน่นอน

"ทำไม? เป็นเพราะอะไรหรือ? บริษัทที่มีทุนสะสมมากพอกับการขยายอิทธิพลทางการค้าและยังตั้งขาหยั่งที่แข็งแกร่งในเมืองไทยมานานกว่า 80 ปีอย่างเต๊กเฮงหยูถึงมาได้ไกลเพียงแค่ที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน?"

หากลูกหลาน "โอสถานุเคราะห์" ใจกว้างพอกับการยอมรับข้อเท็จจริง พวกเขาย่อมนึกสงสัยเช่นเดียวกับหลาย ๆ คนคลางแคลงใจนักว่า "ผลประกอบการของเต๊กเฮงหยูนั้นควรได้มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 4,500 ล้านบาทในปีนี้มานานแล้วด้วยซ้ำไป"

ปี พ.ศ. 2521 กลุ่มโอสถสภา (เต๊กเฮงหยู) ติอันดับที่ 6 ของกลุ่มบริษัทที่ทำกำไรสูงสุดรวมกันในอุตสาหกรรมทุกประเภท เมื่อผนวกกับความเป็นเจ้าที่ดินรายใหญ่ซึ่งสั่งสมมาจากรุ่นที่ 2 จึงไม่ยากเลยที่กลุ่มนี้จะเพิ่มความครั่นคร้ามน่าเกรงกลัว

ปี พ.ศ. 2531 "หนึ่งทศวรรษ" ที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของเต๊กเฮงหยูกลับมิได้พุ่งพรวดพราดอย่างที่หลายคนคาดคิด และยามที่ภาวะเศรษฐกิจกระเตี้องเฟื่องฟูอีกครั้ง ขณะที่หลายกลุ่มบริษัทปรีดาปราโมทย์กับอนาคตที่สดใส ทว่าบริษัทเก่าแก่อย่างเต๊กเฮงหยูกลับดูเหมือนจะต้องมา "เริ่มต้น" นับหนึ่งกันใหม่

เป็นยังงี้ได้ยังไง!?

เริ่มต้นปี 2531 ด้วยภาวะอาการถอยร่นของผลประกอบการที่ต่ำไปจากความเป็นจริงในปี 2530 นั้นอาจไม่เลวร้ายเกินไปกว่าวิกฤติศรัทธาของเหล่านักบริหารมืออาชีพทั้งหลายที่ตกอยู่ในสภาพหนียะย่ายพ่ายจะแจกันทั้งสิ้น

ไม่มีใครอาจปฏิเสธได้ว่า นักการตลาดมือครูที่อำลาจากเต๊กเฮงหยูมาอย่าง ศิลป์ชัย ไชยสิทธิเวช พร ศรีจันทร์ พิเชษฐ์ รมหุตติฤกษ์ ประวิทย์ จิตนราพงศ์ ไล่มาจนถึง มานิต รัตนสุวรรณ หมาล่าเนื้อที่ไม่สิ้นเขี้ยวเล็บเหล่านี้มิใช่หรือ? ที่เป็น "น้ำดี" หล่อเลี้ยงบำรุงพันธุ์เต๊กเฮงหยูให้งอกงาม

จากสภาพการณ์ปัจจุบันที่การแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ผลิตภัณฑ์หลายตัวของคู่แข่งพัฒนาหลั่งไหลลงสู่ตลาดไม่ขาดสาย มีการพลิกผันกลยุทธ์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ความเชี่ยวชาญช่ำชองที่เต๊กเฮงหยูเคยได้รับจากนักการตลาดมือดีเหล่านี้ย่อมหนีไม่พ้นที่จะกลายเป็น "จุดบอด" ให้ถูกทะลุทะลวง

ก็เป็นปัญหาหนักอาเต๊กเฮงหยูไม่เบาเลยทีเดียว!!

ปี พ.ศ.2529 หัวขบวนรุ่นที่ 3 อย่างสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ พิสมัยมนต์การเมืองเข้ากระดูก ยอมก้าวลงจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพื่อเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภาระอันหนักอึ้งจึงตกเป็นของวิมลทิพย์ พงศธร หลานสาววัยเริ่มต้นสามสิบกว่า ๆ เข้ากุมบังเหียนแทน เธอนับว่าเป็นผู้จัดการที่อ่อนเยาว์อยู่มาก เมื่อเทียบกับอายุบริษัทรวมไปถึงเครือข่ายที่ต้องดูแลและผลประกอบการหลายพันล้านบาทเป็นมาตรวัดอัตราเสี่ยง

ธนา ไชยประสิทธิ์ คนหนุ่มวัยไม่ถึง 30 ปี หลานรักของสุรัตน์อีกคนหนึ่งถูกเลื่อนชั้นจากงานแผนกบริหารภายในขึ้นเป็นรองกรรมการผู้จัดการ เพื่อแบ่งเบาช่วยเหลือวิมลทิพย์ ความสำเร็จแบบก้าวกระโดดเกินอายุของหนุ่มสาว "โอสถานุเคราะห์" ยังตามมาอีกในปี 2530 ซึ่งยกระดับ ภาสุรี โอสถานุเคราะห์ ลูกชายของเสรีน้องของสุรัตน์ให้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการการตลาด 2 ตลาดที่เป็น "หัวใจ" ของบริษัท ทั้ง ๆ ที่ภาสุรีเพิ่งเรียนรู้งานได้ไม่นานนัก แล้วก็ยังมี วันทนีย์ เบญจกาญจน์ พี่สาวของธนาอีกคนหนึ่งซึ่งเคยคุมงานอยู่ที่บริษัทยูนิเวอร์แซลอิเลคทริค 1 ในบริษัทเต๊กเฮงหยู ก็ย้ายข้ามฟากมารุ่งโรจน์ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายธุรการควบไปกับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ทรงอิทธิพลสูงคนหนึ่ง

ศักราชรุ่นที่ 4 ของโอสถานุเคราะห์และเต๊กเฮงหยูผงาดง้ำท้าทายด้วยความหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย สิ่งที่คนรุ่นนี้จักต้องเผชิญในอนาคตเสมือนหนึ่งเป็นการพิสูจน์ความสามารถของพวกเขาว่า "พอตัว" หรือไม่ที่จะธำรงธุรกิจของตระกูลให้ยาวนานเป็นนิรันดร์

เต๊กเฮงหยูน่ะหรือเป็นกฎตายตัวเสียแล้วว่า "ธุรกิจของเต๊กเฮงหยูต้องเป็นของโอสถานุเคราะห์คนเดียวเท่านั้น"!!!!

วัฒนธรรม "โอสถานุเคราะห์"

หาก ถาวร พรประภา จะยึดถือระบบปาร์ตี้ค็อกเทล เป็นคัมภีร์ในการบริหารงานวัฒนธรรมการสืบทอดอำนาจและบริหารงานที่ไม่เหมือนใครอีกรูปแบบหนึ่งของ "โอสถานุเคราะห์" ก็เป็นบทเรียนนอกตำราที่น่าศึกษาเช่นเดียวกัน

"โอสถานุเคราะห์" มีหลักเกณฑ์ในการขึ้นมาครองอำนาจอย่างง่าย ๆ 3 ประการคือ ความสามารถ - ความเหมาะสม - ความไม่ตายตัว ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ทำให้ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของบริษัทนี้ไม่ปรากฏข่าวคราวความร้าวฉานของคนในตระกูลเลยสักครั้งเดียว

แป๊ะ โอสถานุเคราะห์ เมื่ออาศัยความบังเอิญทางการตลาดที่รัชกาลที่ 6 ทรงช่วยโฆษณาสรรพคุณยากฤษณากลั่นของเขาก็ทำให้ยาตัวนี้ ซึ่งเป็นยาจีนโบราณขนานแท้ขายดิบขายดีเป็นอันมาก ทำให้เต๊กเฮงหยูยิ่งใหญ่มาได้จนถึงปัจจุบัน

แป๊ะมีลูกหลายคน ซึ่งตามปกติธรรมเนียมจีนมักนิยมมอบกิจการให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ดูแล ในที่นี้เสวียนลูกชายคนโตก็ควรจะได้รับโอกาสดังกล่าว แต่ด้วยความเหมาะสมที่ว่าสวัสดิ์ลูกคนที่ 3 นั้นเรียนมาทางแพทยศาสตร์ แป๊ะจึงมอบสมบัติของตระกูลให้สวัสดิ์สืบทอดอย่างเต็มตัว

อดีตนักเรียนมัธยมปลายอันดับที่ 19 ของประเทศอย่างสวัสดิ์พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่มีแค่ "ความเหมาะสม" เท่านั้น หากยังมี "ความสามารถ" เกินตัวอีกด้วย สวัสดิ์นับเป็นแม่ทัพที่สร้างความเกรียงไกรให้กับเต๊กเฮงหยูอย่างแท้จริง

สวัสดิ์เป็นทั้งนักบริหาร-นักการตลาด-นักประชาสัมพันธ์ ที่เก่งกาจพร้อม ๆ กันในคราวเดียว เขาเป็นคนแรกที่คิดค้นระบเซลส์-ระบบเครดิต-การจัดทำเอกสารคู่มือการใช้ยา และที่ลือลั่นอย่างมากก็คือ หนังเร่ ที่ถือว่าเป็นงานขาย-งานโฆษณาที่เข้าเป้ามากที่สุดเมื่อ 15-20 ปีที่ผ่านมา

เต๊กเฮงหยูเติบโตอย่างห้าวฮึกด้วยตัว "ยาทัมใจ" ซึ่งยานี้เป็นยาแก้ปวดหัวสมัยใหม่ที่สวัสดิ์ทดลองผลิตขึ้นมาขาย ตอนแรก ๆ ก็ขายซองละ 5 สตางค์ แต่ตลาดยังไม่เป็นที่ฮือฮามากนัก กระทั่งเมื่อสวัสดิ์ยอมทุ่มแจกยานี้ผ่านกับพวก ส.ส. ที่ไปหาเสียงกับชาวบ้าน ปรากฏว่ากลเม็ดนี้ปลุกให้ยาทัมใจเป็นที่รู้จักและนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางในชนบท

วัตรปฏิบัติครานั้นเลยกลายเป็นเทคนิคล้ำเลิศของคนในตระกูล "โอสถานุเคราะห์" ไปเสียเลย เพราะแม้แต่สุรัตน์ ลูกชายของสวัสดิ์ลงสมัคร ส.ส.ก็ยังได้ชื่อว่าเป็น "ส.ส.ยาทัมใจ"

รุ่นที่ 2 ของเต๊กเฮงหยูภายใต้การบัญชาการรบของสวัสดิ์ คือการวางรากฐานที่มั่นคง และขยายกำลังการผลิตบ้างตามความจำเป็น รุ่นนี้เต๊กเฮงหยูมีโรงงานผลิตทันสมัยเป็นของตัวเองแล้วที่หัวหมาก (อยู่มาจนถึงปัจจุบัน) การสร้างโรงงานทุก ๆ แห่งยังชี้ให้เห็นถึงความเป็นคนมองการณ์ไกลของสวัสดิ์ด้วย เพราะที่ดินทุกผืนซึ่งเป็นที่ตั้งเป็นที่ดินที่สวัสดิ์ซื้อเก็บไว้ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นหนุ่ม ๆ ด้วยสนนราคาไม่กี่บาท

สวัสดิ์มีลูกชาย 4 คน คือสุวิทย์-สุรัตน์-สุรินทร์-เสรี ทายาทเหล่านี้ต่างมีความชำนิชำนาญแปลกแยกกันไป สุวิทย์ช่ำชองด้านไฟแนนซ์-การตลาด สุรัตน์โชกโชนกับงานการศึกษา-การเมือง ส่วนสุรินทร์-เสรีเน้นไปในด้านธุรกิจที่ดิน

รุ่นที่ 3 ของ "โอสถานุเคราะห์" เป็นการสร้างอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ บริษัทแม่อย่างเต๊กเฮงหยูได้แตกบริษัทบริวารออกไปอีก 4 บริษัท คือ พรีเมียร์มาร์เก็ตติ้ง (ปี 2520) อินเตอร์แม็กนั่ม ตัวแทนขายนม อสค. (ปี 2520) เอสจีไอ. บริษัทผลิตขวดแก้ว (ปี 2520) สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง บริษัทโฆษณา (ปี 2520) ทั้ง 4 บริษัทนี้เกิดขึ้นในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจเริ่มจะฟื้นตัวอีกครั้ง หลังจากโดนมรสุมการเมืองกระหน่ำหนัก โดยเฉพาะข่าวคราวที่ว่าเมืองไทยจะเป็นโดมิโนตัวสุดท้ายในกลุ่มอินโดจีน

นอกจากนี้ในส่วนตัวลูก ๆ ของสวัสดิ์ทั้ง 4 คนก็ยังมีอาณาจักรส่วนตัวตามความถนัดอีกด้วย เช่น สุวิทย์ มีบริษัทเงินทุน จี เอฟ. และธุรกิจอีกมากมายในนาม "กลุ่มหลังสวน" สุรัตน์ เป็นทั้งนักการเมืองระดับนำของประเทศและเจ้าของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำหรับสุรินทร์-เสรี ก็เป็นเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรขนาดใหญ่ที่ชื่อ "เสรีวิลล่า"

การแตกตัวทางธุรกิจของเต๊กเฮงหยูในรุ่นที่ 3 นับเป็นการแตกตัวที่เชื่อมโยงสอดรับกันอย่างต่อเนื่อง ไล่มาตั้งแต่บริษัทแม่เต๊กเฮงหยูกับบริษัทเอสจีไอ. ในฐานผู้ผลิต ส่งมอบสินค้าให้กับพรีเมียร์ฯ และอินเตอร์ฯ ดำเนินการด้านการตลาด โดยมีสปาฯ เป็นตัวรุกไล่ทางด้านโฆษณา-ประชาสัมพันธ์ และยังด้านบุคลากรที่มีทั้ง จีเอฟ.กับมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นสนามเรียนรู้ที่มีประสิทธิผลพอควร

ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่ก็คือ "การทะเลาะเบาะแว้งซึ่งถือเป็นงานหลักในการแย่งชิงอำนาจ" นั้นเป็นที่น่าทึ่งไม่น้อยว่าไม่เคยปรากฏเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตเลยสักครั้งสำหรับธุรกิจเต๊กเฮงหยู

สวัสดิ์ใช้เคล็ดลับ "ความไม่ตายตัว" เข้ามาจัดสรรบทบาทลูก ๆ ทั้ง 4 คนภายในเต๊กเฮงหยู เขาใช้วิธีหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันขึ้นมาเป็นใหญ่ สุวิทย์ใหญ่ในฐานะกรรมการผู้จัดการที่คุมงานส่วนใหญ่ครั้งแรกในปี 2500 ซึ่งเขาก้าวเข้ามาภายหลังสุรัตน์ที่เป็นน้องชายถึง 2 ปี สุรัตน์กับสุวิทย์ผลัดกันใหญ่จนถึงปี 2506 ก็ถึงคิวสุรินทร์ แล้วก็หมุนกลับมาเป็นของสุวิทย์อีกครั้งในปี 2508 จากนั้นอีก 3 ปีจึงเป็นหน้าที่ของสุรัตน์

เคล็ดลับประการนี้ของสวัสดิ์เหมือนกับลั่นกระสุนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว คือ หนึ่ง - ลดปัญหาความขัดแย้งภายในตระกูล ไม่ว่าจะเป็นเตี่ยกับลูก หรือพี่กับน้อง ที่เป็นปัญหาน้ำเน่าเหนี่ยวรั้งการเติบโตของธุรกิจ สอง - เป็นการสั่งสมประสบการณ์ในการทำงานทุก ๆ ด้านให้กับผู้สืบทอด ซึ่งจะเห็นว่าลูก ๆ ของสวัสดิ์ก้าวขึ้นมาใหญ่ในวัยที่ยังไม่ถึง 30 ปีด้วยกันทั้งสิ้น

ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่รุ่นที่ 4 ของเต๊กเฮงหยูอย่างวิมลทิพย์, ธนา, วันทนีย์ หรือภาสุรี จะก้าวกระโดดเกินอายุ เพราะนี่ถือเป็นกลยุทธ์การเรียนรู้ที่ "โอสถานุเคราะห์" ถือว่าเป็นของดีที่ไม่เหมือนใคร??

เต๊กเฮงหยูเป็นองค์กรหนึ่งที่มุ่งมั่นมากกับการสร้างภาพพจน์ความเป็น "องค์กรมืออาชีพ" ถึงกับมีคำกล่าวอ้างว่า "ที่นี่คือที่รวมมืออาชีพมากที่สุด" แต่จากระบบกระโดดค้ำถ่อขึ้นมาเป็นใหญ่ของเหล่าลูกหลาน "โอสถานุเคราะห์" ทั้งหลายที่เป็นมาช้านาน คำกล่าวนั้นเลยเปลี่ยนไปในทางกลับกันว่า

"ที่นี่คือสุสานของมืออาชีพ"!?

นักบริหารอาชีพท่านหนึ่งบอกว่า การว่าจ้างมืออาชีพของเต๊กเฮงหยูนั้น ด้านหนึ่งเพื่อใช้เป็นกำลังหลักในการสร้างความเติบโต และอีกด้านหนึ่งเพื่อนำมาเป็น "ครู" สอนสั่งความรอบรู้ให้กับลูกหลานของ "โอสถานุเคราะห์" มืออาชีพที่เข้ามามีเพียงอำนาจหน้าที่เต็ม 100% แต่ไม่มีอำนาจตัดสินใจ 100% มืออาชีพบางคนที่ต้องออกไปนั้นเป็นเพราะไม่อาจรับ "นาย" ที่เป็นลูกหลานของตระกูลนี้ได้

"ลองคิดดูเถอะว่า การทำตลาดสินค้าแต่ละตัว บางทีต้องประชุมกันยืดเยื้อเป็นสิบ ๆ ครั้งเพื่อรอการตัดสินใจของเด็ก ๆ ที่เป็นลูกหลาน ที่เห็นชัด ๆ ก็คือ ลิโพวิตัน-ดี เดิมทีเป็นตัวทำเงินอย่างมาก พอมีกระทิงแดงออกมาก็ถูกแบ่งตลาดจนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เรื่องอย่างนี้หากใช้มืออาชีพเขาแก้เกมกันโดยอิสระแล้วสินค้าที่เคยติดตลาดมาก่อนอย่างลิโพฯ จะไม่มีวันพ่ายแพ้เด็ดขาด" แหล่งข่าวคนหนึ่งบอกกล่าว

ระบบการบริหารอย่างเต๊กเฮงหยูที่คุมเข้มด้านการเงิน ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สร้างความอึดอัดให้กับมืออาชีพอยู่ไม่น้อย เพราะการบริหารด้านการเงินทุกอย่างจะรวมศูนย์อยู่กรรมการผู้จัดการบริษัทเต๊กเฮงหยูทั้งหมด กรรมการผู้จัดการบริษัทบริวารแทบจะไม่มีอำนาจอะไรเลย ซึ่งระบบรวมศูนย์นี้ใช้ได้ผลกับธุรกิจที่ยังไม่มีขนาดใหญ่มากนัก แต่ระบบธุรกิจขนาดใหญ่อย่างเต๊กเฮงหยูที่หลายครั้งต้องการความรวดเร็วในการสั่งจ่ายเพื่อใช้ในการขยายและพัฒนาธุรกิจ

ระบบรวมศูนย์ที่ว่านี้จะกลายเป็น "จุดบอด" ไปโดยไม่รู้ตัว!?

"ไม่ใช่โอสถสภาฯ แห่งเดียวที่เกิดปัญหานี้ บริษัทอื่นก็มี บางคนออกไปก็มีแต่คนที่อยู่กับเรา นาน ๆ ก็ยังมีอยู่กันหลายคน ถึงยังไงเราก็เชื่อว่า พวกเราพี่ ๆ น้อง ๆ สามารถบริหารงานกันต่อไปได้" วิมลทิพย์เคยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงปัญหาการลาออกของมืออาชีพในเต๊กเฮงหยู ในคำตอบของเธอก็บอกเป็นนัย ๆ แล้วว่า

เต๊กเฮงหยูโดยคนในครอบครัว "โอสถานุเคราะห์" ยังไง ๆ มันก็ยังไปได้!?

สุวิทย์ โอสถานุเคราะห์ สมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่และรั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเคยบอกไว้ว่า จะพยายามนำเต๊กเฮงหยูเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้เพื่อเปิดกว้างกับสาธารณชนมากขึ้น ในแผนงานของสุวิทย์ที่มีสุรัตน์เห็นดีเห็นชอบด้วยนั้น หลายคนบอกว่า "ช่างสวยหรูเสียนี่กระไร"

แต่ครั้นสุวิทย์มาด่วนจากไป… แผนงานนั้นก็มีอันรางเลือน!!!

สุรัตน์ที่ยังอยู่ก็กระโจนเข้าไปเล่นการเมือง ในที่สุดก็หลงลืมไปโดยไม่เจตนา!!

จากวันนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้สิบปีกว่า ๆ แล้วกระมัง เต๊กเฮงหยูก็ยังเป็นของ "โอสถานุเคราะห์" อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดดังเดิม!!!

การเติบโตของเต๊กเฮงหยูเป็นอีกบทหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์กับงานการเมืองว่า หากประสานเข้ากันได้อย่างแยบยลแล้วจะมีคุณูปการอย่างมาก ไม่นับครั้งที่สวัสดิ์เคยใช้ ส.ส.เป็นฐานในการโปรโมทยาทัมใจ ก็ยังมีหลายครั้งที่เต๊กเฮงหยูเล่นละครการเมือง-ธุรกิจได้อย่างโดดเด่น อาทิ

ครั้งที่อินเตอร์แม็กนั่มเข้าไปประมูลขายนมให้ อสค. เมื่อปี 2528 ตอนนั้นเต๊กเฮงหยูทุ่มโถมสุดตัว เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ์ผูกขาดเพียงรายเดียว คนวงในตั้งข้อสังเกตว่าเงื่อนไขที่คณะกรรมการตั้งไว้นั้น สูงมากจนเอเยนต์รายอื่นขยาดกลัว คงมีเพียงอินเตอร์แม็กนั่มรายเดียวเท่านั้นที่สู้ได้และสู้ได้อย่างสบาย ๆ

ที่น่ามองก็คือ คนที่กุมอำนาจใน อสค. ช่วงนั้น เป็นคนของพรรคกิจสังคมที่มี สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เป็นเลขาฯ พรรคฯ และสุรัตน์คนเดียวกันนี้ก็ยังเป็นกรรมการผู้จัดการเต๊กเฮงหยู ที่เป็นบริษัทแม่ของอินเตอร์แม็กนั่มฯ

ถึงทุกวันนี้อินเตอร์แม็กนั่มก็สบายตัวไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่าไปที่ไหน ๆ ก็ได้ยินแต่คำพูดที่ว่า "วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง"!?

หินลองทองของ "โอสถานุเคราะห์"

เต๊กเฮงหยูนับตั้งแต่รุ่นที่ 2 (สวัสดิ์) มาจนถึงรุ่นที่ 3 (สุวิทย์ - สุรัตน์ - สุรินทร์ - เสรี) การขยายกิจการหลายอย่างจะมุ่งโจมตีไปทางด้านการตลาดเป็นสำคัญส่วนใหญ่ ที่ขยายตัวจะมีความสัมพันธ์กับธุรกิจเดิมที่ทำมาก่อนหน้านั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตั้งพรีเมียร์ฯ ขึ้นมารองรับสินค้าจากเต๊กเฮงหยู เป็นต้น

การพาเหรดเข้ามาครองอำนาจของชนรุ่นที่ 4 "โอสถานุเคราะห์" วิถีทางธุรกิจที่เบี่ยงเบนไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือ แนวโน้มการขยายธุรกิจที่เริ่มจะ DIVERSIFY ไปยังธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมมากขึ้น อย่างเช่นในปี 2529 ที่เข้าร่วมทุนกับดาต้าโปร บริษัทคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วตั้งบริษัทดาต้าโปรคอมพิวเตอร์ซิสเต็ม (ดีซีเอส.) ขึ้นมา

วิมลทิพย์ พงศธร ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนที่ผ่านมา เธอมักอยู่ไม่ค่อยติด สำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ ต้องเที่ยวเดินทางขึ้นล่องกรุงเทพฯ-ระยองอยู่เป็นประจำ ทั้งนี้เพื่อไปดูโครงการกุ้งกุลาดำ ซึ่งเต๊กเฮงหยูร่วมลงทุนกับกลุ่มเนาวรัตน์ พัฒนาการ ของมานะ กรรณสูต เจ้าพ่อวงการก่อสร้าง โครงการนี้ชี้ให้เห็นเด่นชัดเลยว่า กลยุทธ์การร่วมทุนของเต๊กเฮงหยูจะถูกนำมาใช้มากในรุ่นที่ 4 โดยเฉพาะในเรื่องโครงการอาหารต่าง ๆ ที่วิมลทิพย์บอกว่า "จะเป็นหัวใจของเต๊กเฮงหยูต่อไปในอนาคต"

และยังมีการ่วมทุนกับต่างชาติเพื่อผลิตสินค้าที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอีกหลายตัว เช่น การร่วมทุนกับยูนิชาร์มของญี่ปุ่นตั้งโรงงานผลิตผ้าอนามัยซิลคอต หรือร่วมทุนกับชิเซโด้ของญี่ปุ่นผลิตแชมพูและครีมนวดผมชิเซโด้ ซึ่งสินค้าที่จะผลิตออกมาเหล่านี้ล้วนมีผู้นำตลาดรายปึ๊กส์ ๆ ดาหน้ารอรับความกล้าหาญชาญชัยของรุ่นที่ 4 โอสถานุเคราะห์อยู่อย่างเต็มอัตราศึกแล้ว

ธุรกิจครอบครัวของเต๊กเฮงหยูไม่เพียงยืนอยู่บนชะง่อนผาสูง เพื่อท้าทายความอยู่รอดที่ยิ่งใหญ่มานานนับ 80 กว่าปีเท่านั้น หากความอหังการที่จำเป็นต้องสู้ของรุ่นที่ 4 ยังเป็นคำถามอีกว่าอาณาจักรแห่งนี้ที่มีหลายคนบอกว่า ยอดขายสูงเป็นหมื่น ๆ ล้านได้แล้วนั้น ถึงเวลาที่จะเป็นจริงเสียที ก็ด้วยฝีมือและความสามารถของคนในรุ่นที่ 4

ปัญหาอยู่ที่ว่าพวกเขาจะทำกันได้หรือไม่เท่านั้นเองแหละ!!!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us