เมื่อสถานีโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ช่อง 11 ได้ฤกษ์แพร่ภาพได้อย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น
นอกจากรายการประจำวันของแต่ละสถานีที่ฟาดฟันกันอยู่ เพื่อดึงดูดผู้ชมตลอดเวลาแล้ว
ส่วนที่หลายคนให้ความสนใจไม่แพ้กันก็คือ "รายการข่าว" ทั้งภาค
19.30 น. และ 20.00 น. ของสถานที่โทรทัศน์ทั้ง 5 ช่อง
ตามความคาดหมายของคนทั้งในและนอกวงการต่างก็มีความรู้สึกไปในทางเดียวกันว่า
ช่องที่ต้องรู้สึก "หนาวเหน็บเจ็บหัวใจ" มากที่สุดเห็นจะเป็นสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง
5 หรือ ททบ. 5 ที่เรารู้จักกันดี
เพราะหลังจาก "ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล" ได้นำทีมข่าว 9 อ.ส.ม.ท.
ปฏิวัติการนำเสนอข่าวประจำวันให้น่าสนใจ น่าติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ ช่องอื่นๆ
ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนจัดรูปขบวนกันใหม่ เรียกว่าสมรภูมินี้นับว่ามีแต่จะเข้มข้นขึ้น
ยกเว้นก็แต่ช่อง 5 ที่ใครๆ ก็ทราบว่าเป็นสถานีของกองทัพบก จะทำอะไรหวือกวานักก็ไม่ได้
เดี๋ยว "นาย" ทั้งหลายจะหาว่าล้ำเส้นพาลหมั่นไส้เอาดื้อๆ
แต่ความคิดเช่นนี้กลับไม่เคยอยู่ในสมองของ "กิตติภัทร์ รุ่งธนเกียรติ"
หรือที่บางคนจะรู้จักกันดีในชื่อของ "เสี่ยติ่ง" ซึ่งใครจะเรียกเขาว่าเป็น
"ราชา" "จอมราชันย์" "เจ้าพ่อ" วิทยุภูธรก็แล้วแต่จะเรียกหากันอย่างไร
"เสี่ยติ่ง" ปัจจุบันอายุ 37 ปี เป็นคนจังหวัดสุรินทร์ ชีวิตในวัยเด็กของเขาแตกต่างจากผู้บริหารในองค์กรธุรกิจที่เรารู้จักกันดีมากมายราวฟ้ากับดิน
เขาจบชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวาณิชนุกูล จากนั้นต่อระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนสุรวิทยาคาร
ซึ่งทั้งสองแห่งอยู่ในตัวเมืองสุรินทร์
อาชีพแรกของเขาเป็นแค่คนขายปลาทู ขายเส้นก๋วยเตี๋ยว จากนั้นเขาก็ขยับขยายมาขายของชำ
จนเมื่ออายุประมาณ 20 ปีเศษ พ่อของเขาได้ซื้อตึกแถวตรงถนนสนิทนิคมรัตน์ อำเภอเมืองสุรินทร์
เปิดเป็นร้านค้าชื่อ "ฮั่วฮวดเฮง" พร้อมกับเป็นตัวแทนจำหน่ายกางเกงในเมมโบ
555 ซึ่งขายได้ฉลุยในยุคนั้น
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าที่เขาดูแลอยู่ประสบความสำเร็จอย่างมากก็คือ การประชาสัมพันธ์ผ่านสถานีวิทยุของทหารสื่อสาร
ซึ่งมีสถานีเดียวในตอนนั้น ความคิดที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจด้านมีเดียนี้
เกิดขึ้นจากตรงนี้เอง
"ผมคิดว่า สินค้าของเรา ถ้าไม่มีการประชาสัมพันธ์ ยอดขายของเราก็อาจจะตก
ผมก็เลยไปเช่าช่วงเวลาโฆษณาจากสถานีราคา 4,000 บาท แต่ผมต้องเช่ามาจากคนอื่นอีกทีหนึ่ง
6,000 บาทเลยมาคิดว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจดี อยู่เฉยๆ ได้กำไรตั้งครึ่งต่อครึ่ง"
กิตติภัทร์ บอกถึงความคิดที่เขาเข้ามาสู่วงการครั้งแรก
ตอนนั้นสถานีวิทยุท้องถิ่นมีสถานีเดียวดังที่กล่าวแล้ว และยังไม่มีใครคิดว่าจะเป็นธุรกิจที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำได้เลย
ไม่มีใครสนใจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกล กล้าได้กล้าเสียที่เข้ามาทำธุรกิจนี้ตั้งแต่ช่วงนั้นของเขา
จนกระทั่งบัดนี้ กิตติภัทร์ หรือ "เสี่ยติ่ง" ได้กลายเป็นผู้กุมชะตาผู้ขายสินค้ามากมาย
ที่ต้องประชาสัมพันธ์สินค้าของตนผ่านสื่อเล็กๆ ที่ไม่มีใครใส่ใจเมื่อสิบกว่าปีก่อนอย่างเต็มภาคภูมิ
ไม่ว่าจะเป็นสถานีวิทยุ เอ.เอ็ม และเอฟ.เอ็ม ในส่วนภูมิภาคซึ่งส่วนหนึ่งอยู่ในความดูแลของกองทัพภาคที่
2 "เสี่ยติ่ง" ก็เป็นผู้จัดหาโฆษณาให้กับสถานีเหล่านั้นมากกว่าสิบสถานี
ยังไม่รวมถึงโทรทัศน์ในส่วนภูมิภาค ในรายการข่าวท้องถิ่นอีกหลายช่อง
เส้นทางของ "เสี่ยติ่ง" ไม่ได้ มีเพียงด้านมีเดียเท่านั้น ด้วยความกว้างขวางและเอาจริงเอาจังยิ่งของเขา
"เสี่ยติ่ง" ยังขยายกิจการออกไปเป็นห้างสรรพสินค้าอีกสองแห่ง และยังมีโครงการลงทุนสร้างโรงแรมและศูนย์การค้ามูลค่าประมาณ
200 บ้านบาทอีก รวมทั้งล่าสุดเขาได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์
ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดใจ แกมยอมรับในฝีมือว่า "เสี่ยติ่ง" มีฝีมือชั้นเซียนเหยียบเมฆจริงๆ
และวัน "เสี่ยติ่ง" ไม่ได้จับเจ่าอยู่ในท้องถิ่นของตัวเองเท่านั้น
เมื่อเขาเกิด "สนใจ" วงการโทรทัศน์เมืองกรุงขึ้นมาอย่างเต็มที่
เริ่มด้วยการจับมือกับนิวส์เน็ตเวิร์ค เป็นตัวแทนบริหารเวลาโฆษณาภาคข่าวของ
ททบ. 5 เต็มตัว
"ช่อง 5 ได้เปรียบตรงที่จับกลุ่มคนดูต่างจังหวัดได้อย่างเหนียวแน่น
และที่สำคัญราคาค่าโฆษณาของเราถูกกว่ามาก" กิตติภัทร์บอก "ผู้จัดการ"
ถึงสิ่งที่เขาคิดว่าจะเหนือกว่าในการแข่งกับคู่แข่งขัน
ซึ่งความได้เปรียบนี้จริงๆ แล้วไม่อาจนับเป็นรูปธรรมมากนัก เพราะใครๆ ก็รู้ว่าสภาพของ
"เสี่ยติ่ง" กับพีเคแอดเวอร์ไทซิ่ง และไอทีอินเตอร์เอเยนซี่ บนตึกชาญอิสสระ
ที่เขาตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลให้ความสะดวกแก่ลูกค้านั้นไม่ได้แตกต่างจากแบรนเน็ตเวิร์คของฉลวย
เรืองชาญ แม้แต่น้อยนิด ตรงที่เขาไม่มีส่วนใดๆ ที่จะกำหนดหรือชี้ความอยู่รอดของตัวเองได้
เพราะข่าวที่ออกมาผลิตโดยทีมข่าวช่อง 5 กับบริษัททำข่าวให้ช่อง 5 คัดเลือกในแต่ละวัน
เรียกว่าถ้าข่าวช่อง 5 ดีพีเคฯ ก็รุ่ง แต่ถ้าไม่ดี พีเคฯ ก็จอดสถานเดียว
แต่ "เสี่ยติ่ง" ไม่หวั่น … วางแผนรุกรับไว้แล้วเสร็จสรรพ
"ผมเชื่อว่าที่ผมประสบความสำเร็จทุกวันนี้เพราะลูกค้าเขาชอบสไตล์ของผม
ผมเป็นคนพูดจริงทำจริง เป็นคนโผงผางแต่จริงใจ เขามาลงโฆษณากับผม เพราะเขาเชื่อถือผม
"เสี่ยติ่ง" บอก "ผู้จัดการ" และยังอุบเงียบไม่บอกว่าเขากำลังวางแผนอะไรต่อไป
เสียงระฆังของการต่อสู้ในยกแรกของวงการโทรทัศน์ ได้ดังมานานแล้ว สัญญาณการร่วมมือขยายเครือข่ายของช่อง
3 กับช่อง 9 การปรับปรุงรายการไม่มีหยุดนิ่งของช่อง 7 ไฟแห่งความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเองของช่อง
11 ทำให้คาดเดาได้เลยว่า นับแต่นี้การต่อสู้ในสนามนี้จะต้องรุนแรงขึ้นเป็นทับทวีอย่างแน่นอน
ก็ต้องดูต่อไปว่า "เสี่ยติ่ง" จะงัดเอากลยุทธ์ของราชสีห์จากภูธรมาใช้ในเมืองกรุงได้ดีแค่ไหน
และก็คงอีกไม่นานหรอกที่เราจะได้รู้จักเขามากกว่านี้ เมื่อเขาได้กลายเป็น
"เจ้าพ่อ" ตัวจริงของมีเดียเมืองกรุงอีกคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว