หลังจากที่บรรษัทโดนมรสุมข่าวโหมกระหน่ำอย่างหนัก ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมจนถึงกลางเดือนสิงหาคมก็ยังมีสื่อมวลชนบางฉบับกล่าวถึงอยู่
ภาพพจน์ของบรรษัทในฐานะสถาบันการเงินที่ได้รับความเชื่อถือในระบบการบริหารสมัยใหม่
มีนักบริหารมืออาชีพอยู่เต็มไปหมด เริ่มถูกตั้งข้อสงสัยในประสิทธิภาพเสียแล้ว?
ทางออกของปัญหานั้นบ้างก็ว่าต้องผ่าตัดบรรษัท หนังสือพิมพ์บางฉบับเล่นข่าวนี้อย่างหวือหวา
ว่ามีการเสนอให้ยุบทิ้งบรรษัทพร้อมกับมีการปล่อยข่าวลือว่าบรรษัทจะล้ม!
ผู้ที่รับบทหนักที่สุดคือ ศุกรีย์ แก้วเจริญ กรรมการผู้จัดการทั่วไป แทบไม่เป็นอันทำงานทำการเพราะต้องคอยชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ที่ห่วงใยในสุขภาพของบรรษัททั้งหลาย
โดยเฉพาะสื่อมวลชน แต่ก็ยังไม่สามารถคลายข้อสงสัยจนหมดสิ้น เพราะส่วนหนึ่งอยู่ท่าทีของกระทรวงการคลังด้วย
จนกระทั่ง สุธี สิงห์เสน่ห์ มอบหมายให้ โมรา บุณยผล รองปลัดคลังออกมาชี้แจงว่า
เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร และกระทรวงการคลังก็มีโอกาสเข้าไปดูแลและมีกรรมการของบรรษัทซึ่งได้รับเลือกจากผู้ถือหุ้นของบรรษัท
และมีอดีตรัฐมนตรีคลังอย่างสมหมายเป็นประธาน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ข่าวนี้ซาลงไป
ในทางปฏิบัติยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาบทบาทของบรรษัท หรือการใช้มาตรการอื่นใด
ข่าวที่บอกว่าคลังสั่งให้บรรษัทปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร ศุกรีย์ยืนยันกับ
"ผู้จัดการ" ว่า ไม่เคยได้รับคำสั่งเช่นนั้น แต่ผลสะเทือนที่เห็นได้ชัดคือ
ราคาหุ้นของบรรษัทที่ตกลงมาอย่างฮวบฮาบ ต้นเดือนกรกฎาคม ราคา 219 บาท กับวันที่เขียนต้นฉบับ
(22 สิงหาคม) ราคาหุ้นเหลือเพียง 140 บาท ตกลงมาราวๆ 36% ซึ่งนับว่าหนักเอาการอยู่
ประเด็นของปัญหาอยู่ที่การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน คำนวณเมื่อสิ้นปี 2530
เป็นการขาดทุนทางบัญชี 6,320 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สมมุติว่าบรรษัทต้องชำระหนี้ระยะยาวที่มีอยู่ทั้งหมด
ณ ธันวาคม 2530 แต่ความจริงยังไม่ขาดทุนเพราะยังไม่ถึงกำหนด
จำนวนเงินที่ขาดทุนจริงๆ ของปี 2530 คือ 527.7 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังต้องรับภาระออกเงินชดเชยให้บรรษัทก่อน
นี่เป็นข้อกล่าวหาว่าบรรษัททำตัวเป็นเฒ่าทารกที่คิดแต่จะอิงหลังคลังไปจนตาย
ระเรื่อยไปจนถึงบรรษัทแต่งบัญชี แทนที่จะนำขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนไปลงด้านหนี้สินที่เพิ่มขึ้น
กลับไปลงบัญชีเป็นตัวเลขด้านสินทรัพย์ในช่องลูกหนี้ เนื่องจากถือว่าคลังต้องชดเชยเงินจำนวนนี้
ทำให้ตัวเลขสินทรัพย์สวยงาม
ความจริงการทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ละเอียดลึกซึ้งเป็นสิ่งที่ทำได้ โดยแยกพิจารณาเป็นสองส่วน
ภารกิจในอดีตที่สืบเนื่องถึงปัจจุบัน และบทบาทในปัจจุบันท่ามกลางสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปซึ่งจะเป็นตัวกำหนดบทบาทที่ควรจะเป็นไปในอนาคต
การก่อกำเนิดของบรรษัทเป็นการแทนที่ "ธนาคารอุตสาหกรรม" ซึ่งมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือแก่กิจการอุตสาหกรรมระหว่างปี
2495-2500 แต่เนื่องจากธนาคารอุตสาหกรรมประสบปัญหาในการดำเนินงาน รัฐบาลได้ประกาศพระราชบัญญัติบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม
พ.ศ. 2502 แล้วได้ล้มเลิกธนาคารอุตสาหกรรม
รูปแบบของบรรษัทถูกกำหนดให้เป็นสถาบันการเงินที่มีลักษณะพิเศษ กล่าวคือเป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น
แต่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่เป็นภาคเอกชน โดยนักบริหารมืออาชีพ มี สิทธิพิเศษ ตรงที่กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ต่างประเทศ
มี หน้าที่ ให้บริการทางการเงินเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม ทั้งขนาดย่อม ขนาดกลาง
และขนาดใหญ่ ตั้งแต่วางรากฐานไปจนกระทั่งกิจการมั่นคงแข็งแรงในที่สุด และช่วยเหลือการพัฒนาตลาดทุนในประเทศอีกด้วย
ขณะเดียวกันก็มี ข้อจำกัด ที่ไม่สามารถระดมเงินจากประชาชนได้โดยตรงอย่างที่ธนาคารหรือบริษัทเงินทุนทำได้
ลักษณะพิเศษเหล่านี้เป็นเหตุให้วิธีการทางบัญชีของบรรษัทแตกต่างออกไป
จากจุดประสงค์ดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลสมัยนั้นต้องการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม
แต่รัฐบาลไม่สามารถให้กู้ได้เอง จึงเลือกใช้บรรษัทในฐานะ "กลไก"
อันหนึ่ง
แหล่งของเงินทุนระยะยาวในขณะนั้นหายากมาก ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีกู้เงินจากต่างประเทศ
ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุไถ่ถอนคืน 10-30 ปี และเป็นการผ่อนชำระในเงินตราต่างประเทศหลายสกุล
สิ่งที่ตามมากับการกู้เงินตราต่างประเทศ คือความเสี่ยงจากภาวะผันผวนของค่าเงิน
ซึ่งอาจก่อให้เกิดกำไรหรือขาดทุนก็ได้ ถ้าขาดทุนจะมีการตัดจ่ายตามหลักปฏิบัติ
โดยตัดจากกองทุนสำรองอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งบรรษัทได้ตั้งสำรองไว้ทุกปี และถ้าไม่พอสามารถขอชดเชยจากกระทรวงการคลัง
ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างคลังกับบรรษัท
ซึ่งเงินชดเชยที่ได้รับจากคลังนี้ บรรษัทจะตัดเป็นรายจ่ายเมื่อชำระคืนหลังในระยะยาว
"ย้อนหลังกลับไปดูในช่วงแรกๆ รัฐให้ผู้ประกอบการเป็นผู้รับภาระความเสี่ยงไปจากอัตราแลกเปลี่ยนเอง
ซึ่งปรากฏว่ามีผู้ประกอบการเจ๊งไปหลายราย ด้วยเหตุนี้ ราวๆ ปี 2517 จึงมีการเปลี่ยนนโยบายให้บรรษัทรับภาระโดยคลังเข้ามาช่วยเหลือ"
ผู้จัดการฝ่ายการบัญชีของบรรษัทเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
หลังจากนั้นมาบรรษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนมาตลอด ยกเว้นปี 2522 ซึ่งขาดทุน
24 ล้านบาท ซึ่งบรรษัทได้ส่งเงินคืนคลังเรียบร้อยแล้ว
จนกระทั่งปี 2530 ซึ่งขาดทุนมากเนื่องจากสาเหตุหลายประการอันเนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ
ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงมีผลทำให้เงินสกุลอื่นๆ
แข็งตัวขึ้น โดยเฉพาะเงินเยน ซึ่งการที่บรรษัทเลือกกู้เงินเยนและสกุลอื่นๆ
แทนดอลลาร์เพราะอัตราดอกเบี้ยถูกกว่า และสามารถกู้ระยะยาวได้ นอกจากนั้นการลดค่าเงินบาทในปี
2524 และ 2527 ส่งผลกระทบสะสมต่อเนื่องมา
สำหรับตัวเลขขาดทุน 6,320 ล้านบาทที่คำนวณเมื่อสิ้นปี 2530 เมื่อคำนวณใหม่
โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน ตัวเลขขาดทุนลดลงเหลือไม่ถึง 4,000 ล้านบาท
ซึ่งอนาคตก็คงเปลี่ยนไปอีก
การบริหารหนี้ต่างประเทศเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของผู้บริหารบรรษัทเป็นอย่างยิ่ง
"เราไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการใช้มาตรการต่างๆ ในการบริหารหนี้เงินกู้ต่างประเทศตามภาวะการณ์ตลาดจะอำนวย
เรากระจายการกู้เงินเป็นหลายสกุลเพื่อกระจายความเสี่ยง การทำ SWAP รวมทั้งการพิจารณาเลือกเงินสกุลต่างๆ
อย่างต่อเนื่อง แต่เดิมเรากู้ผ่าน WORLD BANK และ ASIAN DEVELOPMENT BANK
ซึ่งมีข้อจำกัดตรงที่เขาเป็นฝ่ายบริหารเงิน แต่ตอนหลังเรากู้จากที่อื่นสามารถเลือกสกุลเงินได้เอง"
ศุกรีย์ชี้แจง
ระยะหลังที่ตลาดเงินบ้านเรามีสภาพคล่องมาก บรรษัทออก "IFCT NOTE"
เพื่อระดมเงินจากตลาดภายใน แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องอาศัยเงินกู้จากต่างประเทศเป็นหลัก
"แต่เราก็พยายามจะยืนบนขาของเราเองตั้งแต่ปี 2522 เป็นต้นมา เราก็เริ่มกู้เงินจากต่างประเทศโดยที่รัฐบาลไม่ต้องค้ำประกัน
เพื่อแสดงเครดิตของเราแม้ว่าจะต้องเสียดอกเบี้ยเพิ่มอีกก็ตาม เว้นแต่กรณีที่สถาบันต่างประเทศระบุว่าต้องมีรัฐบาลค้ำประกัน"
ศุกรีย์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
เมื่อเราเห็นตัวเลขที่เสียหายดังกล่าว เราจะกล่าวโทษผู้บริหาร หรือจะให้อภัยต่อข้อจำกัดหลายประการดังกล่าว
ก็แล้วแต่เกณฑ์วินิจฉัยของแต่ละคน แต่อีกด้านหนึ่งที่ควรจะดูควบคู่กันไป
คือผลประโยชน์โดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากบริษัท
อาทิปี 2530 ก่อให้เกิดการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 6,100 ล้านบาท มีมูลค่าเพิ่มกว่า
1,700 ล้านต่อปี มีการใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นมูลค่ากว่า 3,300 ล้านต่อปี
เมื่อโครงการเหล่านี้ทำการผลิตเต็มที่ ทำให้มีการจ้างงานโดยตรง 11,000 คน
และที่สำคัญโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้จากบรรษัทเป็นโครงการในส่วนภูมิภาคถึงร้อยละ
85
นั่นคือภารกิจทางประวัติศาสตร์ของบรรษัท
คำถามก็คือว่า ประเทศไทยเราพร้อมหรือยังที่จะระดมเงินออมภายในประเทศ เพื่อเป็นแหล่งเงินกู้ระยะยาวสำหรับกิจการอุตสาหกรรมกู้ยืมต่อไปในอัตราดอกเบี้ยคงที่ได้
โดยมีข้อสังเกตว่าตลาดทุนมีการพัฒนาขึ้นมาก แต่การออกหุ้นสามารถกระทำได้ในขอบเขตที่จำกัด
ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ให้กู้ยืมระยะสั้นและระยะปานกลาง โดยที่ระยะยาวคิดอัตราดอกเบี้ยผันแปรไปตามราคาตลาด
บรรษัทซึ่งเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการพัฒนาอุตสาหกรรม ยังคงมีบทบาทเช่นนี้ต่อไป
หรือควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างไรให้เหมาะสม หรือจะยกเลิกไปเลยอย่างที่รัฐบาลเคยทำกับธนาคารอุตสาหกรรม
ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรจะพิจารณาให้ถ่องแท้บนพื้นฐานของเหตุผลและข้อเท็จจริง
ซึ่งก็นับเป็นโอกาสอันดีของบรรษัทที่จะได้ทบทวนบทบาทของตัวเอง ซึ่ง "ผู้จัดการ"
ทราบว่าทางบรรษัทเตรียมที่จะจัดสัมมนาใหญ่เพื่อระดมความคิดในการกำหนดจังหวะก้าวต่อไปของบรรษัท
ความจริงคำถามหรือข้อสงสัยต่อข้อมูลที่เปิดเผยทั่วไปในงบการเงินของบรรษัทเป็นสิ่งที่ดี
"ผู้จัดการรายสัปดาห์" เองได้ตั้งข้อสังเกตและแสดงตัวเลขต่างๆ
เหล่านี้มาตั้งแต่ต้นปี 2531 ไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง ก่อนหน้าที่จะมีการพูดถึงเรื่องนี้หลายเดือน
ในคอลัมน์ที่เกี่ยวกับหุ้นของบรรษัท นอกจากผู้อ่านจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว
มันยังมีนัยยะว่าผู้บริหารสามารถถูกตรวจสอบได้
แต่คงเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ถ้าเบื้องหลังการขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาจะกลายเป็นเพียงความเคียดแค้นของผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังคนหนึ่ง
ซึ่งมีญาติผู้ใหญ่ถูกบรรษัทฟ้องยึดทรัพย์เพื่อชดใช้หนี้เงินกู้ ว่ากันว่าถึงกับมีการประกาศว่าจะล้ม
ศุกรีย์ หรือจะล้มบรรษัทซะเลย!!!
มีคนมากมายไปถามศุกรีย์ว่า "คนๆ นั้นใช่มั้ย"
คำถามนี้ออกจะถามผิดคนไปหน่อย ควรจะถามใครทิ้งไว้เป็นปริศนาดีกว่า "ผู้จัดการ"
ยังไม่อยากเพิ่มคดีความขึ้นอีกโดยไม่จำเป็น และไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าจะเป็นเรื่องน้ำเน่าเช่นนี้!