ความยิ่งใหญ่ของโซลเวย์สำหรับยุโรปตะวันตกและหลายๆ ประเทศทั่วโลกแล้ว เป็นข้อเท็จจริงที่ประจักษ์ชัด
แต่สำหรับประเทศไทยโซลเวย์เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังแปลกหน้าอยู่ไม่น้อย
ซึ่งก็คงไม่ใช่ประเด็นสาระสำคัญ เพราะสำคัญกว่านั้นก็คือการเข้ามาตั้งหลักปักฐานในไทยของโซลเวย์นั้นต่างฝ่ายต่างจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง??
โครงการปิโตรเคมีระยะที่หนึ่งที่มาบตาพุดกำลังดำเนินการอย่างรีบเร่ง เพื่อให้ทันตามกำหนดการที่วางไว้
ถึงแม้ความเกี่ยวเนื่องกับโครงการปิโตรเคมีระยะที่สองในแง่ของการผลิตจะมีไม่มากนัก
หากนั่นก็คงจะทำให้หลายคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวอยางใจจดใจจ่อ รวมทั้งผู้ร่วมลงทุนทั้งหลายสบายใจว่า
โครงการปิโตรเคมีระยะที่สองจะไม่กระทบกระเทือนหรือหยุดชะงับไปจากความล่าช้าที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการระยะที่หนึ่ง
ในระหว่างการพิจารณาสรรหาผู้เหมาะสมที่จะมาลงทุน เพื่อให้ประโยชน์แก่ประชาชนในชาติสูงสุด
มิให้เป็นการ "ผูกขาด" ของกลุ่มทุนใดเพียงกลุ่มเดียวของโครงการปิโตรเคมีระยะที่สองที่ผ่านมา
ชื่อของกลุ่มทุนหลายกลุ่มเป็นที่คุ้นหูคุ้นตามิใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติศิริ
โสภณพานิช ลูกชาย "บิ๊กบอส" ชาตรีที่ขอรับการส่งเสริมทำ PE ยักษ์ใหญ่อย่างทีพีไอ
กับอภิพร ภาษวัธน์จากปูนซิเมนต์ไทยที่ขอทำ PP
หรือไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ เช่น PS, PTA, LAB ฯลฯ ก็มีเสือสิงห์กระทิงแรดต่างพากันยื่นขาข้างหนึ่งเข้ามาด้วยหวังจะมีส่วน
"เอี่ยว" แม้เพียงเล็กน้อยกับตลาดมูลค่านับแสนล้านบาทนี้
ผู้สังเกตการณ์รอบข้างรู้สึกเมามันและคาดการณ์ไปต่างๆ นานาว่าใครกันแน่ที่จะได้รับการส่งเสริม
โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์พีวีซี ดูเหมือนจะเฝ้าจับตามองกันมาก
เพราะที่นี่… มีทั้งกลุ่มศรีเฟื่องฟุ้ง เชิดชู โสภณพนิช พิพัฒน์ ตันติพิพัฒน์พงศ์
จากกลุ่มสับปะรดกระป๋องไทยที่ขนเอาเทคโนโลยีจากไต้หวันมาพร้อมจะลงสนามเต็มที่
และมีทั้งพิพัฒน์ สงวนปิยะพันธ์แห่งกลุ่มง่วนเอี้ยวฮวดเทรดดิ้ง จับมือกับเธียร
เฟื่องฟูสกุลแห่งโกลด์สปอตที่ควงแขน MARUBENI ญี่ปุ่นและ HELM ของเยอรมนีมาร่วมลุยด้วย
แต่… ผู้ได้รับการส่งเสริมกลับเป็นกลุ่ม "โซลเวย์" จากเบลเยียม
ที่มีไม่กี่คนในเมืองไทยรู้จัก
โซลเวย์เป็นใคร มีความเป็นมาอย่างไร ความยิ่งใหญ่ของโซลเวย์นั้นอยู่ในระดับใด
เหตุใดจึงสามารถเอาชนะการแข่งขันระดับชาติที่ทราบกันดีอยู่ว่า คนไทยมักใช้ยุทธวิธีระดับท้องถิ่น
ด้วยการล็อบบี้บ้าง ใช้สายสัมพันธ์ต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการตลาดมาครั้งแล้วครั้งเล่า
"ไม้ตาย" ที่โซลเวย์กำอยู่ในมือจะเป็นเช่นดั่งบรรดาพวกที่กล่าวมาทั้งหลายนั้นล่ะหรือ???
ประวัติศาสตร์ความยิ่งใหญ่ของโซลเวย์นั้นเริ่มต้นเมื่อเออร์เนสต์ โซลเวย์
ชาวเบลเยียมผู้ก่อตั้งบริษัทโซลเวย์ ค้นพบวิธีการใหม่และปฏิวัติกระบวนการผลิตโซดา-แอช
และตั้งเป็นบริษัทขึ้นในปี 1863
เออร์เนสต์ โซลเวย์ สร้างโรงงานเล็กๆ ขึ้นที่ COUILLET ในเบลเยียมในปี 1865
เริ่มแรกนั้นเขายังไม่สามารถดำเนินงานได้ทันที เนื่องจากมีปัญหาและความยุ่งยากเกี่ยวกับเทคโนโลยีหลายประการ
แต่เขาก็ฟันฝ่าอุปสรรคนานา ดำเนินการผลิตได้ในปีต่อมา (1866)
วิวัฒนาการของผลิตภัณฑ์ที่โซลเวย์คิดค้นขึ้นเริ่มจากโซดา-แอชในปี 1863 เขาเป็นคนแรกที่ค้นพบ
ELECTROLYSIS ที่ได้มาจากเกลือในยี่สิบกว่าปีต่อมา จากนั้นโซลเวย์ก็เริ่มขยายตัวอย่างก้าวร้าวด้วยการก้าวเข้าไปสู่อุตสาหกรรมพลาสติก
ผลิตพีวีซีและสู่ผลิตภัณฑ์ในการรักษาสุขภาพของมนุษยชาติในปี 1953
ด้วยความเป็นอัจฉริยะของเขากับอัล เฟรด โซลเวย์ผู้น้องและครอบครัวของเพื่อนๆ
บริษัทโซลเวย์ขยายตัวไปอย่างรวดเร็วมาก เพียงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่นาน
โซลเวย์ตั้งสาขาขึ้นใน 13 ประเทศ รวมทั้งในอเมริกาและสหภาพโซเวียต
พัฒนาการที่สำคัญของโซลเวย์ขยายจากโซดา-แอช โซดาไฟ คลอรีน ไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นอีกมากมาย
ในสาขาพลาสติก เช่น พีวีซี พีพี พีอี สาขาผลิตภัณฑ์ยาและวัคซีนสำหรับรักษาคนและสัตว์
และที่หลายคนคาดไม่ถึงคือ โซลเวย์ยังเป็นยอดฝีมือทางด้าน HOME DECORATION,
BUILDING INDUSTRY รวมไปถึงชิ้นส่วนในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ใช้พลาสติกเป็นวัตถุดิบในการผลิต
และเป็นผู้ผลิตชั้นแนวหน้าในตลาดยุโรปทีเดียวเชียว
ปัจจุบันโซลเวย์มีสาขากว่า 290 แห่งใน 32 ประเทศ มีการจ้างงานกว่า 45,000
คน และในจำนวนนี้โซลเวย์ใหความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาและวิจัย ซึ่งพวกเขามีนักวิจัยที่ทำหน้าที่ค้นคว้าเพื่อความก้าวหน้าให้แก่โซลเวย์ถึงกว่า
3,000 คน (สาขาต่างๆ, ยอดขาย, กำไรและการขยายตัวของบริษัทในกลุ่มโซลเวย์แสดงไว้ในตาราง)
โซลเวย์มิได้แตกต่างจากบริษัทธุรกิจข้ามชาติอื่นที่ต้องมีทั้งประวัติศาสตร์แห่งความรุ่งโรจน์โชติช่วง
และตำนานในด้านของความล้มเหลาหรือเรียกว่า "ล้มลุกคลุกคลาน" ด้วยเหมือนกัน
แต่ก็น่าแปลกที่ว่าความล้มเหลวที่ว่า ในอีกด้านหนึ่งแล้วกลับแสดงให้เห็นความแข็งแกร่งของโซลเวย์เด่นชัดที่สุด!?!
ยี่สิบห้าปีหลังที่ผ่านมาของโซลเวย์ (1963-1988) โซลเวย์มิได้แตกต่างจากบริษัทอื่นในยุโรป
พวกเขาต้องเผชิญมรสุมที่รุมเร้าเข้ามาหลายด้าน เช่น วิกฤติการณ์ด้านน้ำมันในปี
1973 และในปี 1979 เกือบช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ชาวยุโรปต้องเผชิญภาวะเงินเฟ้อและการว่างงาน
ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ในตลาดโลก ความเปลี่ยนแปลงของภาวะอากาศที่เลวร้ายของยุโรปที่ยากแก่การคาดเดา
ปัญหามากมายเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามที่ว่า โซลเวย์ผ่านพ้นปัญหาเหล่านี้มาได้อย่างไร
โดยมิได้บาดเจ็บบอบช้ำมากมายเช่นกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ
วิธีการของโซลเวย์ในช่วงเวลาดังกล่าวมีอย่างน้อยสามวิธีด้วยกัน
เริ่มต้นจากปัญหาความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์ วิธีการง่ายๆ ก็คือการ "เคลื่อนย้าย"
มูลค่าการลงทุนจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งลดความรุนแรงของปัญหาไปได้อย่างมาก
"อีกสองวิธีที่เราใช้เสมอก็คือ เปลี่ยนแปลงสินค้าต่างๆ ในประเทศหนึ่งๆ
ให้เหมาะกับความต้องการของตลาด โดยใช้วิทยากรที่ก้าวหน้าเขามาเป็นตัวหนุนเสริม
และประการสุดท้ายทำให้บริษัทเป็นอิสระจากความต้องการวัตถุดิบในการผลิต หรือพูดง่ายๆ
คือไม่ให้บริษัทมีปัญหาเกิดขึ้น หากขาดแคลนวัตถุดิบ หรือเมื่อวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้น"
วิลลี่ ลาลองด์ บอก "ผู้จัดการ"
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สินค้าที่ทำรายได้มหาศาลมานานปีให้กับโซลเวย์คือ
"แก้ว" ในช่วงหนึ่งนั้นโซลเวย์มีปัญหาอย่างมากกับปัญหาพื้นๆ ที่เราท่านต่างทราบดี
นั่นคือ "แก้วแตก" หรือความสูญเสียที่เกิดขึ้นง่ายมากๆ ของแก้วไม่ว่าจะมีคุณภาพหรือปริมาณมากน้อยแค่ไหน
ซึ่งตัวเลขความเสียหายเหล่านี้นับวันก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเสียด้วย
การแก้ไขปัญหาของโซลเวย์ในเรื่องนี้ ก็โดยเปลี่ยนจากการใช้โซดา-แอช ที่ใช้ในการผลิตแก้ว
หันมาใช้พีวีซีแทน ผลก็คือนอกจากจะลดต้นทุนในการผลิต เพราะพีวีซีถูกกว่าแล้ว
ยังลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นตลอดมาได้อีกด้วย และทำให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพในทางอ้อมด้วยอีกทางหนึ่ง
"กลยุทธ์" ทางธุรกิจที่โซลเวย์ใช้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานสามประการ
หนึ่ง - โซลเวย์จะทำกิจกรรมใดๆ ก็ตามด้วยเทคโนโลยีในการผลิตที่ต้องก้าวล้ำนำหน้าเหนือผู้อื่นเสมอ
สอง - ต้องมั่นใจว่ามีแหล่งวัตถุดิบที่สมบูรณ์สำหรับใช้ในการผลิต และสาม
- จะต้องเป็น "ผู้นำ" อันดับหนึ่งในกิจกรรมใดๆ ที่ตนเองเข้าไปทำนั้น
โดยมั่นใจได้จากการศึกษาความเป็นไปได้โดยเฉพาะในทางการเงินของผู้เชี่ยวชาญของโซลเวย์
ซึ่งแนวทางนี้เองเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการเพื่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของโซลเวย์
การที่ BARON DANIEL JANSSEN ประธานกรรมการกลุ่มโซลเวย์เดินทางเข้ามาไทย
และจัดแถลงข่าวรายละเอียดการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีระยะที่สองด้วยเงินประมาณ
8,200 ล้านบาทเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เท่ากับเป็นการตอกย้ำว่า โซลเวย์กำลังเริ่มโครงการของพวกเขาอย่างจริงจังแล้ว
และนั่นอาจเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับที่จะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำหน้ามากกว่าหนึ่งร้อยปีจากบริษัทข้ามชาติแห่งนี้
แม้เพียงส่วนเสี้ยวก็ตาม
สองปีก่อนหน้านี้ (2528-2529) โซลเวย์ส่งผู้เชี่ยวชาญจากบรัสเซลส์เข้ามาจำนวนหนึ่งร่วมมือกับบริษัทที่ปรึกษาชาวไทย
เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนสำหรับโครงการปิโตรเคมีที่พวกเขามีความเชี่ยวชาญ
แน่นอนพวกเขาไม่เพียงพอต้องศึกษา เพื่อให้ทราบถึงแหล่งวัตถุดิบที่จะต้องใช้ในการผลิตในอนาคต
ยังต้องมองไปยังความต้องการของตลาดทั้งในและนอกประเทศไทย รวมไปถึงข้อปลีกย่อยเล็กน้อย
เช่น ขั้นตอนต่างๆ ในการติดต่อกับระบบราชการไทย ทัศนคติ ค่านิยม ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย
สิ่งเหล่านี้ถึงแม้จะไม่มีคนให้ความสนใจกับมันไม่มากนัก แต่สำหรับโซลเวย์
พวกเขา "ทำการบ้าน" ไว้มากมาย และเพียงพออย่างยิ่งจริงๆ
ความรอบคอบสุขุมของโซลเวย์พิจารณาได้จากการคัดเลือก PARTNER หรือผู้ร่วมทุนชาวไทย
ซึ่งพวกเขาใช้เวลานานเป็นพิเศษ
และไม่ได้หมายความว่า พวกเขาลำบากใจหรือมีปัญหาในการตัดสินใจแม้แต่น้อย!!!
"เราไม่มีปัญหาอะไร เพราะการลงทุนของเราส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิต
เรามีเทคโนโลยีชั้นสูง มีวิศวกรและผู้มีความสามารถทั้งในด้านการตลาด การเงินจำนวนมาก
เราเสียเวลาช่วงนี้ค่อนข้างมากไปกับการค้นหาเอกสารข้อมูลต่างๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในอนาคตของเราให้ดีที่สุดมากกว่า"
วิลลี่ ลาลองด์ ตัวแทนของโซลเวย์ในไทยบอกกับ "ผู้จัดการ"
โซลเวย์ในไทยมีหน้าที่ของตนเองที่แน่นอน พวกเขามีหน้าที่ให้ข่าวสารข้อมูลแก่ผู้สนใจกิจกรรมของโซลเวย์ในประเทศต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นโซลเวย์เบลเยียม หรือที่อื่น รวบรวมข้อมูลที่เปลี่ยนแปลง "บ่อยครั้ง"
ของเมืองไทย ส่งไปที่สำนักงานใหญ่ที่บรัสเซลส์เพื่อประกอบการวางแผนและตัดสินใจ
พวกเขาทำหน้าที่เป็น "ทัพหน้า" คอยตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางก่อนที่
"ทัพใหญ่" จากเบลเยียมจะเข้ามาเมืองไทยอย่างเต็มตัว เมื่อโครงการปิโตรเคมีระยะที่สองในส่วนของโรงงานของโซลเวย์เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์
การตัดสินใจเขามาลงทุนด้วยเงินจำนวนที่เรียกได้ว่า "มหาศาล" ในเมืองไทยนั้น
ออกจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้เรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "คนแปลกหน้า"
อย่างโซลเวย์
เพราะมีปัจจัยเพียงไม่กี่ข้อที่ทำให้โซลเวย์ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
"เราต้องการลงทุนในประเทศที่มีเสถียรภาพ ประเทศไทยในห้าปีที่ผ่านมามีเสถียรภาพดีมาก
ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจประเทศไทย มีบุคลากรที่มีความสามารถ รวมทั้งความต้องการพีวีซีของตลาดเมืองไทยที่สูงขึ้นมากในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา
และยี่สิบปีต่อจากนี้ไป" BARON DANIEL JANSSEN เคยให้สัมภาษณ์ไว้
เมื่อมองดูให้ถ่องแท้แล้วจะพบว่า สิ่งที่ผู้บริหารของโซลเวย์กล่าวมา ในระดับหนึ่งนั้นก็เป็นเพียงแค่
"จิตวิทยา" ที่อาจทำให้เจาของประเทศหลงใหลได้ปลื้มกับคำกล่าวสรรเสริญเยินยอเหล่านี้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากเสถียรภาพของประเทศไทยที่จัดว่า "มั่นคง"
ในสายตาของผู้ลงทุนจากหลายชาติหลายภาษาที่เข้ามาลงทุนแล้ว ปัจจัยอื่นๆ นั้นดูจะขึ้นอยู่กับพื้นฐานความเป็น
"อันดับหนึ่ง" ในอุตสาหกรรมนี้ของโซลเวย์เองเกือบทุกประการ
โซลเวย์มีบุคลากรของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งบุคลากรคนไทยมากนัก ขณะเดียวกันสินค้าที่ผลิตก็เป็นที่ต้องการของตลาดโลก
ไม่จำเพาะความต้องการภายใน ประเทศไทย
โซลเวย์เกือบจะไม่ต้องพึ่งพาเจ้าของประเทศเลยในปัจจัยเหล่านี้!?!
ปัญหาที่ผู้บริหารของโซลเวย์ค่อนข้างวิตกกังวล กลับอยู่ที่ความเป็นคนแปลกหน้า
เป็นคนต่างถิ่นที่เข้ามาลงทุนในเมืองไทย โดยไม่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกลุ่มทุนใดๆ
รวมทั้งนักการเมืองและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่จะชี้ความเป็นความตายให้กับโครงการลงทุนระดับหมื่นล้านบาทของพวกเขา
พอจะกลาวได้ว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวในระดับหนึ่งนั้นค่อนข้างหวาดเสียวเอามากๆ
สำหรับกับโซลเวย์เพราะความไม่แน่นอนของ "อารมณ์" "การตัดสินใจ"
รวมทั้ง "ขั้นตอน" ต่างๆ ที่ซับซ้อน (ในความรู้สึกของชาวโซลเวย์)
ของผู้ใหญ่ในบ้านเราเมืองเสียมากกว่า
ผู้บริหารระดับสูงในเมืองไทยของโซลเวย์บอก "ผู้จัดการ" ว่า ในวินาทีนี้
โซลเวย์ค่อนข้างพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า พวกเขาทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการลงทุนในเมืองไทยมามากกว่าสองปี
โซลเวย์ไม่มีปัญหาในทางการตลาด เพราะเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่เขาผลิตขึ้นนั้น
แม้ความต้องการในตลาดเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายเพียงใด หรือลดน้อยอย่างฮวบฮาบแค่ไหน
โซลเวย์ก็ยังมีตลาดในต่างประเทศที่ในปัจจุบันนี้ พวกเขาก็ยังไม่สามารถสนองความต้องการได้เพียงพอ
โซลเวย์ไม่มีปัญหาในด้านบุคลากรที่จะมาดำเนินการทั้งในการบริหาร และการผลิต
เพราะพวกเขาอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มานานจนเป็นลำดับที่ 2 ของบริษัทในสายผลิตภัณฑ์พลาสติกในเบลเยียม
บริษัทด้านเคมีภัณฑ์อันดับ 10 ของยุโรป และอันดับ 25 ของโลก มีบริษัทในเครือกระจายอยู่
32 ประเทศทั่วโลกกว่า 30 แห่ง คงเป็นหลักประกันได้เป็นอย่างดีว่า โซลเวย์มีความพร้อมเพียงใด
แม้ความต้องการคนไทยที่จะเข้าร่วมงานกับโครงการปิโตรเคมีของโซลเวย์ในประเทศไทยจะมีประมาณ
300 คนก็ตาม ในจำนวนนี้จะเป็นวิศวกรชาวไทย ที่โซลเวย์จะส่งไปฝึกฝน ให้ความรู้ในทุกๆ
ด้านที่สำคัญ และจำเป็นในการดำเนินงานตามโครงการนี้จะมีเพียงประมาณ 5-10%
หรือประมาณ 30 คนก็ตาม แต่นั่นก็เป็นก้าวแรกที่โซลเวย์สนับสนุนและให้ความสำคัญต่อการถ่ายทอดความรู้ความสามารถของพวกเขาแก่ประเทศไทย
การรุกเข้ามาทำธุรกิจของโซลเวย์ในประเทศไทยมิได้หยุดยั้งลงเพียงแค่นี้ เพราะนอกจากโครงการผลิตพีวีซีแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้โซลเวย์ได้ตั้งบริษัท S.A.H. (SOLVAY ANIMAL HEALTH) ขึ้นในประเทศไทย
S.A.H. เปรียบเสมือนแขนขาที่สำคัญของโซลเวย์ เพราะความเป็นหนึ่งของโซลเวย์ในด้านเคมีภัณฑ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลิตวัคซีนที่ใช้สำหรับรักษาโรคของสัตว์ต่างๆ เช่น หมู
ไก่ ฯลฯ ที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก
รวมทั้งความเป็นไปได้ในการวางแผนที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมรถผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
ด้วยผลิตภัณฑ์จากพลาสติกที่โซลเวย์ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆ ด้วยการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่คิดค้นเองในยี่สิบห้าปีหลังที่ผ่านมา
เข้ามาในประเทศไทยด้วย
ทำให้ก้าวต่อไปของโซลเวย์ในประเทศไทยดูน่าเกรงขามและน่าจับตามองมากๆ
หนึ่งร้อยยี่สิบห้าปีของโซลเวย์จากเบลเยียมได้พิสูจน์ตัวเองให้หลายคนในหลายประเทศทราบดีแล้วว่า
พวกเขามีความสามารถมากน้อยแค่ไหนเพียงไร
ปีแรกของโซลเวย์ในประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่
ไม่แพ้ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในนานาประเทศที่โซลเวย์เข้าไปบุกเบิกทำธุรกิจเช่นเดียวกันเมื่อก่อนหน้านี้
จับตาดูให้ดีเถอะ ไม่แน่ว่าโซลเวย์นี่แหละจะเป็นผู้นำความเจริญเติบโตทางเทคโนโลยีชั้นสูงให้แก่ประเทศไทย
เพราะบทบาทของโซลเวย์คงไม่มีเพียงเท่านี้แน่นอน หากแต่นับวันจะมากขึ้นๆ และเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยในอนาคต???
และเมื่อระยะเวลาผ่านไปสักช่วงหนึ่งแล้ว การพิสูจน์ความจริงใจต่อกันก็คงเริ่มเห็นชัดขึ้น