Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา พฤศจิกายน 2553
การเมืองในยุโรป             
 


   
search resources

Political and Government




การเมืองยุโรปกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่คอมมิวนิสต์ล่มสลาย

การเลือกตั้งในสวีเดนเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาได้สร้างความตื่นตะลึงไปทั่ว เมื่อผู้สมัครจากพรรคขวาจัดซึ่งมีนโยบายต่อต้านคนต่างด้าวได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภา แต่สวีเดนไม่ใช่ประเทศแรกของยุโรปและคงไม่ใช่ประเทศสุดท้ายที่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนคือการเทคะแนนสนับสนุนสมาชิกพรรคขวาจัดที่นโยบายเพียงอย่างเดียว คือกล่าวโทษคนต่างด้าวว่า เป็นต้นเหตุที่ทำให้สวีเดนต้องสูญเสียเอกลักษณ์ของชาติและคุกคามความเป็นสวีเดน

ขณะนี้เกิดปรากฏการณ์ที่ประชาชนทั่วทั้งยุโรปกำลังหันหลังให้แก่การเมืองแบบเก่า ซึ่งมักเป็นการแข่งขันกันระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายเสรีนิยมและสนับสนุนการค้าเสรีกับพรรคกลางซ้ายที่มีนโยบายค่อนไปทางสังคมนิยมที่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะและสลับกันจัดตั้งรัฐบาลมาโดยตลอด

นี่คือการเกิดขึ้นของการเมืองใหม่ในยุโรป เพียงเมื่อ 10 ปี ก่อน กลุ่มการเมืองชาตินิยมขวาจัดหัวรุนแรง มีที่ยืนอยู่เพียงชายขอบและในการประท้วงตามท้องถนนเท่านั้น แต่ขณะนี้พวกเขาสามารถเดินเชิดหน้าเข้าสู่สภาและทำลายการเมือง 2 ขั้วแบบเก่าของยุโรปให้จบสิ้นลง

ยุคของการขับเคี่ยวกันระหว่างพรรคคริสเตียนประชาธิปไตย ฝ่ายขวากับพรรคสังคมประชาธิปไตยฝ่ายซ้าย โดยมีพรรคเสรีนิยม เล็กๆ คอยสอดแทรก และพรรคการเมืองพรรคเดียวที่สามารถชนะเลือกตั้งได้อย่างเด็ดขาด และจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ได้จบสิ้นลงแล้วในยุโรป แม้กระทั่งอังกฤษยังต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นครั้งแรก เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้ว่าการเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไปนานหลายเดือนแล้ว เพราะผลการ เลือกตั้งที่ไม่มีพรรคใดได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาด

ในอดีต ยุโรปยุคหลังสงครามโลกเคยมีศัตรูเดียวกันและเพื่อนคนเดียวกัน ซึ่งทำให้เกิดความเป็นเอกภาพทางการเมืองในยุโรป แม้ว่าปกติแล้วพรรคคริสเตียนประชาธิปไตยและพรรคสังคม ประชาธิปไตยของยุโรปจะต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองกัน แต่จะสามัคคีกันเพื่อต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในยุคนั้น สหรัฐฯ จับมือกับทั้งฝ่ายกลางซ้ายและฝ่ายกลางขวาในยุโรป ก่อตั้ง องค์การ NATO และสนับสนุนการที่ประเทศยุโรปยอมสละความเป็นชาติเพื่อก่อตั้งสหภาพยุโรป

แต่ขณะนี้ยุโรปไม่ได้มีศัตรูร่วมกันอีกต่อไปแล้ว ความพยายามที่จะกระพือความหวาดกลัวชาวมุสลิม โดยกล่าวหาว่าเป็นภัยคุกคามร่วมกันของยุโรปก็ไม่ประสบผล ส่วนสหรัฐฯ ก็ไม่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ยุโรปได้อีกต่อไป ประธานาธิบดี George W. Bush และ Barack Obama ต้องติดอยู่ในหล่มสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นสงครามที่ประเทศยุโรปส่วนใหญ่คัดค้าน วิกฤติเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกและวิกฤติธนาคาร และสถาบันการเงิน ถูกโทษว่าเป็นเพราะตลาดเสรีที่ไร้การควบคุมของอเมริกัน

เมื่อไม่มีศัตรูร่วมกันและการเป็นพันธมิตรกันระหว่างสหรัฐฯ กับยุโรปก็หมดความหมาย ทำให้การเมืองของยุโรปแปรเปลี่ยนจากการเมืองที่เน้นความสำคัญของสังคม กลายมาเป็นการเมืองที่คิดถึงแต่ตัวเองหรือชุมชนเป็นหลัก เกิดชุมชนการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมากมายทั่วยุโรป ที่ต่างกล่าวโทษว่า เคราะห์กรรมต่างๆ ที่ยุโรปประสบอยู่ ล้วนแต่เป็นความผิดของคนต่างด้าว (หรือมหาอำนาจนิวเคลียร์ หรือ EU หรือมุสลิม หรือยิว หรือเศรษฐกิจ ระบบตลาด หรือสหรัฐฯ) ชุมชนการเมืองเหล่านี้เป็นอันตรายต่อสังคม ในขณะที่การปกครองสังคมจำเป็นต้องใช้การประนีประนอม และจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของปัญหาต่างๆ แต่การเมืองใหม่ในยุโรปที่เน้นแต่การคิดถึงตัวเองเป็นหลัก ไม่สนใจที่จะประนีประนอมและเอาแต่ปฏิเสธและคัดค้าน

สวีเดนเคยเป็นผู้นำโมเดลการเมืองของยุโรปที่สามารถผสม ผสานแนวนโยบายการค้าเสรีกับสังคมนิยมได้ แต่จะไม่เป็นเช่นนั้น อีกต่อไป เมื่อพรรค Sweden Democrats ได้รับเลือกตั้งถึง 20 ที่นั่งใน Riksdag หรือสภาสวีเดน ในการเลือกตั้งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน แม้ในชื่อของพรรคดังกล่าวจะมีคำว่าประชาธิปไตย แต่พรรค Sweden Democrats คือพรรคชาตินิยมขวาจัดที่มีนโยบาย สุดโต่ง คือต่อต้านคนต่างด้าวและมุสลิม และเรียกร้องให้ใช้วิธีเผด็จการในการแก้ปัญหาวิกฤติสังคมที่กำลังรุนแรงในสวีเดน ซึ่งรวมถึงอัตราการว่างงานในสวีเดนอยู่ที่ 9% ส่วนพรรค Social Democrats พรรคการเมืองใหญ่ที่สุดของสวีเดนและมีแนวนโยบาย กลางขวา ได้รับคะแนนเสียงลดลงถึง 30% ต่ำที่สุดในรอบ 100 ปี และยังพ่ายแพ้การเลือกตั้งติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นความพ่าย ที่พรรคไม่เคยพบเจอมาก่อน

การเสื่อมของพรรคสายกลางที่เคยเป็นพรรครัฐบาลของยุโรปมานาน สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะระบบเลือกตั้งของยุโรปเอง ที่อิงปรัชญาการเมืองยุคศตวรรษที่ 19 คือการเลือกตั้งแบบสัดส่วน ซึ่งเปิดโอกาสให้พรรคเล็กๆ มีโอกาสได้ที่นั่งในสภา ในการเลือกตั้ง ที่เกิดขึ้นหลายครั้งในหลายประเทศยุโรปในปีนี้ การเลือกตั้งระบบสัดส่วนมีส่วนช่วยให้พรรคชาตินิยมขวาจัด และพรรคที่มีนโยบายรุนแรงอย่างการต่อต้านคนต่างด้าว พากันเดินพาเหรดเข้าสู่การเมืองระดับชาติได้เป็นครั้งแรก อย่างเช่นพรรคขวาจัด Jobbik ใน ฮังการี ซึ่งมีนโยบายต่อต้านยิว

ทวีปแห่งประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างยุโรปกำลังกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์การเมืองขวาสุดโต่งไปเสียแล้ว และชาว ยุโรปที่ออกเสียงลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองสุดโต่งเข้าสภาก็ไม่อาจถูกมองว่าเป็นเพียงพวกชายขอบ หรือเป็นเพียงปรากฏการณ์ ชั่วครั้งชั่วคราวที่ไร้ความหมายได้อีกต่อไป ดูได้จากคะแนนที่พรรคขวาสุดโต่งได้รับ ในผลการเลือกตั้งล่าสุดทั่วยุโรปในปีนี้ ในฝรั่งเศส พรรคขวาจัด National Front ได้คะแนน 11.9% ในอิตาลี พรรค Northern League ได้ 8.3% พรรค Geert Wilders’s Dutch Freedom ในเนเธอร์แลนด์ได้ 15.5% พรรค Swiss People’s Party ในสวิตเซอร์แลนด์ได้ถึง 28.9% พรรค Jobbik ในฮังการีได้ 16.7% และพรรค Progress พรรคขวาจัดของนอร์เวย์ได้ 22.9% พรรคขวาตกขอบในเบลเยียม ลัตเวีย สโลวะเกีย และสโลวีเนีย ก็กำลังคึกคัก ทั้งๆ ที่เพียงเมื่อ 10 ปีก่อน พรรคเหล่านี้บางพรรค ยังไม่มีตัวตนอยู่เลย

การที่พรรคขวาสุดโต่งได้ที่นั่งในสภาทั่วยุโรป คือการเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่ที่สุดที่กำลังสั่นสะเทือนการเมืองในยุโรป นับตั้งแต่การล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นต้นมา โดยรวมแล้วพรรคเหล่านี้ได้คะแนนเพิ่มขึ้นประมาณ 5-15% นับตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งเป็นช่วงที่พรรคขวาจัดบางพรรคเพิ่งได้รับความสนใจจากประชาชน

แม้แต่นักการเมืองที่เป็นสายกลางของประเทศใหญ่ในยุโรป อย่างประธานาธิบดี Nicolas Sarkozy ของฝรั่งเศส ก็ยังหันมาเล่นกับกระแสการเมืองใหม่ที่ต่อต้านคนต่างด้าว เพื่อดึงคะแนนเสียง จากประชาชน หลังจากความนิยมของเขาเริ่มลดลง Sarkozy ตัดสิน ใจเนรเทศชนกลุ่มน้อยชาว Roma ออกจากฝรั่งเศส ที่ทำให้แม้แต่ผู้สนับสนุนเขายังรู้สึกตกใจกับการตัดสินใจที่โหดร้ายดังกล่าว Viviane Reding กรรมาธิการยุโรปจากลักเซมเบิร์ก ถึงกับเปรียบ เทียบเหตุการณ์นี้ว่า ร้ายแรงไม่ต่างจากการเนรเทศชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเกือบจะตำหนิผู้นำฝรั่งเศสว่าเป็นนาซี ในเยอรมนี นายกรัฐมนตรี Angela Merkel กำลังถูกเล่นงานด้วย ประเด็นคนต่างด้าว แม้แต่ในอังกฤษ รัฐบาลผสมชุดใหม่ซึ่งไม่ได้ มีนโยบายชาตินิยมหรือเหยียดผิว ก็ยังต้องหันมาเล่นกระแสต่อต้าน คนต่างด้าว โดยจำกัดการออกใบอนุญาตให้ชาวต่างชาติทำงานในอังกฤษ เพื่อเอาใจผู้มีสิทธิ์ออกเสียง หลังจากที่เมื่อปีที่แล้วผู้มี สิทธิ์ออกเสียงชาวอังกฤษได้ส่งให้พรรค British National พรรคขวาจัดของอังกฤษให้ชนะ 2 ที่นั่งในรัฐสภายุโรป

การตกต่ำของพรรคสายกลางที่เคยเป็นพรรครัฐบาลของประเทศต่างๆ ในยุโรป จะส่งผลกระทบกับอำนาจของ EU ด้วย การรวมยุโรปจำเป็นต้องอาศัยพรรครัฐบาลที่เข้มแข็ง ซึ่งครองเสียง ส่วนใหญ่อย่างเด็ดขาด เพื่อให้สามารถผ่านกฎหมายสนับสนุนการ สละอำนาจบางส่วนของชาติให้แก่ EU ซึ่งยังคงไม่มีผลงานใด ที่จะสร้างศรัทธาความเคารพนับถือจากชาติสมาชิกได้ เศรษฐกิจยุโรปยังคงอ่อนแอและมีคนตกงานถึง 23 ล้านคน แต่ EU ยังคงไม่มีแผนแก้ปัญหา ยุโรปมีตำแหน่งผู้นำถึง 3 ตำแหน่ง คือประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ประธานคณะมนตรียุโรป และประธานรัฐสภายุโรป แต่ยังคงประสบปัญหาขาดผู้นำ

การขาดผู้นำของ EU ยิ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายขวาจัด ซึ่งถนัด การฉกฉวยประโยชน์จากความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อปัญหาเศรษฐกิจ ในช่วงที่เศรษฐกิจยุโรปเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทศวรรษ 1960 คนงานต่างด้าวได้รับความชื่นชมว่า เพิ่มคุณค่าแก่เศรษฐกิจยุโรป แต่ขณะนี้พวกเขากลับถูกโทษว่ามาขโมยงานไปจากคนยุโรป การเริ่มเปิดพรมแดนเมื่อไม่นานมานี้ของ EU ก็ถูกโทษว่าทำให้คนนอกเข้าไปแย่งงาน ชุมชนในยุโรปอย่างชาว Catalan ในสเปน ชาว Flemish ในเบลเยียม และชาวสกอตในอังกฤษ ต่างเรียกร้องขอแยกตัวออกจากทั้ง 3 ประเทศ ความฝันที่จะเห็นการรวมยุโรปทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะมาแทนที่การเมืองที่คำนึงถึงแต่ประเทศของตนเท่านั้นต้องสะดุดหยุดลง

อย่างไรก็ตาม ใครที่คิดว่า การเกิดขึ้นใหม่ของฝ่ายขวาจัดในยุโรป จะทำให้การเมืองยุโรปก้าวถอยหลังกลับไปถึงยุคก่อนฟาสซิสต์ อาจกลัวมากเกินไป ประชาธิปไตยของยุโรปยังคงเข้มแข็ง และอาจเข้มแข็งเกินไปด้วยซ้ำ จึงปล่อยให้นักการเมืองขวาสุดโต่ง เดินเข้าสู่สภาได้ ส่วนความกลัวว่ายุโรปจะกลายเป็น Eurabia หมายถึงชาวมุสลิมจะครอบครองยุโรป ก็เป็นไปไม่ได้ มุสลิมส่วนใหญ่ในยุโรปซึ่งมีประมาณ 20 ล้านคน พยายามจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นกลางในยุโรป และแม้จำนวนชาวมุสลิมในยุโรปจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังนับว่าเป็นชนกลุ่มน้อยของแต่ละชาติในยุโรป

สิ่งที่ยุโรปต้องการจริงๆ ในขณะนี้คือผู้นำที่มีความเชื่อมั่น และมีความสามารถรวมชุมชนที่แตกแยกออกไปเหล่านั้น ให้กลับมาคิดถึงสิ่งที่มากกว่าการเอาแต่ร้องตะโกนว่า “ไม่” แต่เพียงอย่างเดียว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us