ซัมซุง บุกตลาดจอ LFD เต็มสูบ คาดสิ้นปีโกยยอดขาย 4.2 ล้านเหรียญยูเอส โตจากปีก่อน 133% มองอีก 2 ปี ตลาดยังโตได้อีกเท่าตัว จากปัจจุบัน โต106% แตะ 12 ล้านเหรียญยูเอส ล่าสุดส่ง “อี-บอร์ด” เจาะตลาดการศึกษา
นายบุญเลิศ วิบูลย์เกียรติ ผู้อำนวยการธุรกิจไอที บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า ซัมซุงได้เข้ามาทำตลาด ผลิตภัณฑ์จอภาพแสดงผลขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า จอ LFD (Large Format Display) ตั้งแต่ 6 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันจากการสำรวจตลาดในไทยเชื่อว่า ภาพรวมตลาดจอแอลเอฟดี จะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 12 ล้านเหรียญยูเอส มีอัตราเติบโตที่ 106% คิดเป็นมูลค่าในเชิงปริมาณที่ 10,000 ยูนิตและมีผู้เล่นในตลาดนี้ประมาณ 4 ราย คือ แบรนด์ญี่ปุ่น 2 ราย และเกาหลี 2 ราย ซึ่ง 1 ในนี้ คือ ซัมซุง ขณะที่ทางซัมซุงเชื่อว่ามีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 35%
อย่างไรก็ตามพบว่า ตลาดจอแอลเอฟดีมีแนวโน้มเติบโตขึ้นสูงมาก ส่วนสำคัญมาจากความรู้และความเข้าใจที่ลูกค้าหันมาให้ความสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้มากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่มองค์กร และบริษัทเอกชน ที่มีจำนวนสาขามากๆ เนื่องจากจอภาพกลุ่มนี้ จะให้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อใช้ในลักษณะของความเป็นโซลูชั่น ถึงแม้จะมีราคาค่อนข้างแพงก็ตาม ในเมื่อใช้ไปในระยะยาว ถือว่าคุ้มกว่าการใช้บิลบอร์ด หรือแผ่นโปสเตอร์อย่างในปัจจุบัน อีกทั้งมีความเป็นอินเตอร์แอกทีฟ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี ขณะที่ผู้เล่นในตลาดมีไม่กี่ราย ปัญหาในเรื่องของราคาสินค้าจึงตกลงไม่มากนักเฉลี่ยปีละ 5-10% เท่านั้น โดยมองว่าอีก 2 ปี ตลาดจะโตอีก 1 เท่าตัวหรือมีความต้องการอยู่ที่ 20,000 เครื่องเมื่อเทียบกับในปัจจุบัน
สำหรับซัมซุง ปีนี้ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไปแล้วกว่า 49 รุ่น และวางแผนที่จะเปิดตัวอีก 13 รุ่นในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งจะส่งผลให้ซัมซุงมีผลิตภัณฑ์จอภาพแสดงผลขนาดใหญ่ในตลาดทั้งสิ้น 8 ซีรี่ส์ 62 รุ่น โดยแบ่งออกเป็น จอแอลซีดี 97% และจอพลาสม่า 3% ซึ่งมีขนาดหน้าจอให้เลือกตั้งแต่ 32-37 นิ้ว ,40-47นิ้ว, 50-57 นิ้ว, 60-65 นิ้ว, 70-82 นิ้ว, จนถึงขนาดใหญ่กว่า 82 นิ้ว ล่าสุดเปิดตัว อี-บอร์ด ขนาด 65 นิ้ว เหมาะสำหรับด้านการศึกษา คาดว่าจะจำหน่ายได้กว่า 50 เครื่องภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 4 แสนกว่าบาท
จากปัจจุบันลูกค้าหลักของจอแอลเอฟดีจะเป็นกลุ่มองค์กร และบริษัทใหญ่ๆ แบ่งออกเป็นภาครัฐ 50% และเอกชน 50% เท่าๆกัน แต่ในส่วนของภาครัฐเติบโตได้ดีกว่า
นายบุญเลิศ กล่าวต่อว่า ฐานการผลิต นำเข้าจากประเทศเกาหลีและมาเลเซีย ซึ่งมองว่ายังไม่มีแนวคิดที่จะผลิตในประเทศไทยถึงแม้ว่าโรงงานของเราที่นี่จะสามารถผลิตได้ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามนโยบายการวางฐานการผลิตของแต่ละสินค้าของทางโรงงานซัมซุงมากกว่า ขณะที่ภาพรวมรายได้จากกลุ่มจอแอลเอฟดีสิ้นปีนี้เชื่อว่า จะอยู่ที่4.2 ล้านเหรียญยูเอส คิดเป็นจำนวนกว่า 3,500 เครื่อง เติบโตจากปีก่อนถึง 133% หรือรายได้จากจอแอลเอฟดีคิดเป็น 3% ของรายได้จากกลุ่มไอที ซึ่งภาพรวมรายได้ของกลุ่มไอทีปีนี้คาดว่าจะทำได้ถึง 170 ล้านเหรียญยูเอส เติบโตจากปีก่อน 50% มาจากหลายๆผลิตภัณฑ์ที่มีการขายที่ดีขึ้น เช่น พริ้นท์เตอร์ โนตบุค และจอแอลเอฟดี เป็นต้น
|