เมอร์ลิน เอ็นเตอร์เทนเมนท์ส กรุ๊ป จากประเทศอังกฤษ ยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจบริการสถานที่ท่องเที่ยวอันดับ2 ของโลกรองจากดิสนีย์แลนด์ และเป็นอันดับ1 ในทวีปยุโรป ขยายธุรกิจรุกตลาดเอเชีย ชูประเทศไทยเป็นฮับของภูมิภาค นำร่องด้วยการทุ่มงบ 500 ล้านบาท สร้างพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง มาดามทุสโซ ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ปลุกตลาดท่องเที่ยวให้คึกคัก ชูแผนสร้างเอนเตอร์เทนเมนต์คลัสเตอร์ ด้วยการดึงธุรกิจในเครืออีก 2-3 ธุรกิจเข้ามาเติมเต็มความบันเทิง เหมือนเช่นที่ ลอนดอน และเบอร์ลิน ที่มีหลากหลายธุรกิจบริการสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเดียวกัน
“เราเลือกประเทศไทยเพราะเราเล็งเห็นถึงศักยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว อีกทั้งภาครัฐยังให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ประกอบกับการมีพันธมิตรที่ดีอย่างสยามพิวรรธน์ ทำให้เราเลือกกรุงเทพฯ เป็นฮับของภูมิภาคนี้” พอล วิลเลียมส์ ผู้จัดการทั่วไป พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง มาดามทุสโซ กรุงเทพฯ กล่าว
ทั้งนี้ มาดามทุสโซ จะเปิดให้บริการในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ โดยมีการทำโปรโมชั่น “ซื้อ 1 ฟรี 1” โดยเปิดจำหน่ายตั๋วล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์ สยาม โอเชียน เวิร์ล และไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โดยตั๋วราคาปรกติ สำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 700 บาท เด็ก 500 บาท
มาดามทุสโซ ตั้งเป้าว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ 500,000 คนในปีแรก และจะดึงดูดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้สูงถึง 1 ล้านคนต่อปี เหมือนที่เคยประสบความสำเร็จในเซี่ยงไฮ้ ซึ่ง 4 ปีที่แล้วมีผู้ชมเพียง 200,000 คนต่อปี แต่ปัจจุบันมีผู้ชมมากถึง 1 ล้านคนต่อปี โดยช่วงแรกสัดส่วนผู้ชมจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยเสียส่วนใหญ่คือประมาณ 70% ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีสัดส่วน 30% อย่างไรก็ดี ในระยะยาวเชื่อว่าสัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนเท่ากับชาวไทย คืออยู่ที่ 50:50 ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
ทว่าด้วยราคาตั๋วที่ค่อนข้างแพงสำหรับผู้บริโภคไทย มาดามทุสโซ จึงมีการผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อ Cross Target ด้วยการทำโคโปรโมชั่นในการจูงใจให้ลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการที่มาดามทุสโซ และร้านค้าเครือข่ายพันธมิตรเพิ่มขึ้น เช่นในต่างประเทศมีการร่วมกับโรงภาพยนตร์ เมื่อลูกค้าซื้อตั่วภาพยนตร์ก็จะได้ส่วนลดที่มาดามทุสโซ หรือลูกค้าที่ซื้อตั๋วที่มาดามทุสโซแล้วได้ส่วนลดในโรงภาพยนตร์ หรือการร่วมกับห้างสรรพสินค้าไฮเปอร์มาร์เกต เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าครบจำนวนที่กำหนดก็จะได้คูปองส่วนลดสำหรับมาที่มาดามทุสโซ ซึ่งทำให้ห้างเหล่านั้นสามารถกระตุ้นยอดขายต่อบิลได้เพิ่มขึ้น กลยุทธ์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้ที่ประเทศไทยด้วย ซึ่งช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายออกไป
“ทาร์เก็ตของเราคือผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มหลักที่น่าจะมากที่สุดคือวัย 15-30 ปี โดยเราจะมีการปรับโซนต่างๆ เพิ่มโซนใหม่ๆ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ากลับมาดูซ้ำ ซึ่งเราก็คาดว่าลูกค้าของเราน่าจะมีความถี่ในการกลับมาเยี่ยมชมปีละ 2 ครั้ง เพราะเป็นที่ที่จะต้องมา มาแล้วบอกต่อ มาแล้วชวนเพื่อนๆมาอีก” พอล กล่าว
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง มาดามทุสโซ ก่อตั้งมากว่า 250 ปี โดย มาดามมารี ทุสโซ ชาวฝรั่งเศส โดยหุ่นแต่ละตัวมีมูลค่าสูงถึง 8 ล้านบาท ใช้เวลาปั้นประมาณ 4-6 เดือน ทั้งนี้ จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์และทำให้มาดามทุสโซแตกต่างจากพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งที่อื่นๆ คือการสร้างประสบการณ์แบบอินเตอร์แอกทีฟ โดยมีการจำลองบรรยากาศของหุ่นแต่ละตัว เช่น หุ่นประธานาธิบดีก็จะอยู่ในห้องทำงาน หรือเป็นบรรยากาศในการประชุม ซึ่งผู้ชมสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการประชุม สามารถจับมือกับหุ่น หรือกอดหุ่นแต่ละตัว และยังสามารถเก็บภาพเหตุการณ์ดังกล่าวได้
นอกจากนี้ยังมีการทำลีลาชูตบาสเกตบอลกับเหยาหมิง การฝึกกังฟูกับบรูซลี ตลอดจนเข้าฉากถ่ายละครกับหุ่นปั้นดาราคนโปรด เช่น เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ และแอน ทองประสม โดยมาดามทุสโซ กรุงเทพฯ จะมีการโชว์หุ่นขี้ผึ้งกว่า 70 ตัว แบ่งเป็นคนดังจากทั่วโลก 70% และคนดังในประเทศอีก 30% ซึ่งมีทั้งที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันและที่ล่วงลับไปแล้วในทุกวงการ โดยไฮไลต์สำคัญคือการได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างพระรูปหุ่นขี้ผึ้ง สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมฯ พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อัญเชิญไว้ในห้องพระราชวงศ์
ทั้งนี้ ในแต่ละปีจะมีการวัดเรตติ้งความนิยมเพื่อปรับเปลี่ยนหุ่นแต่ละตัวให้ตรงกับความสนใจของผู้ชม และจะมีการนำหุ่นใหม่เข้ามาแทนที่ปีละ 3-4 ตัว เพื่อสร้างความแปลกใหม่ โดยแต่ละครั้งที่มีการนำหุ่นใหม่เข้ามาก็อาจจะมีการเชิญเจ้าของหุ่นตัวจริงมายืนเทียบเคียง และร่วมในงานเปิดตัวเพื่อสร้างกระแสและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม เล่นเกม ถามตอบปัญหาเกี่ยวกับประวัติและผลงานของหุ่นแต่ละตัว ร้องคาราโอเกะ และยังมีร้านขายของที่ระลึก สินค้าที่มีตรามาดามทุสโซ
ปัจจุบันเมอร์ลินฯ มีสาขาทั่วโลกกว่า 62 แห่ง และโรงแรม 6 แห่ง ใน 12 ประเทศ จาก 3 ทวีป มีผู้มาเยือนกว่า 38.5 ล้านคน มีพนักงานกว่า 15,000 คน สำหรับ มาดามทุสโซ กรุงเทพฯ ถือเป็นสาขาที่ 63 ของเมอร์ลินฯ ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจให้สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการสร้างเมืองสำคัญให้เป็นฮับของการท่องเที่ยว เช่น ที่ลอนดอน และ เบอร์ลิน มีสาขาของเมอร์ลินฯ อยู่ 3-4 สาขา
ในประเทศไทยก็เช่นกัน ทางบริษัทได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนปีละ 15 ล้านคน มีเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง ทำให้บริษัทเลือกที่จะมาตั้งธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ตั้งธุรกิจในเซี่ยงไฮ้ และฮ่องกงมาแล้ว โดยบริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจในเครือที่กรุงเทพฯอีก 2-3 แห่งเหมือนเช่นลอนดอน และเบอร์ลิน ล่าสุดมีแผนที่จะเปิด เลโก้แลนด์ พาร์ค ที่ประเทศมาเลเซีย ในอีก 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้เมอร์ลินฯ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวในเครืออีกมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ซีไลฟ์, ลอนดอน อาย, เลโก้แลนด์ดิสคัฟเวอรี่, ดิ ดันเจียน, การ์ดาแลนด์ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลา 4 ปีในการคืนทุน ยกเว้นสวนสนุกที่ต้องใช้เวลามากกว่าเล็กน้อย
“ที่ลอนดอน เรามี ลอนดอนอาย อควาเรียม มาดามทุสโซ และดันเจียน ซึ่งค่าตั๋วรวมกัน 74 ปอนด์ แต่ถ้าลูกค้าซื้อตั๋วรวมก็จะจ่ายเพียง 45 ปอนด์เท่านั้น ในประเทศไทยก็เช่นกัน เมื่อเรามีสาขาต่างๆ มากขึ้น เราก็จะมีการทำโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ของเรามากขึ้น” พอล กล่าว
ทั้งนี้ เมอร์ลินฯ มีหน่วยงานในการจัดหาสถานที่เพื่อสร้างธุรกิจในเมืองนั้นๆ ซึ่งนอกจากการไปสร้างเองแล้ว ก็ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจด้วยการควบรวมหรือซื้อกิจการที่มีศักยภาพเพื่อมาต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยวของเมอร์ลิน ซึ่งทีมสำรวจตลาดดังกล่าวได้เลือกให้ประเทศไทยเป็นฮับในเอเชีย มากกว่าจะเป็นจีน เนื่องจากเหตุผลหลายอย่างประกอบกัน ขณะที่เซี่ยงไฮ้แม้จะมีเศรษฐกิจที่ดีแต่ก็ไม่ใช่ตัวแทนของประเทศจีนทั้งประเทศ
ค้าปลีกกลางกรุงดึงแม็กเน็ตดังเข้าห้าง
ดูดกำลังซื้อนักท่องเที่ยวไทย-เทศ
สยามพิวรรธน์ ผู้บริหารศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ สยามเซ็นเตอร์ และสยามพารากอน ชูแม็กเน็ตใหม่ๆ ในการดึงดูดลูกค้าเข้าศูนย์ฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จกับการนำสยาม โอเชี่ยน เวิร์ล มาไว้ในสยามพารากอนบนพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร ภายใต้งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ล่าสุดก็สามารถเชิญมาดามทุสโซมาลงทุนที่ประเทศไทยได้ ทำให้ศูนย์การค้าสยามฯ ทั้ง 3 ศูนย์มีสีสันในการดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น
ก่อนหน้านี้สยามพิวรรธน์มีการทุ่มงบ 300 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ภายใต้แนวคิด The Ultimate Lifestyle & Entertainment Shopping Complex บนชั้น 6-8 ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 8,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ 3,000 ตารางเมตร ที่เหลือจะพัฒนาเป็นภัตตาคารอาหารนานาชาติลอยฟ้ากว่า 20 ภัตตาคาร และไอซ์ แพลนเนท ลานสเกตน้ำแข็งที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 180 ล้านบาท โดยทั้งหมดนี้จะเปิดให้บริการได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
ในขณะที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ที่เพิ่งกลับมาให้บริการใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา หลังเผชิญกับเหตุการณ์ก่อการร้ายที่มีการวางเพลิงสถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ ในหลายๆ แห่ง โดยก่อนหน้านี้เซ็นทรัลเวิลด์มีแผนร่วมกับบริษัท จอย โมเม้น จำกัด และบริษัท ซี เจ มีเดีย โซลูชั่น สร้างลานไอซ์สเกต ทว่าปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้าของโครงการดังกล่าว
ล่าสุดกลุ่มเซ็นเตอร์พอยต์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ซึ่งเช่าพื้นที่อยู่ที่ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ เตรียมปรับปรุงพื้นที่บางส่วนให้เป็นโรงละคร “เซ็นเตอร์พอยต์ เพลย์เฮาส์” ซึ่งนอกจากจะใช้จัดละครเวทีแล้วยังปรับเป็นพื้นที่จัดกิจกรรม และให้บริการด้านเอนเตอร์เทนมนต์ ซึ่งจะช่วยดึงดูดทราฟฟิกให้เข้ามาใช้บริการในพื้นที่ได้มากขึ้น
|