อีซูซุเดินหน้าถล่มคู่แข่งด้วยการเพิ่มรายละเอียดในตัวผลิตภัณฑ์ปิกอัพดีแมคซ์สร้างความแตกต่าง พร้อมกับสื่อสารกับลูกค้าด้วย Message ใหม่ “เดินหน้ารวย” ต่อยอดข้อความเดิมคือ “นำทางรวย” ในขณะที่ยอดขาย 8 เดือนแรกยังตามโตโยต้าเกือบหมื่นคัน และในตลาดปิกอัพยังพุ่งเป้าการแข่งขันในเรื่องความประหยัด

การปรับโฉมปิกอัพดีแมคซ์ในแบบไมเนอร์เชนจ์ของตรีเพชรอีซูซุเซลส์ครั้งนี้ น่าจะเป็นเกมรุกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี หลังจากที่ยอดขายรวมในปิกอัพขนาด 1 ตันทะยานขึ้นไปถึง 229,518 คัน โดยผู้นำยังคงเป็นปิกอัพไฮลักซ์วีโก้ของ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ด้วยตัวเลข 96,094 คัน กินส่วนแบ่งตลาด 52.80% โดยปิกอัพ อีซูซุ ดีแมคซ์ มียอดขายเป็นอันดับ 2 คือ 87,014 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 40.09% และต้องยอมรับว่า ตลาดปิกอัพเมืองไทย เป็นสนามแข่งขันอันดุเดือดระหว่าง 2 ค่ายที่ว่านี้

ด้วยตัวเลขที่ยังตามคู่แข่งอยู่เกือบหมื่นคัน กับระยะเวลาที่เหลืออีก 3 เดือน อาจน้อยเกินไปหากจะพลิกสถานการณ์ขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดในปี 2553 เพราะฉะนั้นการปรับโฉมอีซูซุ ดีแมคซ์ ในแบบไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้จึงน่าจะมีเป้าหมายเพื่อลดส่วนต่างตัวเลขยอดขาย และส่วนแบ่งตลาดกับคู่แข่งให้ได้มากที่สุด

เป็นการปรับโฉมเพื่อรับกับช่วงที่เรียกว่าฤดูขายตลาดปิกอัพ โดยครั้งนี้อีซูซุใช้ชื่อรุ่นว่า ดีแมคซ์ ซูเปอร์ ไททาเนียม พร้อมกับการปรับโฉมอีซูซุ มิว 7 ไปพร้อมๆ กันในชื่อ มิว 7 ซูเปอร์ ไททาเนียม มีการเปลี่ยนการ์ดกันชนหน้าใหม่ ขอบไฟตัดหมอก บันไดข้าง ด้วยสีไททาเนียมเพื่อสะท้อนถึงชื่อรุ่น แต่สิ่งที่อีซูซุใช้เป็นจุดขายหลักในการไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้คือ การติดตั้งกล้องมองภาพไว้ที่ด้านหน้าตัวรถ หลังจากก่อนหน้านี้ในรุ่นแพลททินั่ม มีการติดตั้งกล้องมองหลังไปแล้ว ซึ่งเป็นปิกอัพรายแรกที่มีกล้องติดรถทั้งด้านหน้าและหลัง ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิกอัพส่วนใหญ่กำลังเล่นในเรื่องอุปกรณ์ GPS หรือเนวิเกเตอร์นำทางด้วยดาวเทียม

นอกจากนี้อีซูซุยังระบุว่า ไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้มีการพัฒนาระบบเนวิเกเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า ไอจินนี่ เดิมให้มีความสามารถสูงขึ้นทั้งในเรื่องความละเอียด ลูกเล่นต่างๆ รวมถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์สื่อสารอย่างโทรศัพท์เคลื่อนที่ และใช้การสื่อสารผ่านคาแรกเตอร์การ์ตูน ไอจินนี่ ที่สร้างขึ้นมา แต่ในเวอร์ชั่นนี้มีการเพิ่มภาพลักษณ์ที่ดูไฮเทคขึ้น

ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “อีซูซุ ดีแมคซ์ ซูเปอร์ ไททาเนียม และอีซูซุ มิว-เซเว่น ซูเปอร์ ไททาเนียม เป็นต้นแบบของ ยนตรกรรมซูเปอร์อัจฉริยะล่าสุดจากอีซูซุ ด้วยความยอดเยี่ยมในทุกด้าน อาทิ TITANIUM VISION ระบบกล้องมองภาพด้านหน้ารถที่ช่วยลดจุดบอดแม้ในมุมอับในเวลาที่ออกจากซอยแคบหรือทางแยก ด้วยมุมมองให้เลือกถึง 4 แบบ และกว้างพิเศษถึง 190 องศา นับเป็นครั้งแรกในวงการรถปิกอัพเมืองไทย รวมถึงกล้องมองภาพด้านหลังรถ เพิ่มความมั่นใจขณะถอยจอด ซึ่งเดิมเป็นระบบความปลอดภัยที่มีใช้ในรถยนต์ระดับหรูเท่านั้น

TITANIUM ENTERTAINMENT ระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบรุ่นใหม่ล่าสุดจาก KENWOOD เชื่อมต่อเทคโนโลยีทันสมัยได้หลากหลาย พร้อมการกลับมาของ “ไอ-จินนี่ เวอร์ชั่นใหม่” ระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะเวอร์ชั่นล่าสุด ฉลาดยิ่งขึ้น โดยมีเสียงนำทางให้เลือกมากกว่า 10 ภาษา รวมถึงยังมีการปรับโฉมภายนอกและภายในด้วยชุดแต่งไททาเนียมสไตล์ “ไฮเทคลุค” ตลอดคัน

นอกจากนี้อีซูซุยังเลือกใช้กลยุทธ์การสื่อสารกับลูกค้าด้วยข้อความใหม่ “เดินหน้ารวย” ผ่านพรีเซนเตอร์ “ก๊อต-จักรพรรณ์ ครบุรีธีรโชติ” ถือเป็นการต่อยอดข้อความการตลาดเดิมในรุ่นแพลททินั่ม “นำทางรวย” ซึ่งเป็นข้อความการตลาดที่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งการเลือกเช่นข้อความเหล่านี้พร้อมกับการแต่งเติมผลิตภัณฑ์ให้แตกต่าง และเพิ่มความคุ้มค่าในด้านผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด ทำให้ อีซูซุ มีจุดขายที่พูดกับลูกค้าได้มากกว่าเรื่องของความประหยัด ที่อีซูซุตอกย้ำจนติดตลาดมานานแล้ว ในขณะที่คู่แข่งรายใหญ่อย่างโตโยต้า ยังพยายามตอกย้ำในเรื่องความประหยัดเป็นหลัก

สำหรับการปรับโฉมแบบไมเนอร์เชนจ์ จะครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ปิกอัพในรุ่นเอ็กซ์ซีรีส์ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ และเป็นปิกอัพที่ปรับภาพลักษณ์เพื่อเข้าถึงตลาดกลุ่มวัยรุ่น และในเอ็กซ์ซีรีส์ใหม่ก็จะใช้ชื่อ ซูเปอร์ ไททาเนียม ด้วยเช่นกัน อีกทั้งตลาดกลุ่มนี้ของอีซูซุกำลังมีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น และประสบความสำเร็จอย่างมาก เป็นการเดินกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่เจาะตลาดวัยรุ่น ในขณะที่ตลาดปิกอัพส่วนหนึ่งกำลังถูกรถยนต์นั่งเฉือนตลาดไปด้วย

ในขณะเดียวกัน อีซุซุ ดีแมคซ์ ไททาเนียม มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ขณะที่บางรุ่นโดยเฉพาะรุ่นเริ่มต้นไม่มีการปรับราคาแต่อย่างใด และลูกค้าเดิมที่จองรถไว้ก่อนหน้านี้ในรุ่นแพลททินั่ม จะได้รับการปรับขึ้นไปอยู่ในรุ่นไททาเนียมด้วยเงื่อนไขพิเศษอีกด้วย

การปรับโฉมของดีแมคซ์ในรุ่นซูเปอร์ ไททาเนียม ในครั้งนี้ จะสามารถดันตัวเลขไล่ตามคู่แข่งได้มากน้อยเพียงใด คงต้องวัดกันที่ตัวเลขปลายปีอีกครั้ง