การตายของเสกสรร สัตยา นักธุรกิจด้านบันเทิง ที่ถูกตั้งฉายาว่า เฮฟเนอร์เมืองไทยนั้น
นอกจากเป็นการตายที่ค่อนข้างหฤโหดแล้ว ยังแสดงให้เห็นสัจธรรมในการทำการค้าขายในเมืองไทยด้วยว่า
ลูกปืนยังมีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจในสังคม ที่ค่อนข้างจะด้อยพัฒนามากๆ
ในจิตใจของนักธุรกิจส่วนใหญ่ของเมืองไทย
การกำจัดคู่แข่งขันในเชิงธุรกิจสำหรับต่างประเทศแล้วคือการต่อสู้กันในเชิงธุรกิจ
จนกระทั่งคู่ต่อสู้อีกฝ่ายหนึ่งสู้ไม่ไหวก็จะต้องพับฐานไป
ซึ่งเป็นลักษณะธรรมดาของธุรกิจในระบบเสรีทุนนิยม
แต่ในระบบลูกปืนนิยมในเมืองไทยนั้น การฆ่ากันก็จะเป็นทางออกที่มักจะใช้กันอยู่เสมอ
อาจจะเป็นเพราะลักษณะธุรกิจที่ต้องฆ่ากันนั้น มักจะเป็นลักษณะธุรกิจที่ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจอิทธิพล
ที่มักจะเป็นของเจ้าของคนเดียวที่ไม่ได้มีลักษณะเป็นองค์กร
และการฆ่ากันจะไม่ค่อยมีในวิชาชีพที่มีเกียรติ!
แต่ก็เริ่มมีแนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ระดับธุรกิจที่เป็นสากล
ก็เริ่มมีมาตรการการกำจัดกันในวงการแล้ว เช่นกรณีการลอบยิง ชัชวาลย์ พริ้งพวงแก้ว
สถาปนิกเจ้าของดีไซน์ 103 ซึ่งเพิ่งจะเข้าไปรับงานโครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
ของกลุ่มธนาคารศรีนคร
เดชะบุญที่ชัชวาลย์เพียงแต่บาดเจ็บสาหัสและก็รอดชีวิตในที่สุด
ถ้าเราแบ่งลักษณะธุรกิจในเมืองไทย ก็จะมีอยู่ไม่กี่ลักษณะ :-
ลักษณะแรกคือธุรกิจขนาดใหญ่ ที่พัฒนาตัวเองเข้ามาจนเป็นรูปแบบขององค์กรที่ทำงานกันเป็นระบบต่อเนื่องกัน
โดยไม่จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญว่า ผู้จัดการใหญ่จะอยู่หรือจะไป องค์กรประเภทนี้ก็จะดำเนินไปได้ตามวิถีทางของมันที่วางเป็นระบบเอาไว้แล้ว
องค์กรประเภทนี้จะไม่มีการถูกลูกปืนนิยมเข้ามา ถ้าจะเกิดขึ้นก็จะเป็นเรื่องของระดับล่างท้องถิ่นเท่านั้น
การแข่งขันขององค์กรประเภทนี้ก็จะเป็นการแข่งขันแบบในเชิงการค้า ส่วนการกำจัดกันก็เป็นทั้งในเชิงไหวพริบทางการค้า
และการใช้อำนาจอิทธิพลทางการเมือง เพื่อพลิกกฎหมายหรือสร้างระเบียบข้อบังคับให้ตัวเองได้เปรียบคู่ต่อสู้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การแข่งขันในสถาบันการเงินระหว่างกลุ่มธนาคาร
กับกลุ่มที่ไม่มีธนาคารหนุนหลัง ซึ่งในสภาวะของความไม่แน่อน ยิ่งถ้ากระทรวงการคลัง
และธนาคาชาติออกกฎระเบียบมาบีบมากขึ้นเท่าไร ประโยชน์ก็จะไปตกอยู่กับกลุ่มธนาคารมากเท่านั้น
หรือในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น สมมุติว่าการที่กลุ่มกระจกอาซาฮี เป็นกลุ่มเดียวที่ผลิตกระจกได้
และหาทางป้องกันไม่ให้กลุ่มอื่นเกิดขึ้น โดยใช้การวิ่งเต้นทางการเมือง ก็จะเป็นการกำอำนาจการผลิตในมือแต่ผู้เดียว
หรือในกลุ่มการค้า สมมุติว่ากลุ่มสหพัฒน์วิ่งเต้นให้สภาฯ ออกกฎหมายห้ามต่างชาติมีหุ้นส่วนในการผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภคในประเทศได้ก็เท่ากับว่าเป็นการกำจัดกลุ่มลีเวอร์
หรือกลุ่มคอลเกตโดยปริยาย (หมายเหตุ สมมุติฐานทั้งสองย่อหน้านั้นเป็นการสมมุติเท่านั้น)
ฉะนั้นการต่อสู้ระหว่างองค์กรต่อองค์กรเป็นการต่อสู้ของชั้นเชิงและไหวพริบที่ต้องใช้อำนาจทางการตลาด
การเงินและการเมือง ลักษณะของการต่อสู้จึงค่อนข้างจะ Sophisticated มาก
ที่บางครั้งถึงกับต้องใช้ตัวแทนรัฐบาลต่างชาติเข้าแทรกแซง เช่น ในกรณีที่สถานทูตอเมริกาโดยเอกอัครราชทูตกันเธอร์ดีน
ติดต่อกับ พล.ต.ท.เภา สารสิน ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ให้เป็นตัวกลางในการเจรจากับนายพชร
อิศรเสนา ณ อยุธยา อธิบดีกรมการค้าภายใน ในกรณีที่กรมการค้าภายในกำลังดำเนินคดีกับบริษัทคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ
ที่โกงมาตรฐานบรรจุภัณฑ์ โดยกรมการค้าภายในได้แจ้งความไปยังกองปราบ ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดของกองบัญชาการสอบสวนกลาง
ซึ่ง พล.ต.ท.เภา สารสิน เป็นผู้บังคับบัญชา
การฆ่ากันโดยเอาชีวิตในระดับองค์กรจึงทำกันไม่ได้ เพราะความสลับซับซ้อนขององค์กรและการตัดสินใจที่ต้องใช้คณะกรรมการเข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่การฆ่ากันในเชิงธุรกิจการค้าก็เป็นของธรรมดา ซึ่งจะออกมาในคำพูดทางธุรกิจที่เรียกว่า
“การแข่งขันกัน”
ลักษณะที่สองคือธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดใหญ่แต่เป็นธุรกิจที่อยู่ในมือของคนคนเดียว
หรือมีลักษณะเป็นหุ้นส่วน ธุรกิจประเภทนี้เป็นธุรกิจที่เริ่มจากผู้ประกอบการและเจริญเติบโตขึ้นมาจากชั้นเชิงการค้าขาย
ซึ่งมีตั้งแต่การทำงานหนักในระยะเริ่มต้นหรือแม้แต่การคดโกงหุ้นส่วนมา ฯลฯ
ธุรกิจประเภทนี้เป็นธุรกิจที่เคลื่อนที่เร็วและตัดสินใจเร็ว และถ้ามีช่องทางที่จะใช้อิทธิพลเข้ามาช่วยก็จะใช้ทันที
ผู้บริหารธุรกิจประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของเอง และการเกิดตลอดจนการเจริญเติบโตของธุรกิจประเภทนี้
มักจะต้องพึ่งพาอำนาจอิทธิพลตลอดจนกฎหมายในมือข้าราชการโดยทำให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง
ธุรกิจประเภทนี้จะเห็นได้หลายรูปแบบและจะมีมากในเขตภูธร ที่ความยุติธรรมเข้าไปไม่ถึง
เช่น ธุรกิจการค้าไม้ การขนส่ง การประกอบอุตสาหกรรมขนาดเล็กและกลาง ซึ่งต้องพึ่งทรัพยากรหรือแรงงานในท้องถิ่นนั้น
เช่น ธุรกิจเหมืองแร่ ฯลฯ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การฆ่ากันที่เขาศูนย์นครศรีธรรมราช
หรือกรณีแร่วุลแฟรมที่มีการฆ่าเสี่ยจิวที่จังหวัดชลบุรี หรือเมื่อเร็วๆ นี้คือการฆ่าเจ้าของภัตตาคารโบ๊ตที่พัทยาซึ่งเป็นเจ้าของกิจการเรือนำนักท่องเที่ยวไปเกาะล้านด้วย
ธุรกิจบันเทิงก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีการฆ่ากันอย่างหนัก เพราะธุรกิจบันเทิงคือต้นตอของการเกิดธุรกิจผิดกฎหมายหลายประเภทซึ่งเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง
ธุรกิจบันเทิงที่พูดถึงในที่นี้จะหมายถึงธุรกิจไนต์คลับ คาเฟ่ อาบอบนวด
ซึ่งธุรกิจประเภทนี้เป็นธุรกิจที่ต้องพึ่งพาอิทธิพลทั้งสิ้นเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ต้องขออนุญาตจากตำรวจ
ฉะนั้นการทำอะไรที่เกินขอบเขตที่กฎหมายให้ไว้ย่อมหมายถึงการต้องมีกำลังทรัพย์
ที่จะเซ่นสังเวยผู้เกี่ยวข้องในวงการราชการได้อย่างเต็มที่
ธุรกิจบันเทิงเป็นธุรกิจที่มีกำไรสูง และสามารถต่อเนื่องไปสู่ธุรกิจที่ผิดกฎหมายได้สบาย
เช่น การเปิดบ่อนการพนันในไนต์คลับหรือคาเฟ่ การเป็นแหล่งกลางในการจำหน่ายยาเสพติด
และการเป็นศูนย์ของโสเภณีระดับสูง ซึ่งทั้งหมดที่พูดมานี้เป็นธุรกิจที่ไม่ใช่
capital intensive แต่เป็นธุรกิจที่อยู่ในธุรกิจบริการซึ่งใช้แต่คนและพึ่งพาอำนาจกับอิทธิพล
ธุรกิจประเภทนี้แหละที่การกำจัดคู่แข่งขันคือการฆ่าทิ้ง เพราะระบบธุรกิจประเภทนี้คือเจ้าของเพียงคนเดียวซึ่งถ้าถูกกำจัดไปแล้วโครงสร้างก็จะพังลงไปเอง
เราจะเห็นและได้ยินข่าวการตายของนักธุรกิจประเภทนี้เสมอว่า จะเป็นเจ้าของกิจการอาบอบนวด
หรือเจ้าของภัตตาคาร ไนต์คลับ หรือเจ้าของศูนย์การค้าที่เจ้าตัวมีส่วนในกิจการบันเทิงอยู่ด้วย
และหลังจากที่เจ้าของเสียชีวิตไปไม่ถึงปีกิจการนั้นก็จะเลิกไป หรือไม่ก็จะเปลี่ยนมือเจ้าของเสียใหม่
นายตำรวจท่านหนึ่งที่ตามเรื่องมือปืนรับจ้างเล่าให้ “ผู้จัดการ” ฟังว่า
ธุรกิจบันเทิงคือด่านแรกของการเข้าไปสู่การตั้งบ่อน การค้ายาเสพติด และโสเภณี
“ถึงคุณจะไม่ค้ามันแต่ลักษณะธุรกิจของคุณก็จะเปิดโอกาสให้มีการพบปะ และเป็นที่ติดต่อและเรียกได้ว่าแทบจะร้อยละเก้าสิบของธุรกิจบันเทิงคือ
แหล่งของการหาความสุขกับผู้หญิง องค์ประกอบมันครบหมด มันมีเหล้า มีเพลง มีผู้หญิง
มันก็มีโอกาสเพาะอาชญากรรมด้านอื่นได้” นายตำรวจคนเดิมพูดต่อ
เมื่อธุรกิจนั้นเป็นศูนย์รวมของการพบปะของบรรดาสิบแปดมงกุฎทั้งหลาย การค้าขายก็ย่อมเกิดขึ้น
และแน่นอนที่สุด ที่ตามมาก็คือความขัดแย้งหรือการหักล้างกัน!
อย่างกรณี เสกสรร สัตยา นั้นก็ใช้คาร์เทียร์คลับเป็นแหล่งให้ความบันเทิงแก่ผู้มาเที่ยว
และยังมีแถมพกโดยเปิดบ่อนการพนันระดับวีไอพีที่เล่นกันเป็นล้านๆ และเสกสรรเองจากการมีสายสัมพันธ์กับบรรดานักการพนันและจากการที่ตัวเองชอบการพนันอยู่เป็นทุนเดิม
ความขัดแย้งก็ตามมาเมื่อมีการหักหลังขึ้นและการตามฆ่ากันก็เกิดขึ้น
ลักษณะที่สามคือธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ธุรกิจประเภทนี้ก็คงจะไม่ต้องอธิบายกันมากนักเพราะการแข่งขันในธุรกิจประเภทนี้คือการฆ่ากันลูกเดียว
การฆ่ากันนอกจากจะฆ่าเพื่อลดคู่แข่งขันลงแล้ว ก็ยังเป็นการฆ่ากันเพราะหักหลังกันด้วย
นอกจากที่กล่าวมาแล้วนั้นการฆ่ากันในวงการธุรกิจยังรวมไปถึง เช่น :-
ฆ่าเพราะล้างหนี้ ส่วนใหญ่ในกรณีเช่นนี้จะเป็นลูกหนี้ที่ฆ่าเจ้าหนี้เพื่อลบล้างหนี้
ฆ่าเพราะไม่ใช้หนี้ ก็เป็นเจ้าหนี้ที่ฆ่าลูกหนี้ที่เบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงินซึ่งอาจจะเป็นเงินกู้ยืมหรือหนี้การค้า
ในกรณีนี้แทบจะทุกกรณีเจ้าหนี้ฆ่าเพราะต้องการสั่งสอนให้เป็นบทเรียนกับคนอื่น
ส่วนใหญ่จะเป็นหนี้การพนันที่ผู้เล่นยืมบ่อนแล้วไม่ใช้ มีบ้างที่เจ้าหนี้การค้าถูกโกงไปดื้อๆ
ก็เลยตัดสินใจลบความแค้นเสียด้วยการฆ่าทิ้ง
ฆ่าเพราะถูกบีบให้จนตรอก นี่ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่นายทุนหรือนายธนาคารพึงสังวรในกรณีที่ไปบีบลูกหนี้ซึ่งกำลังประสบภาวะผันผวนทางการค้าอย่างรุนแรง
นอกจากไม่ให้ความช่วยเหลือเขาแล้ว ยังไม่มีข่าวว่าลูกหนี้คนไหนยิงผู้จัดการธนาคารทิ้ง
แต่ที่มีแน่ๆ คือ การอาฆาตแค้นซึ่งออกมาในรูปคำพูดและแววตา
“ผู้จัดการ” เกรงว่าคงจะมีสักวันจากคำพูดอาจจะออกมาเป็นการกระทำก็ได้
และถ้ามีวันนั้นเกิดขึ้นก็อย่าลืมว่า “เราเตือนคุณแล้วนะ”