เปิดตัวธุรกิจใหม่ล่าสุดในเมืองไทย “เดอะ ลักซ์เชอรี่ เน็ตเวิร์ค” กลุ่มการตลาดระดับเอ็กซ์คลูซีฟ จากอังกฤษ ที่รับจ้างบริหารเครือข่ายเชื่อมโยงแบรนด์หรู ทั้ง B2B และ B2C ภายใต้รูปแบบการเป็นสมาชิก
“เดอะ ลักซ์เชอรี่” ไม่ใช่บริษัทที่ปรึกษา ไม่ใช่เอเยนซี แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดแบบพันธมิตร (Affinity Marketing) ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในกลุ่มตลาดระดับลักชูรี ถูกก่อตั้งขึ้นในกรุงลอนดอน เมื่อต้นปี พ.ศ.2550 ซึ่งได้รับการขนานนามจากสื่อมวลชนอังกฤษว่า เป็นกลุ่มการตลาดสำหรับแบรนด์ชั้นนำแห่งอนาคต
กลุ่มการตลาดแห่งนี้ มีเครือข่ายในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ตลอดจนในลอนดอน มิลาน สวีเดน ไนจีเรีย แอฟริกาใต้ เอเชีย และมอสโก สมาชิกในกลุ่มประกอบไปด้วยท็อปแบรนด์ระดับลักชูรีที่มีชื่อเสียงก้องโลก
อาทิ The Royal Bank of Scotland, Vogue, Tatler, Ducati, Great Hotels of the World, London Golf Club และอื่นๆ อีกมากมาย โดยมีสมาชิกทั่วโลกทั้งหมด 130 แบรนด์ เฉพาะเครือข่ายในประเทศอังกฤษแห่งเดียวนั้น เดอะ ลักซ์เชอรี่ ก็มีจำนวนสมาชิกสูงถึง 20 แบรนด์แล้ว
“การให้บริการของเราจะครอบคลุมทั้งในเรื่องของการจัดการประสานความร่วมมือ พัฒนาธุรกิจระหว่างบริษัทสมาชิกทั้งทางด้านกลยุทธ์ ด้านความร่วมมือ ด้านการทำ Product Placement ด้านสื่อ กิจกรรมสร้างความรู้จักทั้งระหว่าง องค์กรกับองค์กร (B2B) และองค์กรกับผู้บริโภค (B2C)
โดยสมาชิกที่จะเข้าร่วมนั้นจะเป็นไปในรูปแบบเรียนเชิญเข้าร่วมเท่านั้น ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีท็อปแบรนด์แค่แบรนด์เดียวเท่านั้น ยกตัวอย่าง ในเมืองไทยในกลุ่มสปอร์ตคาร์ หากปอร์เช่เป็นสมาชิกแล้ว เฟอร์รารี่ หรือลัมบอร์กินี จะเข้ามาไม่ได้” ไซม่อน แว็กสตาฟฟ์ เจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอ ของ เดอะ ลักซ์เชอรี่ เน็ตเวิร์ค อธิบายกับ “ผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์”
ครั้งแรกในเอเชีย
ครั้งแรกในประเทศไทย
ด้วยความสำเร็จสูงสุดในทวีปยุโรปและแถบกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ได้ทำให้ เดอะ ลักซ์เชอรี่ เน็ตเวิร์ค ขยายตัวสู่ตลาดเอเชียเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นหน่วยงานในการเชื่อมโยงแบรนด์ระดับไฮเอนด์และองค์กรชั้นนำของโลก ผ่านบริการที่หน่วยงานมีให้ โดย เดอะ ลักซ์เชอรี่ เน็ตเวิร์ค เอเชีย ถือกรรมสิทธิ์โดยบริษัท เอเอสเอ กรุ๊ป โฮลดิ้ง (ASA Group Holding) บริษัทให้บริการด้านอากาศยานส่วนตัว การท่องเที่ยวแบบพิเศษ และบริษัทด้านความปลอดภัยที่มีสำนักงานอยู่ทั่วภูมิภาคเป็นผู้ดูแล
ทั้งนี้ เดอะ ลักซ์เชอรี่ เน็ตเวิร์ค เอเชีย เป็นเครือข่ายความร่วมมือของแบรนด์ชั้นนำกว่า 50 แบรนด์ ด้วยการทำงานกันในระดับผู้อำนวยการอาวุโสในความร่วมมือด้านธุรกิจและการพัฒนาลูกค้า โดยความร่วมมือครอบคลุมกลุ่มตลาดระดับบน ทั้ง สายการบิน โรงแรม เรือ การเงิน การประกันภัย รถยนต์ การบริการ สุขภาพและความงาม อากาศยาน อสังหาริมทรัพย์ การท่องเที่ยว กอล์ฟ กิจกรรมทางการตลาด เครื่องประดับ นาฬิกา ความบันเทิง และแฟชั่น
“ในเอเชียเราแบ่งเป็น 3 ตลาด โฟกัส 12 ประเทศ ตลาดแรกมี 3 ประเทศได้แก่ ฮ่องกง, มาเก๊า, ฟิลิปปินส์ ตลาดต่อมามี 5 ประเทศ คือ ไทย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม, พม่า และตลาดสุดท้ายมี 4 ประเทศคือ สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และบรูไน” เจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอ เดอะ ลักซ์เชอรี่ เน็ตเวิร์ค กล่าว
เดอะ ลักซ์เชอรี่ เน็ตเวิร์ค เอเชีย ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในตลาดประเทศฮ่องกง โดยมีสมาชิกทั้งแบรนด์รถยนต์หรูอย่าง Aston Martin คลับพิเศษสำหรับสมาชิกอย่าง KEE บริษัทจัดการด้านการบินเช่าเหมาลำ Tag Aviation Asia นิตยสารท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ระดับโลกอย่าง Inbound Asia และผู้ผลิตเรือยอชต์อย่าง Sunseeker
สำหรับในเมืองไทย เดอะ ลักซ์เชอรี่ เพิ่งเข้ามาดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งไซม่อนและทีมงานต่างยอมรับว่า ช่วงแรกๆ เป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร เนื่องจากคอนเซ็ปต์ของธุรกิจนี้ถือเป็นเรื่องใหม่
“แม้จะเริ่มตั้งแต่มกราคม แต่เพิ่งขายสมาชิกได้ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ปัญหาคือ หลายคนไม่ค่อยเข้าใจคอนเซ็ปต์เท่าไร เพราะมันใหม่มากไม่ใช่แค่เมืองไทย แต่ใหม่มากในเอเชีย ถ้าอธิบายคอนเซ็ปต์ และผลประโยชน์ที่จะได้รับแล้วลูกค้าเข้าใจ ก็ได้รับการตอบรับที่ดี” พรรณรพี บุญพาล้ำเลิศ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย เดอะ ลักซ์เชอรี่ฯ เล่า
จนถึงวันนี้มีแบรนด์ที่มาเป็นสมาชิกของ เดอะ ลักซ์เชอรี่ ถึง 14 แบรนด์แล้ว ได้แก่ Aston Martin, Sunseeker Asia, KEE Club, TAG Aviation Asia, Impact Asia, Bentley, Porsche, ทีคิวพีอาร์, เลอบัว, พิมาลัย รีสอร์ท แอนด์ สปา, Definite Journey, Red Sky, ASA Group Holding และ Inbound Asia Mgazine
ตั้งเป้าดึง 20 ท็อปแบรนด์หรู
เป้าหมายสำหรับตลาดเมืองไทยนั้น เดอะ ลักซ์เชอรี่วางแผนที่จะมีสมาชิกประมาณ 15-20 แบรนด์ ภายในสิ้นปีนี้ โดยแต่ละแบรนด์จะอยู่ในระดับท็อปส์ของตลาด ได้แก่ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว, จิวเวลรี่, ศูนย์การค้า, นาฬิกา, เฮลิคอปเตอร์, ร้านอาหารหรูหรา, กอล์ฟ, ธนาคาร, เครดิตการ์ด, มือถือ, มอเตอร์ไซค์ เป็นต้น โดยแบรนด์ที่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกจะเสียค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งในการเป็นเมมเบอร์โดยมีอายุ 1 ปี
อนึ่ง สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อสมัครเป็นสมาชิกมี 5 ประการด้วยกัน 1.การจัดอีเวนต์ในลักษณะ B2B ในแต่ละตลาด 3 ครั้งต่อปี 2.การพบปะหรือรวมตัวกันของซีอีโอในแต่ละบริษัทที่เป็นสมาชิก เพื่อมาแลกเปลี่ยนการตลาด หรือร่วมมือในการจัดโปรโมชั่นเดือนละครั้ง
3.พริวิเลจ ที่แต่ละสมาชิกจะให้สิทธิประโยชน์ต่อกันในรูปแบบต่างๆ อาทิ ถ้าเป็นโรงแรมอาจจะลดราคาห้องพักให้ เป็นต้น 4.การทำมีเดียแชร์ โดยจะหามีเดียตัวกลางให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย อย่างเช่น แมกกาซีน อินบาวด์เอเชียซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิก ปัจจุบันมีสิทธิประโยชน์คือ จะให้ลงฟรีหนึ่งหน้า และครั้งต่อไปจะลดให้ 25% พร้อมกับอินบาวด์เลานจ์ ซึ่งจะเป็นเหมือนมินิไซส์ของอินบาวด์
แม็คดอทคอม รวมทั้งการโชว์โปรโมชั่นในแต่ละพีเรียดของแต่ละแบรนด์ที่เป็นสมาชิก
5.เว็บไซต์ ซึ่งสมาชิกจะได้ยูสเซอร์เนม และพาสเวิร์ด เพื่อที่จะเข้าไปค้นหาสมาชิกอื่นๆ ว่ามีโปรโมชั่น หรืออีเวนต์อะไร ที่สามารถจะดำเนินการร่วมกัน หรือจะติดต่อผู้รับผิดชอบในเซกเมนต์นั้นๆอย่างไร รวมทั้งจะมีจดหมายข่าวทุกๆ 3 เดือน กระจายไปให้สมาชิกทั้งหมด
ไซม่อนย้ำว่า เดอะ ลักซ์เชอรี่ เน็ตเวิร์ค เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจให้กับองค์กรต่างๆ โดยแบรนด์ที่มาเป็นสมาชิก ถือได้ว่าเป็นตัวแทนแบรนด์ และอาจจะเป็นพันธมิตรใหม่ด้านกลยุทธ์ เสมือนมีซีอีโอ 50 คนทำงานให้กับสมาชิกในแต่ละแบรนด์ ผ่านการนำเสนอโปรแกรมให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนกิจกรรมด้านการตลาด ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สมาชิกได้รับประโยชน์สูงสุดในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกับแบรนด์ลักชูรีอื่นๆ
“เราไม่ใช่บริษัทที่ปรึกษา หรือเอเยนซี เรามีหน้าที่บริหารความสะดวกให้กับสมาชิกภายใต้การจับมือร่วมกันของท็อปแบรนด์ทั้งหมดในเอเชีย บางคนมองว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งเราก็ได้ เพราะแต่ละแบรนด์จะมีการวางแผนตลาดของตัวเองอยู่แล้ว แต่เราสามารถเพิ่มโอกาสมากกว่าที่เขาทำเองได้ เพราะสมาชิก เดอะ ลักซ์เชอรี่ในแต่ละแบรนด์ จะมีฐานสมาชิกของตัวเองในระดับไฮเอนด์ที่สามารถนำมาต่อยอดระหว่างกันได้ทันที”
พรรณรพี ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ทิ้งท้ายว่า “ถ้ามากับเราที่เดียวก็จะไม่เสียเวลาต้องไปติดต่อเอง 10-20 บริษัท ทั้งยังสามารถจอยเน็ตเวิร์กได้ทันที อยากทำการตลาดกับเซกเตอร์ไหน มีอะไรสามารถทำร่วมกันได้ หรืออะไรที่จะสามารถเพิ่มแบรนด์อะแวร์เนส แน่นอนว่า สุดท้ายทั้งหมดนี้จะเดินไปสู่การเพิ่มยอดขายของสินค้าในแต่ละแบรนด์”
|