ห้างเซ็นทรัล เจาะช่องทางออนไลน์ เอาใจคนรุ่นใหม่ยุค Net Generation หวังขยายฐานลูกค้า เกาะติดเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วมียอดขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น

ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ทุ่มงบ 50 ล้านบาทพัฒนาระบบไอที รุกธุรกิจออนไลน์ ดีเดย์ 15 ตุลาคม 2553 ให้บริการผ่านเว็บไซต์ www.central.co.th เป็นวันแรก โดยมีสินค้า 5,000 รายการจาก 8 แคทิกอรี ประกอบด้วยสินค้าในกลุ่มบิวตี้ กิฟต์ชอป โฮม จิวเวลรี่/นาฬิกา สินค้าเด็ก สินค้าผู้ชาย เครื่องหนังแฟชั่น และแผนกสตรี โดยบริษัทมีแผนที่จะเพิ่มไลน์สินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ในขณะที่ปัจจุบันห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลมีสินค้ากว่า 700,000 รายการ ณ จุดขายตามสาขาต่างๆ

ทั้งนี้เพื่อขยายฐานลูกค้ารุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะวัย 25-34 ปี เป็นกลุ่มหลัก และยังมีกลุ่มรองคือวัย 35-49 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติยังระบุด้วยว่าในปีที่ผ่านมา ประชากรไทยตั้งแต่อายุ 6 ขวบขึ้นไปมีการใช้อินเทอร์เน็ตมากถึง 12.3 ล้านราย จากผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วประเทศ 17.9 ล้านคน

“ปัจจุบันเทรนด์ของอินเทอร์เน็ตกำลังมาแรงในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างในอเมริกา ห้างสรรพสินค้าของเขามีรายได้จากการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นสัดส่วนสูงถึง 10% ของบ้านเราคงต้องใช้เวลา 5-10 ปีที่จะไปสู่จุดนั้น เพราะผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคยกับการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต” ยุวดี จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์สรรพสินค้าเซ็นทรัล กล่าว

เซ็นทรัล มีการสื่อสารถึงผู้บริโภคผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งปัจจุบันมีผู้ follower ใน twitter 29,000 ราย และผู้ like ในเฟซบุ๊กอีกกว่า 19,000 ราย โดยบริษัทมีแผนกระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ด้วยการทำ e-coupon ให้กับลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ที่มียอดซื้อตามที่กำหนด ตลอดจนการมอบบัตรกำนัลเหมือนกับลูกค้าที่เดินทางมาซื้อสินค้าที่ห้าง นอกจากนี้ยังสามารถสะสมแต้มผ่านบัตรเดอะวันการ์ดจากการชอปปิ้งออนไลน์ได้

ปัจจุบันสมาชิกบัตรเดอะวันการ์ดมีประมาณ 2.5 ล้านราย โดยเป็นสมาชิกจากส่วนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลประมาณ 1 ล้านราย ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดสมาชิกกว่า 300,000 ราย ให้หันมาใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าหลังเปิดตัวช่องทางออนไลน์จะทำให้มีผู้บริโภคเยี่ยมชมเว็บไซต์เพิ่มจาก 1,800 UIP ต่อวัน เป็น 3,000 UIP ต่อวัน และจะเพิ่มเป็น 5,000 UIP ต่อวันในปีถัดไป โดยเชื่อว่าปริมาณการซื้อต่อครั้งโดยเฉลี่ยจะพอๆ กับลูกค้าที่ชอปปิ้งในห้างคือ 1,500 บาทต่อบิล พร้อมตั้งเป้าสิ้นปีหน้าปิดยอดขายออนไลน์ได้ 350 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี การขยายสาขาถือว่ามีความสำคัญต่อธุรกิจค้าปลีก ทว่าในปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนที่จะขยายสาขาใหม่ แต่เชื่อว่าช่องทางออนไลน์จะช่วยเพิ่มยอดขายและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น สำหรับแผนการขยายสาขา บริษัทมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง ใน 2-3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลมีสาขาทั้งหมด 15 สาขา โดยเป็นสาขาในต่างจังหวัด 4 แห่ง คือที่ ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ หาดใหญ่

การทำธุรกิจออนไลน์ของเซ็นทรัล นอกจากจะเป็นการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่แล้ว ยังเป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะตามต่างจังหวัดซึ่งมีเศรษฐีภูธรกระจายอยู่มากมาย แต่ไม่ค่อยมีโอกาสเข้ามาซื้อสินค้าตามสาขาต่างๆ ของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล โดยเซ็นทรัลมีการใช้บริการของ TNT ในการจัดส่งสินค้าไปสู่ลูกค้าที่สั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจะให้บริการจัดส่งฟรีจนถึงสิ้นปีนี้ จากนั้นในปีหน้าลูกค้าที่ชอปปิ้งครบ 5,000 บาทขึ้นไปจึงจะได้รับบริการจัดส่งฟรี ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ให้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทก็อาจจะมีการหาพันธมิตรในการกระจายสินค้าเพิ่มเติมเช่นไปรษณีย์ไทย

ก่อนหน้านี้ เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของศูนย์สรรพสินค้าเซ็นทรัล ได้มีการทำธุรกิจออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.col.co.th แต่ไม่ได้มีการทำการตลาดอย่างจริงจัง ทว่าด้วยเทรนด์ห้างสรรพสินค้าในระดับโลก ได้สะท้อนให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนของธุรกิจที่ก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ศูนย์สรรพสินค้าเซ็นทรัล ลงทุนสร้างธุรกิจออนไลน์ของตัวเองเพื่อตอบสนองผู้บริโภคยุค Net Generation

ในขณะที่เดอะมอลล์ซึ่งมีสาขาที่น้อยกว่าเซ็นทรัล ก็มีแผนพัฒนาระบบชอปปิ้งออนไลน์มาตั้งแต่เมื่อครั้งเปลี่ยนบัตรเพรสทีจการ์ด เป็นบัตรเอ็มการ์ด ซึ่งในเร็วๆ นี้จะมีการเปิดตัวธุรกิจออนไลน์ของเดอะมอลล์เช่นกัน