Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2527








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2527
เมื่อคนหัวรั้นเจอคนบ้าเลือด             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย
โฮมเพจ กระทรวงการคลัง

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
กระทรวงการคลัง
นุกูล ประจวบเหมาะ
สมหมาย ฮุนตระกูล
Economics
Banking and Finance




ปี 2527 สำหรับวงการเงินการคลังของประเทศไทย นับได้ว่าเป็นปีที่ไม่เคยมีเวลาให้พักเลย คนเก่าในวงการบางคนบอกว่า ตั้งแต่สังคมการเงินเติบโตมาเพิ่งจะมีปีนี้แหละที่มีแต่เรื่องเลวร้ายมาตลอด นักเศรษฐศาสตร์บางคนถึงกับยืนยันว่า 2527 คือ Depression Year ในแง่เศรษฐศาสตร์เพียงแต่ว่าพวกเราอยู่ในเหตุการณ์ก็เลยมองไม่เห็น “คุณลองให้เวลาผ่านไปอีกสัก 10 ปี แล้วมองย้อนไปซิ คุณจะเห็นชัดเลยว่า เรากำลังมี Depression อยู่ในขณะนี้” นักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งกล่าว

ถ้าปีนี้เป็น Depression สำหรับเศรษฐกิจแล้วละก้อ สำหรับบุคคลดังๆ ในวงการก็น่าจะเป็นปีแห่งกาลกิณีแท้ๆ

และหนึ่งในวงการนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นคนชื่อ “นุกูล ประจวบเหมาะ” อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

สื่อมวลชนส่วนใหญ่ได้พูดถึงข่าวการปลดนุกูล ประจวบเหมาะ อย่างละเอียดลออแล้ว “ผู้จัดการ” จะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแต่เราอยากจะชี้ให้เห็นถึงปัญหาและความพิกลพิการของเรื่องนี้ซึ่งมีทั้งหลักการและเรื่องบุคลิก อุปนิสัยของตัวแสดงที่เข้ามาเกี่ยวข้องจนเกิดละครชุด “จำต้องพิฆาตเข่นฆ่าให้อาสัญ” ที่ไม่น่าเกิดขึ้น

“ผู้จัดการ” มีเวลาน้อยมากในการทำเรื่องนี้ เราพยายามติดต่อขอคุยกับ สมหมาย ฮุนตระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ “ท่านรัฐมนตรียังไม่อยากจะพูดอะไรมากในขณะนี้” ผู้ใกล้ชิดสมหมายบอกมาและบอกว่า สมหมายแนะนำให้พูดกับคนใกล้ชิดของสมหมายอีกคนหนึ่งแทน ซึ่งไม่ประสงค์จะให้ “ผู้จัดการ” เอ่ยนาม

การที่จะเข้าใจถึงเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ท่านผู้อ่านต้องพยายามเท้าความไปถึงกระทรวงการคลังในยุคก่อนสมหมายเข้ามา และใช้จิตวิทยา ตลอดจนหลักรัฐศาสตร์เข้าประกอบด้วยจึงจะพอเข้าใจภาพต่อทั้งหลายได้ชัดเจนกว่าเดิม

เหมือนที่ว่าเอาไว้ว่า ยุคใครคนนั้นก็ต้องสร้างฐานอำนาจของตนเองขึ้นมาและในระบบราชการ หรือเอกชนนั้นย่อมหมายถึงการแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามากุมอำนาจ

ในกระทรวงการคลังก่อน 14 ตุลานั้นเป็นยุคของบรรยากาศอนุรักษนิยมที่ถูกบริหารโดยนักการคลังที่ไม่ได้มีสายตาที่ยาวไกล แต่เป็นการบริหารงานแบบธรรมดาสามัญที่วางแนวตามกรอบประเพณีที่เคยอ้างกันมาอยู่แล้วคือ การดำเนินนโยบายคลังตามผู้มีอำนาจทางการทหารซึ่งเป็นผู้ปกครองประเทศ

ฉะนั้นการเกิดของข้าราชการหนุ่มที่มีอนาคตจึงเป็นเรื่องยากนอกเหนือไปจากการค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาตามระบบอาวุโส

บุญชู โรจนเสถียร คงจะเป็นคนแรกที่เริ่มการปรับปรุงองค์กรนี้ใหม่ โดยดึง อำนวย วีรวรรณ จากอธิบดีกรมศุลกากรมาเป็นปลัดกระทรวงการคลัง ข้ามหน้าคนที่มีอาวุโสมากกว่าหลายคนในขณะนั้น

การเอาอำนวย วีรวรรณ ขึ้นมาเป็นปลัดกระทรวงการคลังคือการพังทำนบให้น้ำไหลบ่าเข้ามาเป็นครั้งแรก!

พอจะพูดได้ว่า ยุคที่อำนวย วีรวรรณ เป็นปลัดกระทรวงการคลังนั้นเป็นยุคที่คนหนุ่มกระตือรือร้นมากที่สุด และผลพวงอันนี้ก็ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในกระทรวงการคลังในรูปของบุคลากรอย่างมากที่สุดที่เห็นได้ชัดคือ เป็นยุคที่คนหนุ่มเป็นอธิบดีกันมากในขณะที่คนอายุมากใกล้เกษียณแล้ว จะไม่ได้รับความสนใจ เช่น พิพัฒน์ โปษยานนท์ สมัยที่เป็นอธิบดีกรมสรรพสามิตแทบจะไม่มีบทบาทและเกือบจะโดนย้ายไปประจำกระทรวงหลายครั้งแล้ว ถ้าไม่ใช่มีการขอกันในระดับผู้ใหญ่

สมัยที่บุญชู โรจนเสถียร เป็นรัฐมนตรีคลัง และอำนวย วีรวรรณ เป็นปลัดกระทรวงเรียกได้ว่า เป็นช่วงเวลาของการทำงานที่ให้โอกาสคนหนุ่มๆ เช่น ชายชัย ลี้ถาวร, นุกูล ประจวบเหมาะ, ไกรศรี จาติกวนิช, วิโรจน์ เลาหพันธุ์, บัณฑิต บุณยปานะ, ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ฯลฯ ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ อาจจะเป็นเพราะบุญชูเองมาจากภาคเอกชน ฉะนั้นการบริหารงานราชการจึงแตกต่างไปกว่ารัฐมนตรีที่มาจากข้าราชการประจำ

ในยุคอำนวย วีรวรรณ นั้นหนึ่งในหลักการทำงานที่อธิบดีทั้งหลายพออกพอใจมากเป็นพิเศษคือ การที่ทุกคนสามารถจะทำงานกันอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเสียเวลาในการเอาอกเอาใจเจ้านาย

พอหมดยุคบุญชู โรจนเสถียร และอำนวย วีรวรรณก็ถูกการเมืองเล่นงานในยุค ธานินทร์ กรัยวิเชียร ก็ถึงยุคสมัยของ สุพัฒน์ สุธาธรรม ที่ถูกทุกคนข้ามหัวไปในยุค บุญชู และสุพัฒน์ก็หันเข้าไปในรูปแบบเดิมของระบบอาวุโสและอนุรักษนิยม

กระทรวงการคลังในสมัย สุพัฒน์ สุธาธรรม คือกระทรวงการคลังที่ทำงานในลักษณะของผู้ตามนโยบายการคลังที่รัฐบาลมักจะเป็นผู้ชี้แนะ อาจจะเป็นเพราะกระทรวงการคลังมีรัฐมนตรีที่ไม่มีลักษณะของผู้นำทางเศรษฐกิจแต่กลับเป็นผู้เดินตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี

มาสมัยที่บุญชู โรจนเสถียรกลับมาเป็นรองนายกฯ และอำนวย วีรวรรณมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั้นบทบาทของกระทรวงการคลังก็พลิกกลับขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งจากการเป็นผู้ตามมาเป็นผู้นำในนโยบายการเงินการคลังและบทบาทนี้ก็มีต่อเรื่อยมาจนถึงยุคสมหมาย ฮุนตระกูล กระทรวงการคลังก็เริ่มเล่นบทนี้มาตลอด

อาจจะเป็นเพราะธนาคารแห่งประเทศไทยมียุคกำเนิดมาจากกระทรวงการคลังและได้รับอิทธิพลจากกระทรวงการคลังค่อนข้างสูง ประกอบกับกฎหมายที่เกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เป็นระเบียบข้อบังคับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องทำงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านหน่วยงานอื่นในกระทรวงการคลัง เช่น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฯลฯ ดังนั้นเมื่อมองในรูปนี้แล้วยุคไหนสมัยไหนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีผู้ว่าการที่อ่อนก็ย่อมที่จะถูกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังครอบ หรือถ้ารัฐมนตรีแข็งและผู้ว่าการแข็งก็ต้องเกิดการปะทะกันอย่างในกรณีของสมหมาย ฮุนตระกูล กับ นุกูล ประจวบเหมาะ

บทบาทและความสัมพันธ์ของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงเป็นบทบาท และความสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากับผู้บังคับบัญชา และอีกลักษณะหนึ่งคือ การมีอิสระในการวางนโยบายการเงิน โดยไม่ต้องคอยรับคำสั่งใคร

ดังนั้นในภาวะที่ไม่มีวิกฤตการณ์ใดๆ เกิดขึ้น ตัวผู้ว่าธนาคารชาติ จึงมักจะไม่ค่อยมีความขัดแย้งใดๆ กับรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง

แต่เมื่อใดที่วิกฤตการณ์การเงินหรือเศรษฐกิจเกิดขึ้น วิธีการแก้ปัญหาของธนาคารชาติกับกระทรวงการคลัง ก็อาจจะต้องมีการเผชิญหน้ากัน เพราะบุคลากรและเจ้าหน้าที่ของธนาคารชาติ จะมองปัญหาและเสนอวิธีแก้โดยแนวทางเศรษฐศาสตร์ ขณะที่รัฐมนตรีคลังต้องรับภาระการนำปัญหารัฐศาสตร์การเมืองเข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรณีการจำกัดสินเชื่อ 18% ที่เพิ่งถูกยกเลิกเมื่อเร็วๆ นี้

แต่บางครั้งผู้ว่าการธนาคารชาติ ถ้าเป็นคนอ่อนก็มักจะต้องแพ้ภัยตัวเอง แล้วก็ต้องมีอันเป็นไปอย่างน่าเสียดาย อย่างสมัยหนึ่งที่ เสนาะ อูนากูล เป็นผู้ว่าการธนาคารชาติในยุค เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีกรณีราชาเงินทุนล้ม

เสนาะ อูนากูล อยู่ในภาวะที่อัดอั้นตันใจมาก เพราะการตัดสินใจจะแก้ปัญหาอะไรก็ตามในขณะนั้น ถ้าออกมาในลักษณะที่ไปช่วยให้ราชาเงินทุนอยู่ได้ก็จะเป็นว่า เสนาะเข้าข้างราชาเงินทุน และก็เผอิญอีกเหมือนกันที่ เสนาะ อูนากูล เองก็เป็นเพื่อนสนิทของ เสรี ทรัพย์เจริญ ประธานราชาเงินทุน และทั้งสองก็เล่นกอล์ฟกันอยู่บ่อยครั้ง

อีกประการหนึ่งในช่วงที่ราชาเงินทุนกำลังทรุด ภรรยาเสนาะ อูนากูล ก็เป็นผู้เล่นหุ้นของราชาเงินทุนด้วยคนหนึ่ง

ความอัดอั้นตันใจนี้ ทำให้เสนาะ อูนากูล ถึงกับประสาทแทบเสีย และต้องลาออกจากธนาคารชาติไปบวชสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่ง จนต่อมาภายหลังถึงกลับเข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒนาแห่งชาติ ในยุคที่บุญชู โรจนเสถียร เป็นรองนายกฯ

พอเสนาะ อูนากูล ลาออกก็มีการสรรหาผู้ว่าการธนาคารชาติคนใหม่

อาจจะเป็นเพราะปัญหาทางการเงินของบ้านเรามีลักษณะที่เริ่มจะสับสนและวุ่นวายขึ้นมาเรื่อยๆ ตลอดเวลา หลังจากที่ราชาเงินทุนล้มไปแล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะหลังจากที่ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้ออกจากตำแหน่งนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถจะทำได้ดีกว่า ดร.ป๋วย และแต่ละคนที่มาแทนดร.ป๋วยก็ขาดคุณลักษณะและคุณสมบัติ ตลอดจนบารมีของ ดร.ป๋วยที่ทุกวงการเคารพและเกรงใจ ก็เลยไม่มีใครพิศวาสในตำแหน่งนี้เท่าไรนัก?

ในการสรรหาผู้ว่าการคนใหม่นั้น เนื่องจากทุกคนคิดว่าผู้ว่าการธนาคารชาติจะต้องเป็นคนที่มีจุดยืนของตัวเอง และจะต้องไม่ยอมอะไรที่ผิดหลักการ ก็เผอิญมีคนคนหนึ่งในกระทรวงการคลังที่มีคุณสมบัติแบบนี้อยู่ และในขณะนั้นเป็นอธิบดีกรมบัญชีกลางที่ชื่อ นุกูล ประจวบเหมาะ

นุกูล ประจวบเหมาะ เป็นคนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตระกูลเป็นเศรษฐีที่ดิน นุกูลเป็นคนที่ในวงการราชการต้องการมากๆ เพราะเป็นคนที่ตรงเป็นเส้นตรง และเป็นคนที่ไม่ยอมคน ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ถ้าผิดหลักการไปแล้ว นุกูลจะยอมหักไม่ยอมงอ

ความที่เป็นคนตรงมากๆ ในยุคหนึ่งก็เลยต้องรับผิดชอบการเก็บภาษีของรัฐ โดยเป็นอธิบดีกรมสรรพากรในยุคที่อำนวย วีรวรรณ เป็นปลัดกระทรวงการคลัง และบุญชู โรจนเสถียร เป็นรัฐมนตรี

มาถึงยุครัฐบาลชุดธานินทร์ กรัยวิเชียร นุกูลถูกสุพัฒน์ สุธาธรรม รัฐมนตรีคลังย้ายไปอยู่กรมบัญชีกลาง เพราะขอร้องให้ช่วยบริษัทที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก10 กว่าล้าน แล้วนุกูลไม่สนใจแม้แต่นิดเดียวก็เลยถูกย้ายจากกรมอันดับหนึ่งไปอยู่กรมแถวหลังๆ เป็นรางวัล

ว่ากันว่า ความแข็งของนุกูล แข็งถึงขนาดเวลาเดินสวนกับรัฐมนตรีคลังที่ชื่อสุพัฒน์ สุธาธรรม แม้กระทั่งเหลือบมองนุกูลยังไม่มองเลยและไม่ยอมยกมือไหว้รัฐมนตรีด้วย

คงจะเป็นเพราะกิตติศัพท์ความแข็งไม่ยอมลงคนง่ายๆ ก็เลยเป็นจุดที่ทุกคนมองว่า นุกูลน่าจะเหมาะกับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารชาติ!

จะเรียกว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่อาจจะทราบได้!!!

ตัวนุกูลเองก็ไม่ได้ต้องการจะไปอยู่ธนาคารชาติเลยแม้แต่น้อย แต่ต้องยอมหลังจากถูกเกลี้ยกล่อมและชักชวน

“เดิมทีคุณนุกูลกับคุณชาญชัยตกลงกันว่าให้คุณนุกูลไปธนาคารชาติ 2 ปี แล้วกลับมาเป็นปลัดกระทรวงการคลัง ส่วนคุณชาญชัยค่อยไปธนาคารชาติ” แหล่งข่าวที่รู้เรื่องดีพูดให้ฟัง

แต่พอครบ 2 ปี สัญญานี้ก็ทำไม่ได้ เพราะชาญชัย ลี้ถาวร ยังไม่ยอมไปเนื่องจากมีงานค้างอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งถ้าไปแล้ว อาจจะถูกหาว่าทำไม่เสร็จ

พอดีตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนว่างลง สมหมายซึ่งอยากเปลี่ยนชาญชัย ลี้ถาวร อยู่แล้ว ก็เลยชู้ตชาญชัยไปบีโอไออย่างสายฟ้าแลบ และชาญชัยอยู่ที่นั่นไม่นานก็ลาออกเข้ามาทำงานในภาคเอกชนดังที่ทราบกันอยู่

สมหมาย ฮุนตระกูล เคยอารมณ์ค้างมากับกระทรวงการคลังครั้งหนึ่งแล้ว ในยุคที่เป็นรัฐมนตรีคลังอยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ต้องออกไปเมื่อรัฐบาลชุดพลเอกเปรม ยกโควตากระทรวงการคลังให้กับกิจสังคม

พอกลับเข้ามาครั้งที่สอง สมหมาย ฮุนตระกูล ก็เริ่มทำงานในแนวความคิดของตนเองอย่างเต็มที่

สมหมายเป็นนักการคลังที่ใช้ Conservative Fiscal Policy และจากการที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ปล่อยให้สมหมาย ฮุนตระกูล ทำงานอย่างเต็มที่ก็ทำให้สมหมายใช้นโยบายการคลังที่เข้มงวดเข้ามาเป็นกรอบให้รัฐบาลเดิน

เหตุการณ์ของเศรษฐกิจโลกในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นภาวะผันผวน และเศรษฐกิจตกต่ำมากๆ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นสูงก็พอดีลงล็อกกับนโยบายอนุรักษ์ทางการเงินและการคลังที่สมหมายวางเอาไว้

สมหมายเป็นคนที่ตั้งใจว่า จะทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ได้ และการดำเนินการที่ตัวเองตั้งใจไว้แล้ว ก็จะเป็นการเดินหน้าเข้าชนลูกเดียว อย่างไม่หวั่นเกรง ประการหนึ่งเป็นเพราะสมหมายนั้นเป็นรัฐมนตรีที่อยู่ในโควตาของพลเอกเปรม ฉะนั้นการต้องขัดแย้งกับรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมือง ก็เป็นสิ่งที่สมหมายไม่เคยยี่หระ

การปะทะกันในคณะรัฐมนตรีระหว่างสมหมาย ฮุนตระกูล กับรัฐมนตรีอื่นๆ จึงเป็นของธรรมดาและ สมหมายมักจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ แม้แต่ในกรณีที่นายกฯ กำลังจะตัดสินเข้าข้างอีกฝ่ายสมหมายก็สามารถจะเข้าพบเป็นส่วนตัวแล้วชี้แจงจนในที่สุดนายกรัฐมนตรีก็ต้องเห็นด้วยกับสมหมาย

บางครั้งเพื่อให้ได้แนวทางที่ตนวางไว้สมหมายถึงกับเคยเอาตำแหน่งของตัวเองเข้าเป็นเดิมพัน ถ้าข้อเสนอของตนไม่ได้รับการพิจารณาซึ่งในที่สุดสมหมายก็ชนะไป!!!

สำหรับในกระทรวงการคลังนั้น สมหมายเป็นคนค่อนข้างจะเหงา และโดดเดี่ยวพอสมควร

อาจจะเป็นเพราะสมหมายเข้ามาในกระทรวงการคลังโดยไม่มีฐานของตัวเองที่จะทำงานให้นอกจากหลานชาย (ลูกของเพื่อน) ที่ชื่อ นิพัฒน์ พุกกะณะสุต และเริงชัย มะระกานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งมีภรรยาเป็นหลานสาวของสมหมาย ฮุนตระกูล (หลานสมหมายใช้นามสกุลเดิมว่า เมฆไพบูลย์ ซึ่งแตกหน่อมาจากฮุนตระกูล โดยคำว่า ฮุนในภาษาจีนหมายถึงเมฆ) เริงชัยนั้นก็เป็นอดีตนักเรียนเก่าญี่ปุ่น

ในสมัยที่ปัญหาทรัสต์กำลังคุกรุ่น และระเบิดออกมานั้น เริงชัยมักจะหอบแฟ้มเข้าไปรายงานให้สมหมายโดยไม่ผ่านนุกูล ประจวบเหมาะ และนี่ก็เป็นความขัดแย้งอันหนึ่งในหลายๆ อัน ที่คุกรุ่นขึ้นมา

ประกอบกับสมหมายก็เป็นธรรมดาของคนแก่ที่คงจะพึงปรารถนาให้มีคนเข้ามาพบและเข้าไปใกล้ชิดตลอดเวลา ซึ่งก็มีน้อยคนในกระทรวงการคลังที่จะเข้าไปใกล้ชิด อาจจะเป็นเพราะการทำงานใน กระทรวงการคลังในช่วงตั้งแต่อำนวยเป็นปลัดกระทรวงมาจะเน้นที่ผลงานมากกว่าความใกล้ชิด

หนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าไปใกล้ชิดสมหมาย ฮุนตระกูล ขนาดถึงขั้นติดสอยห้อยตามตัวรัฐมนตรีไปต่างประเทศตลอดเวลาคือ มนัส ลีวีรพันธ์ ซึ่งปัจจุบันเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจและการคลัง

มนัส ลีวีรพันธ์ เคยอยู่สำนักงานเศรษฐกิจการคลังมาตลอด แต่ในช่วงหลังถูกแขวนโดยโดนย้ายไปประจำกระทรวงด้วยเหตุผลหลายประการ

“คุณมนัสแกถูกมองข้ามไป ข้อหนึ่งเป็นเพราะผู้บังคับบัญชาคิดว่า เขาไม่มีความสามารถจริง อีกข้อหนึ่งก็เป็นเรื่องภายในเก่าๆ เช่น สมัยแกเป็นกรรมการการบินไทย แล้วก็มีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น” แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังพูดกับ “ผู้จัดการ”

โดยสรุปแล้ว พอจะพูดได้ว่า มนัส ลีวีรพันธุ์ เป็นคนที่รู้จักใช้โอกาสและจับเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมาเป็นประโยชน์กับตัวเอง

เมื่อสมหมายเข้ามากระทรวงการคลัง นอกจากการย้ายชาญชัย ลี้ถาวร ออกไปแล้ว ก็ยังปูพื้นฐานโดยเอามนัส ลีวีรพันธุ์ กลับเข้ามาเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

สำนักงานเศรษฐกิจการคลังนั้น เปรียบเสมือนเป็นมันสมองให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพราะต้องทำหน้าที่รับเรื่องต่างๆ จากกรมทั้งหมด เอามาพิจารณาพร้อมทั้งเสนอแนะให้รัฐมนตรีรวมทั้งการช่วยเป็นต้นคิดในเรื่องนโยบายต่างๆ จึงพอจะสรุปได้ว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลังนั้น เปรียบเสมือนเป็นมือขวาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทีเดียว

ส่วนกำจร สถิรกุล นั้นซึ่งก่อนที่จะโยกย้ายไปเป็นผู้ว่าการธนาคารชาตินั้น เดิมทีเป็นรองอธิบดีอยู่กรมศุลกากรมาเป็นเวลา 6 ปี และถูกสมหมายย้ายมาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เมื่อปลายปี 2525

กำจร สถิรกุล เป็นคนอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อจบการศึกษาแล้วก็เริ่มงานที่กรมศุลกากรมาตลอด ว่ากันว่า กำจรเป็นคนตั้งใจในการทำงานเป็นอย่างมาก และเป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องกฎหมายศุลกากรเป็นอย่างดี

กำจรเป็นข้าราชการที่ไม่รู้จักกับการปฏิเสธคำขอร้องของผู้ใหญ่ ซึ่งต่างกับนุกูล ประจวบเหมาะ เป็นอย่างมาก

ครั้งหนึ่งกำจร สถิรกุล ได้ทำงานชิ้นหนึ่งเพื่อช่วยสมหมาย ฮุนตระกูล ในเรื่องเกี่ยวกับนิพัฒน์ พุกกะณะสุต ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของสมหมาย โดยที่นิพัฒน์ซึ่งเคยถูกกระทรวงการคลังส่งไปเป็นกรรมการของบริษัทไทยเดินเรือทะเลและถูกคณะกรรมการ ป.ป.ป.สอบในกรณีที่จัดทำสัญญาเช่าเรือ มารีนไทม์อีเกิล บรรทุกน้ำมันให้กับ ปตท. ซึ่งสัญญาเสียเปรียบบริษัทเจ้าของเรือทำให้รัฐสูญเสียเงินโดยใช่เหตุ และกำธร พันธุลาภ ซึ่งเป็นประธาน ป.ป.ป. สอบสวนแล้วว่ามีความผิดจริง จึงส่งเรื่องคืนต้นสังกัด โดยมีกำจร สถิรกุล เป็นประธานสอบ และกำจรก็ได้ชี้ลงไปว่านิพัฒน์ไม่มีความผิด เพราะถูกยืมตัวไปทำงาน หลังจากนั้นกำจรก็ส่งนิพัฒน์ไปเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจที่กรุงวอชิงตัน นิพัฒน์จึงรอดตัวไป

การโยกย้ายกำจร สถิรกุล ไปแทนนุกูล ประจวบเหมาะ ที่ธนาคารชาตินั้น หลายกระแสข่าวยืนยันว่า เป็นการยิงนกทีเดียวได้ 2 ตัว ทั้งนี้เพราะเป็นการเอาคนที่สมหมายรู้ว่าจะไม่สร้างความขัดแย้งในอนาคตกับรัฐมนตรีว่าการคลังแล้วยังเท่ากับ เป็นการเลื่อนตำแหน่งให้กำจร และเป็นการเปิดโอกาสให้มนัส ลีวีรพันธุ์ ได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยทุกอย่างลงตัวหมด

แต่ถ้าจะพูดถึงสาเหตุจริงๆ การปลดนุกูล ประจวบเหมาะ ออกซึ่งส่วนใหญ่จะลงความเห็นว่า เป็นการก้าวก่ายและต้องการควบคุมธนาคารชาตินั้น “ผู้จัดการ” ไม่เห็นด้วย

เราเชื่อว่าการปลดนุกูล ประจวบเหมาะ นั้นเป็นปัญหาของความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัวเท่านั้นเอง เพราะสมหมายมีความประสงค์ที่จะย้ายนุกูลมานานแล้ว และนุกูลเองก็ทราบถึงเรื่องนี้ดี

สมหมายเคยทาบทามบัณฑิต บุณยะปานะ อธิบดีกรมบัญชีกลาง และไกรศรี จาติกวณิช อธิบดีกรมศุลกากรมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว แต่ทั้ง 2 ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ ฉะนั้น การผลักดันกำจรเข้าไปจึงเป็นการเลือกตัวบุคคลที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน โดยมิได้มีความคิดที่จะวางแผนล่วงหน้า โดยมีเจตนาจะควบคุมธนาคารชาติ

ในสายตาของสมหมายแล้ว นุกูล ประจวบเหมาะ เป็นคนที่หยิ่งยโส และทระนง

การทำงานของนุกูล ถ้าหากจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังแล้ว นุกูลก็จะต้องใช้วิธีส่งเป็นลายลักษณ์อักษรเข้ามาขอความเห็นชอบ แทนที่จะเข้ามาชี้แจงด้วยตัวเองเพิ่มเติม หรือแม้กระทั่งบางสิ่งบางอย่างที่นุกูลทำลงไปสมหมายเองก็ไม่ทราบ และครั้งหนึ่งสมหมายถึงกับโดนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ตำหนิว่า ทำไมถึงไม่ส่งข้อมูลมาให้พลเอกเปรม เพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยที่สมหมายไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย เพราะข้อมูลอยู่ที่นุกูลคนเดียว (อ่านเรื่อง “วันที่สมหมายโดนนายกเปรมเล้ง”)

ข้อกล่าวหาที่ทั้งนุกูลและสมหมายต่างโยนกันไปโยนกันมานั้นไม่สามารถที่จะหาข้อยุติได้ว่าใครโกงใครกันแน่ เช่น

1. กรณีควบคุมสินเชื่อ 18%

ที่เป็นข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่า ทั้งกระทรวงการคลังและธนาคารชาติต่างมีความเห็นพ้องกันว่า ปี 2527 นั้นจะต้องมีการลดการขยายสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ และไม่เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ

แต่บางแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับสมหมายก็ยืนยันว่า ทางฝ่ายธนาคารชาติไปออกมาตรการ 18% โดยพลการ โดยไม่ปรึกษากระทรวงการคลังเมื่อเกิดผลเสียขึ้นมา สมหมายในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลจึงโดนกลุ่มการเมืองและกลุ่ม Pressure Group รุมตีเสียน่วม เลยทำให้สมหมายอารมณ์เสียอย่างมาก เพราะผลกระทบของมาตรการ 18% นี้รุนแรงถึงขนาดพันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ ส.ส. จังหวัดอุทัยธานี สังกัดพรรคชาติไทย ถึงกับพูดออกมาในที่สาธารณะเกี่ยวกับสมหมายว่า “กูจะเอามึงออก” ผู้ใกล้ชิดสมหมายพูดว่า “คุณเป็นท่าน คุณจะรู้สึกอย่างไร?”

แต่แหล่งข่าวทางนุกูลก็ยืนยันว่า เรื่อง 18% นี้สมหมายรู้มาตลอดตั้งแต่ต้น เพราะ “ธนาคารชาติจะทำอะไรก็ต้องรายงานกระทรวงการคลังตลอด เป็นไปไม่ได้ที่คุณสมหมายจะไม่รู้”

นอกจากนั้น การทำงานของเจ้าหน้าที่ธนาคารชาติ บางครั้งก็สวนทางกับการทำงานของสมหมาย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สมหมายภายใต้ความกดดันจากหลายฝ่ายให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า “ถ้ามาตรการ 18% ไม่ดีก็สามารถจะยกเลิกได้” ยังไม่ทันที่คำพูดของสมหมายจะเลือนหายไป ธนาคารชาติก็ให้สัมภาษณ์สวนออกมาในวันรุ่งขึ้นว่า “ใครจะเลิกก็เลิกไปแต่ธนาคารชาติยังยึด 18% เหมือนเดิม”

สมหมายเองจากการที่ตัวเองมีประสบการณ์อยู่ในภาคเอกชนมานานพอสมควร ก็จะมีแหล่งข่าวและผู้ใกล้ชิดในภาคเอกชนที่สามารถชี้แจงให้สมหมายทราบถึงผลของมาตรการ 18% ว่าไม่ดีอย่างไร ก็เลยทำให้สมหมายอยู่ในสภาพการณ์ที่อึดอัดมากและจากการที่ต้องเกี่ยวข้องกับนักการเมืองอยู่ทุกวัน ก็พอจะทำให้สมหมายคั่งแค้นใจในความดื้อความรั้นของนุกูล ประจวบเหมาะ

2. การยกเลิกมาตรการ 18%

แม้แต่การยกเลิกมาตรการ 18% ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่า ตัวเองเป็นคนเลิก นุกูลพูดกับ “ผู้จัดการ” ว่า “ก่อนหน้าที่จะมีการยกเลิกผมก็เคยพูดว่า จะยกเลิก และเมื่อผมเห็นว่า มาตรการนี้หมดความจำเป็น จากการพูดคุยกับหลายฝ่าย เช่น ดร.เสนาะ อูนากูล คุณไตรรงค์ สุวรรณคีรี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ผมก็เสนอให้เลิก ซึ่งเรื่องนี้ปรากฏเป็นหลักฐานในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่าผมเป็นคนเสนอ”

การยกเลิกมาตรการ 18% ที่นอกจากนุกูลและสมหมายแย่งกันเข้ามาเป็นผู้ริเริ่มเสนอแล้วยังมีฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่า โดยแท้จริงแล้วรองนายกรัฐมนตรีพิชัย รัตตกุล เป็นผู้ผลักดันให้กับนายกรัฐมนตรี “ความจริงแล้ว ไตรรงค์ สุวรรณคีรี เป็นคนแนะให้นายกรัฐมนตรียกเลิกไปเลยเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งๆ ที่เรื่องพิจารณาการยกเลิกยังหาข้อสรุปกันไม่เสร็จ” แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลพูดกับ “ผู้จัดการ”

3. กรณีสถาบันประกันเงินฝาก

ข้อขัดแย้งในเรื่องสถาบันประกันเงินฝากนี้อยู่ในภาวการณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงเป็นพิเศษ เพราะสถาบันประกันเงินฝากเป็นความคิดของทางธนาคารชาติที่ต้องการจะให้มีขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในวงการเงินต้องลุกลามมากไปกว่านั้น แต่เมื่อความคิดนี้ถูกเสนอไปยังกระทรวงการคลังก็ถูกสมหมาย ฮุนตระกูล โยนเข้าตู้เย็นแช่ทิ้งเอาไว้

“ท่านไม่เชื่อในสถาบันประกันเงินฝาก เพราะท่านเห็นว่า ทำไมจะต้องไปลงโทษสถาบันการเงินที่เขาบริหารงานกันดีอยู่แล้ว เพราะมีสถาบันการเงินแห่งอื่นบริหารงานกันอย่างเหลวแหลก” คนใกล้ชิดสมหมายพูดให้ฟัง

แต่สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วการตั้งสถาบันประกันเงินฝาก คือการป้องกันและเป็นทางแก้ปัญหาที่พวกธนาคารชาติไม่อยากจะปวดหัวอีกต่อไป จะเห็นได้ว่า เรื่องสถาบันประกันเงินฝากนั้น ความคิดจะออกมาทางสายของนุกูล ประจวบเหมาะ และผ่านทาง ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ ส่วนเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ซึ่งต้องมีหน้าที่โดยตรงกับบรรดาบริษัทเงินทุนต่างๆ กลับเงียบสนิท

ความขัดแย้งในเรื่องสถาบันประกันเงินฝากได้ขยายตัวออกไปอย่างมากมาย จนเปรียบเสมือนหนามยอกอกของสมหมาย ฮุนตระกูล เพราะบังเอิญกระแสเสียงภายนอกตั้งแต่บรรดาสถาบันเงินทุนหลายๆ แห่งที่ต้องการจะมีสถาบันประกันเงินฝากไปจนถึงบรรดาสมาชิกสภาผู้แทน รวมทั้งส่วนใหญ่ของคณะรัฐมนตรี ต่างพากันผลักดันเพื่อให้สถาบันประกันเงินฝากเกิดขึ้นมาให้ได้และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สมหมายคิดว่านุกูลกำลังดัดหลังตัวอยู่ โดยขอยืมมือผู้อื่นมาผลักดัน

4. กรณีของธนาคารเอเชียทรัสต์

ในการปลดนุกูล ประจวบเหมาะ นี้สมหมาย ฮุนตระกูลอ้างกรณีของธนาคารเอเชียทรัสต์ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ธนาคารชาติละเลยไม่สนใจต่อปัญหา ปล่อยให้ลุกลามจนกระทั่งต้องใช้วิธีให้กระทรวงการคลังเข้าไปถือหุ้นในที่สุด โดยสมหมายได้ชี้แจงออกไปว่า ได้แจ้งให้ธนาคารชาติทราบถึงเรื่องนี้ 4-5 ครั้งแล้ว แต่ธนาคารชาติยังไม่ให้ทำอะไรลงไป

สำหรับเรื่องธนาคารเอเชียทรัสต์นั้น วารี หะวานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ ได้ยืนยันว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องธนาคารเอเชียทรัสต์นั้นนายสมหมายได้รับทราบและเห็นด้วยมาโดยตลอด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวหาว่านุกูล ประจวบเหมาะ บกพร่องในเรื่องนี้

อย่างไรก็ดี บางกระแสข่าวซึ่งไม่สามารถจะยืนยันได้ก็อ้างว่า สาเหตุของธนาคารเอเชียทรัสต์นั้นเป็นเพราะ พวกธารวณิชกุลเข้าไปฟ้องสมหมายว่าถูกนุกูลแกล้ง ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่นั่นก็เป็นกระแสข่าวอีกด้านหนึ่งซึ่งไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือนัก

5. นุกูลครบวาระที่อยู่มา 4 ปีแล้ว

พูดไปโดยเนื้อแท้แล้ว ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารชาตินั้นสมควรจะเป็นตำแหน่งที่ต้องมีวาระในการคงอยู่และกำหนดเวลาของการจากไป

ในต่างประเทศตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางนั้นเป็นตำแหน่งที่อยู่กันเพียง 4 ปี และหากจะมีการต่อก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร เพราะตำแหน่งที่สำคัญนี้เป็นตำแหน่งซึ่งคนที่จะมานั่งจะต้องเป็นคนที่เปิดหูเปิดตาให้กว้างและจะต้องไม่ดักดานอยู่กับสิ่งที่ใกล้ตัวจนเกินไป

ความจริงข้ออ้างของสมหมายที่ว่านุกูลอยู่ครบ 4 ปีแล้วนั้น พูดกันด้วยความเป็นธรรมแล้ว ก็เป็นข้ออ้างที่สมควรกับเหตุผล แต่เผอิญการให้นุกูลออกครั้งนี้เกิดมีองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาแทรกพลอยทำให้การที่อ้างว่า อยู่ครบ 4 ปี แล้วดูไม่หนักแน่นและศักดิ์สิทธิ์

ที่นุกูลพูดก็ถูกว่า ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารชาตินั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีการกำหนดว่าจะต้องอยู่ในวาระกี่ปี แม้แต่ตำแหน่งบางตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เกษม จาติกวณิช ก็ดำรงตำแหน่งนี้มา 20 กว่าปีแล้ว

สมหมายเองคงจะหาเหตุผลอะไรเข้ามาเพิ่มเติมไม่ได้ ก็เลยจำเป็นต้องเอาวาระ 4 ปี นั้นเข้ามาสอดแทรก

กระแสข่าวของการปลดนุกูลนั้นมีมานานแล้วและเริ่มเข้มข้นขึ้นมาเรื่อยๆ นุกูลเองก็รู้เพราะนับตั้งแต่ถูกสมหมายชวนให้มาเป็นปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อประมาณปีกว่าที่แล้ว ซึ่งนุกูลก็ได้ปฏิเสธไป ทำให้นุกูลพอรู้ว่าตัวเองคงจะไม่แคล้วโดนสมหมายฟันเข้าสักวันหนึ่ง

แต่นุกูลเองก็ยังเชื่อว่า ถ้าเรื่องเข้าถึงคณะรัฐมนตรีเมื่อไรฝันหวานของสมหมายคงจะไม่สำเร็จตามที่ปรารถนาแน่แต่นุกูลก็คาดผิดไป

เพราะสมหมายเล่นเสนอเรื่องของนุกูลช่วงที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ไปต่างประเทศและระยะเวลากับจังหวะที่เสนอเข้าไปจะเป็นเพราะสมหมายตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ไม่ทราบ แต่มันเป็นจังหวะระยะเวลาที่ทำความเจ็บปวดให้กับนุกูลอย่างแสนสาหัสที่สุด เพราะการถูกปลดครั้งนี้ถูกปลดก่อนที่นุกูลจะมีสิทธิ์ได้รับบำนาญเพียงเดือนครึ่งเท่านั้น นอกจากนั้นก็เป็นการปลดเพียง 4 วันก่อนที่นุกูลจะเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปร่วมประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ ธนาคารโลก

การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีสักคนหนึ่งอาจจะเป็นข่าวซึ่งจะไม่มีความสำคัญเลยในโลกภายนอก แต่การเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารชาติอย่างกะทันหันแบบสายฟ้าแลบเช่นนี้ มันเป็นเรื่องที่วงการเงินทั่วโลกค่อนข้างจะตื่นตระหนกอยู่พอสมควร

นายธนาคารบางคนคิดเลยเถิดไปว่า เหตุที่นุกูลถูกปลดก่อนจะไปประชุมที่ธนาคารโลกนั้นอาจจะเป็นเพราะสมหมายไม่ต้องการจะไปธนาคารโลกกับนุกูล และกลับมาอย่างเสียหน้าเพราะนุกูลอาจจะไปพูดอะไรที่ทำให้สมหมายอยู่ในภาวะที่ไม่มีความสำคัญไป

ตำแหน่งของผู้ว่าการธนาคารชาตินั้นในประเทศไทยอาจจะมีตำแหน่งเทียบเท่ากับรองปลัดกระทรวงเท่านั้น แต่สำหรับในต่างประเทศแล้ว ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติสูงและก็เป็นตำแหน่งที่เหนือกว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสียอีก

แน่นอนที่สุด การปลดนุกูลครั้งนี้ บรรดาพนักงานธนาคารชาติทั้งหลายต่างมีปฏิกิริยาต่อต้านสมหมายเกือบจะแทบทุกคน ทั้งๆ ที่ในช่วงระยะเวลาที่นุกูลยังเป็นผู้ว่าธนาคารชาติอยู่นั้นนุกูลเองก็ไม่ได้เป็นที่พิสมัยของบรรดาระดับผู้บริหารของธนาคารชาติเท่าใดนัก

แต่การปลดนุกูลอย่างกะทันหันเช่นนั้น ในสายตาของพวกธนาคารชาติแล้ว เป็นการก้าวก่ายเข้ามาในสถานที่ที่พวกเขาคิดว่า ไม่ควรที่จะถูกอิทธิพลภายนอกเข้ามาแทรกแซง

ฉะนั้นการรวมตัวเพื่อปกป้องหลักการของตัวเองก็เกิดขึ้น!

แน่นอนที่สุด นุกูลก็ฉลาดพอที่จะไม่เอาเรื่องความขัดแย้งในเรื่องบุคลิกเขากับสมหมายขึ้นมาเป็นเหตุ แต่นุกูลเน้นอยู่ตลอดเวลาว่าสมหมายกำลังทำให้ธนาคารชาติไม่มีอิสระในการดำเนินงานซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติในอนาคต

สิ้นเสียงนุกูล ก็มีเสียงกระหึ่มของบรรดาพนักงานธนาคารชาติทั้งหลายขึ้นขานรับกันอย่างพร้อมเพรียง!

นายธนาคารบางคนคิดว่า ข้อกล่าวหาของนุกูลอาจจะเกินความจริงไปบ้าง เพราะ “ผมเชื่อว่าธนาคารชาติยังคงมีบรรดามืออาชีพทำงานกันอยู่เหมือนเดิม และพวกนี้ยิ่งจะต้องพยายามปกป้องให้ธนาคารชาติยังความอิสระต่อไป เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นนี้”

อย่างไรก็ตาม ธนาคารชาติยุคใหม่นี้ก็อาจจะต้องพ้นความยากลำบากเป็นพิเศษในช่วงนี้ เพราะขวัญและกำลังใจของบรรดาเจ้าหน้าที่ยังไม่กลับเข้ามาสู่ตัวพนักงานเท่าใดนัก

การตั้งกำจร สถิรกุล มาเป็นผู้ว่าการธนาคารชาติแทนนุกูล กลับทำให้คนเชื่อมั่นว่าธนาคารชาติจะต้องมีอิสระของตัวเองลดน้อยลงไป

การปลดนุกูลนั้นถึงแม้จะทำความขมขื่นให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารชาติทั้งหลายก็ตามแต่ในทางตรงกันข้าม กับเป็นเรื่องที่น่าเฉลิมฉลองระหว่างนายธนาคารบางกลุ่ม เพราะนโยบายและวิธีการทำงานของนุกูล จากการที่เป็นคนโผงผางขวานผ่าซาก และพูดจาแบบไม่มีซิปรูด ทำให้นายธนาคารไม่น้อยรู้สึกไม่สบอารมณ์กับนุกูลเท่าใดนัก “ผมรู้ว่าพวกนายธนาคารที่ไม่ชอบผมออกไปเลี้ยงฉลองที่ผมโดนปลดแทบจะทุกคืน” นุกูลพูดกับริชาร์ด มอร์ซัค ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เอเชียน วอลสตรีท เจอร์เนิล

การปลดนุกูล ประจวบเหมาะ ออกจากตำแหน่งครั้งนี้ เป็นการปะทะกันระหว่างคน 2 คน ที่มีบุคลิกแข็งกร้าวด้วยกันทั้งคู่

“ผู้จัดการ” เชื่อว่าถ้านุกูลอยู่ในตำแหน่งสมหมาย ฮุนตระกูล นุกูลก็คงจะทำเหมือนกับที่สมหมายทำ

สมหมาย ฮุนตระกูล ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีสิทธิ์ที่จะปลดนุกูล ประจวบเหมาะ ปัญหาอยู่ตรงที่วิธีการปลดนั้นควรหรือมิควรเท่านั้น และจังหวะที่ปลดเหมาะหรือไม่เหมาะ?

เหมือนอย่างที่นุกูลพูดออกมาอย่างขมขื่นว่า สมหมายเองน่าจะเป็นคนพูดกับนุกูลแทนที่จะให้พนัส สิมะเสถียร ปลัดกระทรวงการคลังเป็นผู้โทรศัพท์มาบอกซึ่งนุกูลก็ตอบปฏิเสธไปว่าไม่ยอมลาออก

เมื่อเป็นเช่นนี้ คนแก่อารมณ์ร้อนอย่างสมหมายที่เคยอยู่ธนาคารชาติมา 20 กว่าปี และอาวุโสกว่านุกูลมากก็คงจะไม่มีอารมณ์ไปนั่งจำนรรจากับนุกูลอีกต่อไป

ที่แน่ๆ นุกูล ประจวบเหมาะ ก็ได้แสดงให้โลกเห็นแล้วว่า ไหนๆ จะเป็นคนหัวรั้นแล้ว ก็จะขอเป็นคนรั้นให้จนถึงที่สุด

เรียกได้ว่า นุกูล ประจวบเหมาะ ยินดีเป็นหยกที่แหลกลาญมากกว่าจะเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์

มันอาจจะเร็วจนเกินไปที่จะไปทำนายทายทักว่าการปลดนุกูล ประจวบเหมาะ ครั้งนี้จะมีผลกระทบกระเทือนต่อสถานภาพของประเทศไทยในตลาดการเงินหรือไม่ และมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า ประเทศไทยหรือธนาคารชาติจะได้รับความเสียหาย จากการที่นุกูลถูกปลดครั้งนี้ ถ้าจะมีปัญหาก็คงจะเป็นเพราะสงสัยที่ว่า ธนาคารชาติหลังจากที่นุกูลถูกปลดแล้ว จะยังคงอยู่ในสภาวะที่เป็นอิสระต่อไปหรือไม่

และคำตอบนี้ ถึงแม้สมหมายจะตอบออกมาแล้วว่า ธนาคารชาติจะยังคงมีอิสระอยู่เหมือนเดิม แต่เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่า ที่สมหมายพูดนั้นเป็นความจริง!!!!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us