|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บาทแข็งฟาดสหพัฒน์ ปิด รง.ส่งออก รองเท้า-เสื้อ ไปแล้ว "บุณยสิทธิ์" หวั่นปัญหาลามฉุดไม่อยู่ ไทยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งรอบ 2 รุนแรงกว่าปี 40 ยอมรับ เครือสหพัฒน์ ปิดโรงงานส่งออก รองเท้า-เสื้อผ้า เดินหน้าผนึกญี่ปุ่นขยายตลาดอาเซียน
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวถึงกรณีค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นประมาณ 29 บาทต่อดอลล่าร์ในขณะนี้ว่า ยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการแข็งค่าจนถึงเศรษฐกิจพัง และสร้างผลกระทบครั้งใหญ่ให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งรอบที่ 2 เช่นเดียวที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 สร้างผลกระทบต่อรากหญ้า แต่หากเกิดรอบสองในครั้งนี้ จะสร้างผลกระทบทั้งรากหญ้าและระดับบน เพราะโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังไม่แข็งแกร่ง
ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยควรหารือร่วมกัน และประชุมในระดับภูมิภาคอาเซียน เพื่อหาทางออกกรณีค่าเงินแข็งขึ้นทั้งภูมิภาค นอกจากนึ้เสนอมุมมองการแก้ไขคือ ทฤษฎี 2 อ่อน ได้แก่ 1.ทำให้ค่าบาทอ่อน ซึ่งควรอยู่ในระดับ 34-35 บาทต่อดอลล่าร์และ 2.ดอกเบี้ยอ่อน หากรัฐบาลควบคุมเงินบาทได้ดีมองว่าเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่กลับไม่ได้ดำเนินการอะไรแถมยังเปิดประตูให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนเก็งกำไร โดยที่ไม่มีมาตรป้องกัน
“ผมพูดเรื่องค่าเงินบาทมา 3 ปี เสนอทฤษฎี 2 อ่อน แต่แบงก์ชาติไม่เข้าใจ เราเหมือนขับรถลงเหวมานานแล้วจนชิน สิ่งที่กังวล คือ หากมีการเปลี่ยนรัฐบาลแล้วรัฐบาลใหม่ไม่เข้าใจ ไม่มีการต่อยอดเศรษฐกิจล้มแน่ๆ เพราะค่าเงินบาทแข็งกระทบต่อรากหญ้า ซึ่งเป็นประชากรใหญ่ของประเทศ ส่วนกลุ่มระดับบนไม่ได้รับผลกระทบ”
***สหพัฒน์ปิดโรงงานรองเท้า-เสื้อ***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้บริษัทตัดสินใจปิดโรงงานที่ผลิตเพื่อการส่งออกทั้งในกลุ่มรองเท้าและเสื้อ และคาดว่าผู้ประกอบการอื่นๆ คงปิดตัวไปบ้าง โดยรายได้การส่งออกของสหพัฒน์เหลือไม่ถึง 20% จากที่ผ่านมาสัดส่วน 30% และผลประกอบการปีนี้ของบริษัท คาดว่าเติบโตไม่ถึง 5% จากรายได้ 1.4 แสนล้านบาท หลังจากเมื่อต้นปีตั้งเป้าเติบโต 10%
ด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนา อินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือกับค่าเงินบาทที่แข็งค่า สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ยังมีอำนาจการต่อรองเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายเล็กหรือย่อยอาจจะได้รับผลกระทบ
**ผนึกญี่ปุ่นขยายตลาดอาเซียน***
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เครือสหพัฒน์ได้ร่วมมือธุรกิจกับบริษัทสึรุฮะ โฮลดิ้งส์ อิงค์ เพื่อขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากเป็นตลาดที่สำคัญมีประชากรมากกว่า 600 คน มีกำลังการซื้อมหาศาล และผลจากการเปิดการค้าเสรีอาเซียน ทำให้ภาษีนำเข้าลดลง 0% โดยสหพัฒน์จะนำสินค้าจากญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์M’s one จำหน่ายในไทยผ่านทางร้าน 108 ช็อปและบาลานซ์
ขณะที่บริษัทสึรุฮะนำสินค้าในเครือสหพัฒน์ อาทิ บีเอสซี ไปจำหน่ายในญี่ปุ่น และใช้ไทยเป็นศูนย์กลางขยายธุรกิจร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามในอาเซียน เพราะระบบลอจิสติกส์ดี โดยบริษัทสึรุฮะกำลังจะตั้งสำนักงานและเปิดช็อปในประเทศไทย
ทั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่บริษัทมีการเซ็นสัญญา เพื่อขยายธุรกิจต่างประเทศ จากที่ผ่านมาจะเน้นการร่วมทุนเป็นหลัก นอกจากนี้เรายังมีการแลกเปลี่ยนโนว์ฮาวด์ต่างๆ และหากได้รับการตอบรับที่ดี ก็มีแนวโน้มร่วมทุนกับบริษัทสึรุฮะ ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและเพื่อสุขภาพครบวงจรเป็นอันดับ 4 ของญี่ปุ่น มีรายได้ 3 แสนล้านเยน มีสาขาทั้งหมด 940 สาขา ปีหน้าเพิ่มเป็น 1,000 สาขา และ5ปี ขยายเพิ่มเป็น 1,500 สาขา และมีรายได้ 5 แสนล้านเยน
|
|
|
|
|