เด็กหนุ่มที่เติบโตจากต่างจังหวัด บุคลิกไม่เปลี่ยนแปลง เป็นนักวิชาการใจดี
ใส่แว่นตาหนาเตอะ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารองค์กรที่มีความสำคัญต่อตลาดทุน
นอกจากฝีมือล้วนๆ โชคต้องเข้าข้างด้วย ดร.วรภัทร โตธนะเกษม กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยเรตติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส
หรือทริส
ดร.วรภัทร เกิดเมื่อ 30 พฤษภาคม 2492 ที่ตำบล บ้านบุ่ง จ.พิจิตร ที่ไม่มีน้ำประปา
ไม่มีไฟฟ้า จึงต้องอาศัยน้ำจากแม่น้ำน่านเป็นทั้งน้ำดื่มและน้ำใช้ในเวลาเดียวกัน
เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนสี่คนของเกียงู่-วิง แซ่โตว บิดาเป็นชาวไหหลำเดินทางมาตั้งรกรากที่เมือง
ชาละวัน ส่วนมารดาเป็นชาวพิจิตร
ดร.วรภัทร เติบโตและเรียนระดับชั้นประถมที่โรงเรียนบ้านวังกลม จนถึงชั้นประถม
4 ต้องเดินทางไกลเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อพี่สาวแต่งงานกับคนอยุธยาจึงย้ายตามมาด้วย
และเข้าเรียนต่อชั้นประถม 5 ที่โรงเรียนสุนทรวิทยา
เรียนต่อระดับมัธยมที่โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย ด้วยนิสัยที่เคร่งขรึม ไม่พูดไม่จาส่งผลให้การเรียนอยู่ในระดับปานกลาง
โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่ไม่เก่งเลย และชีวิตของเขาจุดประกายเมื่อเรียนอยู่มัธยม
5 บังเอิญ ครูไพรัช คล้ายมุข ที่จบจากอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มาสอนที่นี่
ชีวิตของดร.วรภัทรจึงเริ่มสดใส เมื่อชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษ ครูคนนี้ได้ตั้งคำถาม
และชี้ไปที่เด็กชายวรภัทรให้ลุกขึ้นตอบ บังเอิญ เขาตอบคำถามถูกจึงได้รับคำชมจากครู
ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่านั่นคือ การเดา จากคำชมวันนั้นเป็นต้นมา ดร.วรภัทรมีกำลังใจและมุ่งมั่นอ่านภาษาอังกฤษ
เปิดดิกชันนารี เขียนไดอารี่เป็นภาษาอังกฤษ
บังเอิญ ในปีเดียวกัน ซีดริค แซมป์สัน อาสาสมัครชาวอเมริกันมาสอนที่โรงเรียน
เขาจึงมีโอกาสฝึกฝนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษา จนกระทั่งสามารถสอบได้ที่ 1
ในโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียน AFS ระหว่างเรียนอยู่มัธยม 6 เมื่อสอบติดต้องมาสอบสัมภาษณ์ที่สถาบันเอยูเอ
เป็นการเข้าเมืองกรุงครั้งแรกและเขาสอบสัมภาษณ์ผ่าน
ถึงแม้ว่าจะเรียนไม่เก่ง แต่ ดร.วรภัทร สามารถสอบเอ็นทรานซ์เข้าคณะบัญชี
ธรรมศาสตร์ได้ นับเป็นการใช้ชีวิตในเมืองกรุงอย่างเป็นกิจจะลักษณะครั้งแรกด้วย
นั่งเรียนได้ 2 เดือน ก็เดินทางไปอเมริกา 2 เดือน ตามโครงการ AFS ใน ปี 2509
หลังกลับจากอเมริกาก็กลับเข้าเรียนต่อในคณะบัญชี แต่ครั้งนี้เริ่มเบื่อการเรียนและรู้สึกว้าเหว่
จึงตัดสินใจวางแผนชีวิตตัวเองใหม่ เขาคิดและถามตัวเองว่าอนาคตอยากเป็นอะไร
และจากการเป็นคนที่มีมุมมองกว้างและยาวไกล มีปรัชญาในชีวิต จึงมี 2 ทางเลือก
คือ นักกฎหมายและ นักเศรษฐศาสตร์
ดร.วรภัทรตัดสินใจเดินไปคณะนิติศาสตร์ บังเอิญ ที่นั่งเรียนเต็ม จึงต้องเข้าเรียนเศรษฐศาสตร์
สมัยนั้น ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์เป็นคณบดี และเขาก็เรียนจบที่นี่
ช่วงที่เรียนอยู่ปีสุดท้าย ธนาคารกสิกรไทยประกาศสอบชิงทุน แต่เขาไม่คิดจะสอบเพราะรู้สึกว่าค่าสมัครสอบแพงมาก
(100 บาท) จึงเดินทางกลับไปเยี่ยมพี่สาวที่อยุธยา
เขาเล่าให้พี่สาวฟัง พี่สาวจึงให้เงิน 100 บาทแล้วบังคับให้มาสอบ และเขาก็สอบได้ทั้งๆ
ที่ไม่ได้อ่านหนังสือแม้แต่หน้าเดียวเพราะช่วงนั้นหัวคิดของ ดร.วรภัทรมีแต่การเมืองและประชาธิปไตย
หลังจากสอบข้อเขียนผ่าน ด่านต่อไป คือ สอบสัมภาษณ์ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ
โดยมีคุณหญิงสุภาพ วิเศษสุรการ, ศ.ดร.ประชุม โฉมฉาย, บัญชา ล่ำซำ และผู้ทรงคุณวุฒิจากต่างประเทศอีก
3 คนเป็นคณะกรรมการสอบ
"ในอนาคตอยากเป็นอะไร" คุณหญิงสุภาพถาม
"ผมอยากเป็นนักการเมืองที่ดี"
"อยากเป็นนักการเมืองแล้วมาขอทุนแบงก์ทำไม" คุณหญิงสุภาพสงสัย
"ผมอยากทำงานเพื่อสังคม อยากให้คนไทยมีชีวิต ที่ดีขึ้น หากปล่อยไว้เช่นนี้แล้วใครจะลงไปช่วย
และการสัมภาษณ์วันนี้คิดว่าผมไม่ได้ทุนหรอก" ดร.วรภัทรตอบ จากปรัชญาแนวคิดของตน
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป บัญชา ล่ำซำไม่ถามสักคำถาม ปล่อยให้คุณหญิงสุภาพถามคนเดียว
แต่ก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้บัญชาเอ่ยปากถามว่า "แล้วคิดหรือไม่ว่าเป็นนายแบงก์นี่ก็ช่วยเหลือสังคมได้"
"ได้แน่นอนครับ แต่ไม่มากนัก" ดร.วรภัทรตอบคำถาม
หลังจากสอบสัมภาษณ์เสร็จสิ้น เขามั่นใจว่าไม่ได้แน่นอน แต่แล้วบ่ายวันนั้นผลประกาศออกมาเขาสอบได้
ซึ่งตนเองก็ยังงงๆ กับผลการสอบ
เมื่อจบปริญญาตรีที่ธรรมศาสตร์ ปี 2514 เขากลับไปอเมริกาอีกครั้งเพื่อศึกษาต่อด้วยทุนกสิกรไทย
โดยเลือกศึกษาที่มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น
เอ็มบีเอ (การเงินและการบริหารอุตสาหกรรม) เป็นหลักสูตรที่เลือกเรียน แต่ไม่รู้ว่าเอ็มบีเอคืออะไร
และไม่รู้จะลงเรียนวิชาอะไร พูดง่ายๆ เขาให้ทุนไปก็ไป ความรู้สึกผิดหวังในตัวเองจึงเกิดขึ้นถึงขนาดจะกลับบ้าน
แต่ก็เกิดขึ้น ชั่วครู่เท่านั้น จึงทนเรียนจนจบปริญญาโทในปี 2516
ดร.วรภัทรเข้าฝึกงานที่ธนาคารคอนติเนนทัลเป็นเวลา 1 ปี และปี 2517 กลับเมืองไทยก็ทำงานใช้ทุนที่ธนาคารกสิกรไทยในตำแหน่งพนักงานชั้นกลางฝ่ายต่างประเทศ
โดยมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และณรงค์ ศรีสอ้าน เป็นผู้บังคับบัญชา เพียงแค่หนึ่งปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าส่วนประจำสำนักบริหาร
นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์พิเศษ ที่คณะพาณิชย-ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตามคำเชิญของอาจารย์สังเวียน อินทรวิชัย นอกจากจะเป็นแบงเกอร์และอาจารย์แล้วยังได้เป็นลูกศิษย์ในคณะนิติศาสตร์
ภาคค่ำที่ธรรมศาสตร์ด้วย
ทำงานที่ธนาคารกสิกรไทยได้ 6 ปีก็ได้รับโปรโมตให้เป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่าย
ถึงตรงนี้ ดร.วรภัทรไม่ต้องการอะไรในชีวิตอีกแล้ว จึงตัดสินใจบินกลับไปอเมริกาเพื่อศึกษาระดับปริญญาเอกในปี
2523
เขาใช้เวลาเพียง 2 ปี 8 เดือนก็จบระดับปริญญาเอกทางด้านเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ
มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ พร้อมกับปริญญาโทด้านอุตสาหกรรมองค์กรอีกด้วย เดินทางกลับเมืองไทยอีกครั้ง
ดำเนินชีวิตเหมือนเดิมทั้งเป็นแบงเกอร์ และอาจารย์ และในปี 2535 ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
ดูแลสายงานสินเชื่อบุคคล
ด้วยบุคลิกที่เป็นนักวิชาการที่มีความเชื่อมั่นตลอดเวลา จึงเกิดความรู้สึกว่างานที่ธนาคารกสิกรไทยเริ่มย่ำอยู่กับที่
จึงตัดสินใจลาออกในปี 2539 ไปเป็นนักวิชาการเต็มตัว พร้อมกับรับเป็นประธานให้กับองค์กรต่างๆ
อาทิ ประธานกรรมการบริหารโครงการปริญญาโทบริหารธุรกิจ ธรรมศาสตร์, ที่ปรึกษาบริษัทในกลุ่มบางปะกงอินดัสเตรียล
พาร์ค หรือประธานกรรมการบริหารด้านหลักทรัพย์ บงล. ซิทก้า
ทำงานเป็นวิชาการอิสระไม่ทันไรก็เกิดวิกฤติเศรษฐกิจพร้อมกับความรู้สึกเดิมๆ
กลับมาอีกครั้ง จนกระทั่งได้พบกับ ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ
ทริส ซึ่งกำลังจะรีไทร์ตนเองจึงขอให้ ดร.วรภัทรมาช่วย งานแทน กุมภาพันธ์
2541 เข้ารับช่วงแทน ดร.วุฒิพงษ์ และเป็นช่วงที่ทริสกำลังได้รับผลกระทบจากวิกฤติ
แต่เขาก็ ประคับประคององค์กรให้อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
ในความรู้สึกของ ดร.วรภัทร บรรยากาศ และรูปแบบการทำงานของทริสมีความลงตัวที่สุด
เพราะอยู่ตรงกลางระหว่างปรัชญา วิชาการ และโลกธุรกิจ เขาพอใจและมีความสุข
และจะมีมากขึ้นหากทริสก้าวไปด้วยความมั่นคงมากกว่าทุกวันนี้